พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 519 วิญญาณแห่งหอกักวิญญาณ

ทันทีที่คำว่า ‘สละสิทธิ์’ พูดออกมา เหล่าผู้ชมก็โห่ร้องขึ้นเซ็งแซ่  

 

 

จนกระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นถูกคนประคองเดินอย่างทุลักทุเลลงไป มั่วชิงเฉินจึงได้สติ เดินลงไปเงียบๆ อย่างรวดเร็ว  

 

 

ผู้คนขยับหลีกทางให้นางเงียบๆ สายตาที่มองมาเรียกได้ว่าผิดปกติ ไม่รอให้นางเดินจากไปไกล เสียงถกเถียงกันก็ดังขึ้นมา  

 

 

“นักพรตชิงเฉิงผู้นี้ จะโชคดีเกินไปหรือเปล่า”  

 

 

“ฮึ โชคดีอะไรกัน ข้าบอกแต่แรกแล้วว่าน่ากลัวจะมีการเล่นลูกไม้ พวกเจ้าก็ไม่เชื่อ”  

 

 

ในครั้งนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรที่ยืนกรานว่าการประลองเป็นไปอย่างยุติธรรมก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหว หากเพียงหนึ่งหรือสองครั้งยังพอพูดได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่นี่ติดต่อกันถึงสามครั้ง ดูจะเลวร้ายไปหน่อยกระมัง   

 

 

“พวกเจ้าช่างไม่รู้อะไร นักพรตชิงเฉิงผู้นี้หลายปีก่อนได้รับความรักจากลั่วหยางเจินจวิน มีคู่บำเพ็ญเก่งกาจถึงเพียงนี้ช่างดีเสียจริง ได้รับการปกป้องมาโดยตลอด…” เสียงของหญิงสาวนางหนึ่งแว่วขึ้นมา  

 

 

ผู้อื่นรู้สึกสนใจขึ้นมา เริ่มถามถึงเรื่องราวในอดีตของเยี่ยเทียนหยวนและมั่วชิงเฉิน  

 

 

ได้ยินหญิงสาวเล่าเรื่องราวเป็นลำดับ ก็เชื่อขึ้นมาโดยไม่ทันรู้ตัว  

 

 

มีคนผู้หนึ่งพูดว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ นักพรตชิงเฉิงผู้นี้ความสามารถก็ไม่เท่าไหร่สินะ”  

 

 

หญิงสาวเอามือป้องปากหัวเราะหนึ่งที “เรื่องนี้ใครจะไปรู้เล่า แต่ว่าอาจารย์ของนางและคู่บำเพ็ญของนางเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเชียวนะ หากไม่สามารถเข้าสู่รอบสิบห้าคน คงเสียหน้าน่าดู”  

 

 

ในเวลานี้เองก็มีเสียงอันเยือกเย็นของสาวผู้หนึ่งดังขึ้น “ลูกศิษย์นิกายเหอฮวน ชอบนินทาคนอื่นอย่างนี้หรือ”  

 

 

ผู้คนที่กำลังฟังยังออกรสออกชาติมองตามไป ก็เห็นหญิงสาวในชุดสีขาวทั้งตัวผู้หนึ่งสีหน้าเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็งกำลังมองไปยังหญิงสาวที่กำลังพูด   

 

 

มีคนร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจว่า “ท่านเซียนน้ำแข็ง!”  

 

 

คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นลูกศิษย์ระดับสร้างรากฐานที่ตามสำนักพรรคต่างๆ พามา บางคนเป็นผู้บำเพ็ญไร้สำนักนักที่อยากเปิดหูเปิดตา ชอบถกเถียงนินทาเรื่องราวเช่นนี้เป็นที่สุด มั่วเฟยเยียนในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณรากวิญญาณน้ำแข็งของพรรคลั่วสยา ก็เป็นหนึ่งในผู้บำเพ็ญเพียรที่ผู้คนเหล่านี้มักจะเอ่ยถึง ในตอนนี้ได้เห็นนางตัวเป็นๆ ต่อหน้า ผู้คนจำนวนไม่น้อยก็ตื่นเต้นขึ้นมาเป็นพิเศษ  

 

 

