สตรีในชุดธรรมดาซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางผู้คน ขณะเงยหน้าจับจ้องไปยังมั่วชิงเฉินอยู่นั้น ปานชาดสีแดงเข้มที่อยู่ระหว่างคิ้วก็ปรากฏขึ้นขับเน้นให้ใบหน้างดงามสะกดใจคน
นางพลันสงบใจจดจ่ออยู่กับการควบคุมกลิ่นอายปีศาจที่ไหลเวียนไปทั่วอย่างบ้าคลั่งในดวงจิต ไม่นานปานสีชาดที่อยู่ระหว่างคิ้วก็จางหายไป กลับคืนสู่สภาวะเดิมอีกครา เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่าผู้บำเพ็ญเพียรไม่มีท่าทีผิดปกติ จึงแอบถอนใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่การปะปนอยู่ท่ามกลางผู้บำเพ็ญเพียรระดับล่างนั้นทำให้ไม่ได้เผยพิรุธอันใดออกไป
แท้จริงแล้วสตรีผู้นี้คือหูปิงหลัน องค์หญิงแห่งเผ่าจิ้งจอกหิมะที่อาศัยอยู่ในเขากว่างหาง
แต่ในตอนที่นางเพิ่งถอนใจด้วยความโล่งอก กลับสัมผัสได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่มองมาทางตน เมื่อเงยหน้ามอง ก็เห็นกับกู้หลีที่หันมองมาด้วยสีหน้าราบเรียบ
หูปิงหลันควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป ใบหน้าเปลี่ยนสีทันที พูดออกไปว่า “กู้หลี ท่านมากับข้า”
กู้หลีนั่งตัวตรงไม่ขยับแม้แต่น้อย
หูปิงหลันหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่งก่อนพูดอีกครั้ง “กู้หลี หากท่านไม่ตามข้ามา ข้าจะเผยตัวตนที่แท้จริงตรงนี้ ให้ท่านเสียใจไปตลอดชีวิต”
พูดจบก็ละสายตา และเดินจากไปอย่างเงียบๆ
กู้หลีลุกขึ้นถอนใจเบาๆ พูดกำชับกับนักพรตจื่อซีไม่กี่ประโยคก่อนเดินออกมาจากที่นั่ง
มั่วชิงเฉินประมือกับนักพรตหลันเหออย่างดุเดือด พลางหันหน้าไปยังทิศทางของผู้ชม ชำเลืองเห็นกู้หลีลุกออกไป แววตาแสดงออกถึงความสงสัย แต่ก็รีบสลัดความคิดนั้นทิ้ง ทำให้การเคลื่อนไหวของมือรวดเร็วขึ้นกว่าเดิม
ในขณะที่ยอดเขาห้านิ้วเสียงดังเอิกเกริก หุบเขาที่ถัดออกมาร้อยกว่าลี้กลับวังเวงเงียบสงบ สตรีในอารณ์ขาวหิมะผู้หนึ่งยืนลู่ลมอยู่ตรงนั้น พลันได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจึงหันหน้ามาอย่างช้าๆ เมื่อเห็นผู้ที่มาเยือนจึงเรียกออกไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “กู้หลี”
กู้หลีมองหูปิงหลันปราดหนึ่ง ตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ปิงหลัน เจ้าไม่ควรมาที่นี่ รีบไปเถิด”
หยาดน้ำตาเปล่งประกายเอ่อคลออยู่ในดวงตาอันเยือกเย็นทั้งสองข้างของหูปิงหลัน “กู้เหอกวง ท่านรู้อยู่แก่ใจว่าข้ามาหาท่าน หลายปีมานี้ ท่านคิดจะหลบหน้าข้าไปถึงเมื่อใด หากครั้งนี้ไม่ใช่เพราะท่านเป็นผู้นำคนพรรคเหยากวงมางานประลองเฟิงอวิ๋นขึ้น ข้าคงไม่ได้เจอหน้าท่านอีกแล้วใช่หรือไม่”
กู้หลียังคงมีท่าทีดังเดิม ยิ้มตอบอย่างอบอุ่นว่า “ปิงหลัน เจ้ากับข้ารู้จักกันเมื่อร้อยปีก่อน เรื่องมาถึงวันนี้ จะพบกันหรือไม่สำคัญด้วยหรือ”
เสียงควัยดังขึ้น หูปิงหลันชักกระบี่ยาวออกมาชี้ตรงไปยังหน้าของกู้หลี ตะโกนออกไปว่า “กู้เหอกวง ท่านพูดได้ไม่ละอายปากเช่นนี้ แล้วท่านจะให้ข้าทำอย่างไร ท่านรู้อยู่แก่ใจ ว่าข้ากับท่าน…”
“ปิงหลัน เจ้าคิดให้ดีเถิดว่าปีนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” สายตาของกู้หลียังคงอ่อนโยนและไร้ความรู้สึก แต่กลับยากจะล่วงล้ำทะลุผ่านความห่างเหินนี้ไปได้
หูปิงหลันขบฟันแน่น ใช้เวลาครู่หนึ่งจึงตอบกลับด้วยความยากลำบาก “ใช่ ปีนั้นข้าผิดเอง เผ่าจิ้งจอกหิมะของข้าไม่ควรปฏิบัติต่อท่านเช่นนั้น แต่ข้าก็ใช้หัวใจของตัวเองชดใช้ให้ท่านไปแล้ว แม้ต้องแตกหักกับคนในเผ่าก็ไม่เสียดาย ท่านมิอาจ หันมามองข้าได้บ้างเลยหรือ”
กู้หลีถอนใจเบาๆ “ปิงหลัน บุญคุณทดแทนได้ แต่ความรู้สึกมิอาจให้ได้ โปรดอภัยที่เหอกวงไร้ความสามารถด้วย”
แม้หูปิงหลันจะออกจากเผ่าจิ้งจอกหิมะแล้ว ทว่านิสัยขี้อ้อนเอาแต่ใจตั้งแต่เกิดกลับเป็นเรื่องที่ถือตัวที่สุดและไม่ยอมปล่อยวาง ร้อยปีมานี้ เพราะรักเทิดทูนในตัวกู้หลีมาก จึงหักห้ามใจไม่ให้ทำเรื่องบ้าคลั่งมากมายได้ บัดนี้ได้พบเขาแม้จะมองด้วยสายตาอ่อนโยน แต่วาจากลับไร้เยื้อไยไม่มีที่ว่างให้ถอยกลับ ในที่สุดจึงทำใจให้สงบ ถอยหลังกลับทีละก้าวก่อนยิ้มตอบอย่างเยือกเย็น “ได้ ได้ กู้เหอกวง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่าหาว่าข้าไร้น้ำใจ!”
พูดจบก็ลดกระบี่ยาวในมือลง หันหลังกลับบินออกไปด้วยความรวดเร็ว
อีกด้านหนึ่ง การประลองของมั่วชิงเฉินและนักพรตหลันเหอ ได้เข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญ
การต่อสู้โดยใช้สมบัติวิเศษระยะประชิด เมื่อเทียบกับระยะไกลแล้วทำให้หัวใจของผู้ชมรู้สึกตื่นเต้นกว่ามาก เสียงตะโกนจากเหล่าผู้คนดังกึกก้อง ทำให้สถานการณ์การต่อสู้ทยานขึ้นไปสู่จุดสูงสุด
ทั้งสองบินขึ้นพร้อมกัน ในมือที่ประครองอาวุธอยู่ผลัดกันตีผลัดกันบินขึ้นไป เพียงแต่ใต้ฝ่าเท้าของคนผู้หนึ่งเหยียบอยู่บนเกลียวหอยวายุ แต่อีกคนกลับไม่อาศัยสมบัติวิเศษชิ้นใดเลย
เสียงประทะกันของกริชฟันปลาและไม้ตะพดก้องกังวานอยู่ในหูไม่จบสิ้น อีกทั้งยังยิ่งตียิ่งเร็วขึ้น หลังจากนั้นครู่หนึ่งทุกคนต่างได้ยินเสียงราวกับพายุฝนฟ้าคะนองก็ไม่ปาน
ทุกครั้งที่อาวุธทั้งสองระทบกัน ใบหน้านักพรตหลันเหอซีดเผือกลงหนึ่งส่วน เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบริเวณแผ่นหลังช้าๆ ช่วงเวลานั้นในใจรู้สึกกังวลอย่างประหลาด
นักพรตชิงเฉิงผู้นี้ เหตุใดตั้งแต่ต้นจนจบถึงสามารถรักษาระดับของพลังที่พลุ่งพล่านนี้ไว้ได้ ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย หรือว่าปราณที่อยู่ในตัวนางสามารถสร้างได้ไม่มีที่สิ้นสุดกัน
ต่อให้กินโอสถบำรุงระดับสูงเสริมพลังเข้าไป ก็ช่วยฟื้นฟูได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่มีเหตุผลเลยที่จะรักษาพลังวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์
นักพรตหลันเหอในเวลานี้สูญสิ้นสติสัมปชัญญะไปแล้ว เมื่อมั่วชิงเฉินหาช่องโหว่ของเขาเจอ ร่างกายก็หมุนทำมุมพิสดารรอบหนึ่ง ก่อนจะใช้กริชฟันปลาที่อยู่ในมือแทงออกไปหานักพรตหลันเหอด้วยองศาของท่วงท่าที่แปลกประหลาดอย่างไม่คาดคิด
นักพรตหลันเหอตกใจอย่างมาก จึงใช้ท่าร่างไถลตัวไปด้านข้างอย่างรวดเร็วเพื่อเบี่ยงตัว ในมือถือไม้ตะพดรองรับกริชฟันปลาไว้ แต่ทันใดนั้นในใจกลับผวา เมื่อก้มหน้าลงมองก็พบว่ากริชฟันปลาอีกด้ามหนึ่งจ่ออยู่ตรงหน้า
นักพรตหลันเหอมีสีหน้าตื่นตระหนกในทันใด “เจ้า!”
มั่วชิงเฉินยิ้มพราย “ขออภัยด้วย สหายหลันเหอ กริชเล่มนี้ สร้างขึ้นมาเป็นคู่” พูดพลางออกปรงคราหนึ่ง กริชฟันปลาที่ถืออยู่อีกข้างก็ฟันไม้ตะพดกระเด็นออก
ที่แท้มันถูกซ่อนไว้ตั้งแต่เริ่มการประลองแล้ว นางเพียงใช้กริชฟันปลาด้ามเดียวในการต่อสู้ เพื่อจู่โจมอย่างฉับพลันในขณะที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว
เมื่อคิดได้นักพรตหลันเหอก็ยิ้มออกมาด้วยความหดหู่ ก่อนเก็บอาวุธลงไป “สหายชิงเฉิงมีเมตตา ข้าน้อยยอมแพ้!”
มั่วชิงเฉินเก็บกริชฟันปลา คารวะต่อหน้านักพรตหลันเหอ “น้อมรับ!”
พูดจบก็บินลงจากสนามประลอง
นักพรตหลันเหอนั่งอยู่บนสนามประลองอย่างโดดเดี่ยว สักพักค่อยลุกขึ้นมาเงียบๆ แล้วบินลงไป
มั่วชิงเฉินถูกท้าประลองไปครั้งหนึ่ง ไม่มีความจำเป็นต้องท้าแข่งกับผู้ใดอีก มุ่งหน้าตรงไปทางพรรคเหยากวงฝั่งนั้นทันที เมื่อเห็นกู้หลีจึงตะโกนเรียกอาจารย์ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
กู้หลีเห็นดวงตากลมโตราวดอกท้อของนางประกายแสงทออร่าม ใบหน้าสีแดงฝาด ตรงเข้ามาหาเขาด้วยความกระตือรือร้น ท่าทางที่หมายจะรอรับคำชมเช่นนี้ ทำให้เขายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “วันนี้ที่สนามประลองทำได้ไม่เลว เพียงแต่ หากเจ้าหยิบกริชฟันปลาคู่นั้นออกมาตั้งแต่คราแรก เกรงว่าคงชนะตั้งนานแล้ว ยังต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมอันใดอีก”
มั่วชิงเฉินยิ้มรับ “แน่นอนว่ามิกล้าเผยพิรุธออกไป มิเช่นนั้นการประลองแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ผ่านมา หากคนพวกนั้นต่างเลือกศิษย์ของท่านหมด จะทำเช่นใด”
กู้หลียิ้มส่ายหัว “นางหนูน้อย เจ้ามีเหตุผลเสมอ”
มั่วชิงเฉินรู้จักกับกู้หลีมาตั้งแต่วัยเยาว์ ถูกเขาอบรมสั่งสอนเรื่อยมานานนับสิบปี แม้จะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้ว ยามอยู่ต่อหน้าเขายังคงทำตัวออดอ้อนราวกับเด็ก จึงตอบกลับด้วยความไม่พอใจว่า “อาจารย์ ท่านรังเกียจศิษย์หรือ”
กู้หลีจนปัญญา “ได้อย่างไรเล่า”
มั่วชิงเฉินเม้มริมฝีปาก “แล้วเหตุใดเพียงรอคำชมจากปากอาจารย์สักประโยค แต่อาจารย์กลับดุข้ามากมายเช่นนี้ อีกทั้งตอนชิงเฉินกำลังประลองอยู่ ถึงได้เดินออกไปสักพักหนึ่งเลยเล่า”
เห็นรอยแห่งความไม่พอใจบนหน้าของนางเช่นนี้ กู้หลีก็รีบหลุบตามองต่ำ สักพักจึงตอบอย่างจริงจังว่า “เพราะอาจารย์มีเรื่อง….”
ขณะกำลังอธิบายด้วยความยากลำบากอยู่นั้น เสียงของนักพรตจื่อซีดังออกมา “ชิงเฉิน เจ้ารังแกอาจารย์อีกแล้วหรือ”
มั่วชิงเฉินเดินไปหายิ้มตอบว่า “ที่ไหนกันเล่า”
พูดพลางมองไปยังสนามประลองด้านบน “การประลองสนามที่สี่เริ่มขึ้นแล้วหรือ”
นักพรตจื่อซียิ้มตอบ “ก็ใช่นะสิ มิเช่นนั้นข้าคงไม่ลงมาหรอก มา พวกเราไปร่ำสุราดูการประลองกันเถิด”
พูดไปก็ดึงมั่วชิงเฉินอกมาจนมาถึงที่นั่งซึ่งอยู่ไกลโพ้นก่อนพูดอย่างไม่เกรงใจว่า “ชิงเฉิน เจ้ารีบเอาสุราเลิศรสของเจ้าออกมาเร็ว”
Related