เห็นดวงตาที่เยือกเย็นราวกับหิมะคู่นั้นของมั่วเฟยเยียนมองมายังตนอย่างเย็นชา ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงก็รู้สึกลนลานขึ้นมา เอาแข็งใจพูดขึ้นมาว่า “ต่อให้เป็นเซียนน้ำแข็ง ก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะมาสั่งให้คนไม่พูด”  

 

 

“ใช่แล้ว ความยุติธรรมและอิสรภาพอยู่ในใจมนุษย์” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนหนึ่งพูดเสริม  

 

 

แสงสว่างขึ้นวาบหนึ่ง เงาแสงสีแดงร่างหนึ่งบินออกไป จากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นสองที แทรกด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของหญิงสาว  

 

 

ผู้คนต่างตกตะลึง มองไปเป็นตาเดียวกัน หญิงสาวในชุดสีแดงผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างกายมั่วเฟยเยียน ยื่นคางเล็กน้อยพลางพูดอย่างเย่อหยิ่งว่า “พวกเจ้าจะคุยอะไรกันข้าคร้านจะไปยุ่ง แต่หากพูดจาเลอะเทอะ ก็อย่าโทษที่ข้าจะตบให้สักฉาด!”  

 

 

“ท่านพี่ผู้นี้ เจ้า…เจ้ารังแกคนเกินไปแล้วนะ!”  

 

 

บรรดาผู้บำเพ็ญเพียรชายที่อยู่รอบข้าง เมื่อได้เห็นหน้าของหญิงสาวในชุดแดงอย่างชัดเจนแล้ว ก็รู้สึกงุนงงขึ้นมาชั่วขณะ  

 

 

ในเวลานี้มีมีผู้บำเพ็ญเพียรชายผู้หนึ่งร้องขึ้นด้วยความแปลกใจ “อ๊ะ ข้านึกออกแล้ว นางคือหญิงงามอันดับหนึ่งของดินแดนไท่ไป๋”  

 

 

ผู้คนเซ็งแซ่กันขึ้นมา “มารบำเพ็ญเพียร!”  

 

 

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ดึงดูดความสนใจของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงกลุ่มหนึ่ง เห็นมั่วหร่านอีและมั่วเฟยเยียนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน ก็ทำให้เกิดการคาดเดาต่างๆ ขึ้นมาไม่น้อย  

 

 

มั่วชิงเฉินหันกลับมา ไม่ได้มองไปยังผู้คน ก็พูดกับทั้งสองคนว่า “พี่เก้า พี่สิบ พวกท่านมาได้อย่างไรกัน”  

 

 

มั่วหร่านอีเผยอปาก ยื่นคางแต่ไม่ได้พูดอะไร มั่วเฟยเยียนพูดขึ้นเสียงเรียบว่า “ไปกันเถอะ หาที่ก่อนค่อยคุยกัน”  

 

 

ถึงแม้ว่าผู้คนยังซุบซิบถกเถียงกันอยู่เบื้องหลังมั่วชิงเฉิน แต่ถ้าเห็นระยะอันใกล้เช่นนี้ กลับถูกเอกลักษณ์พิเศษของนางช่วงชิงสติ ในตอนที่สติฟื้นคืนสู่สภาพเดิม หญิงงามทั้งสามคนก็หายตัวไปไม่เหลือร่องรอยโดยไม่มีใครทันรู้ตัว  

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนทั้งสองนางที่ถูกตีอย่างไร้เหตุผล ก็กลับไปยังหงุดหงิด   

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กในชุดสีแดงทั้งตัวผู้หนึ่งกวักมือเรียกหญิงทั้งสอง  

 

 

หญิงทั้งสองรีบเดินเข้าไป แล้วพูดขึ้นพร้อมกันว่า “อาจารย์อาหลี่”  

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงในชุดแดงยิ้มอย่างเย้ายวนหนึ่งที ทันใดนั้นก็ลงมือรวดเร็วราวกับสายฟ้า เสียงดัง  เพี๊ยะ  สองครั้ง ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงทั้งสองคนถูกตบหน้าหนึ่งข้าง  

 

 

“อาจารย์อา…”  

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงยังคงฉายยิ้ม แต่คำพูดของนางกลับไม่มีความอ่อนโยนเลยแม้สักนิด “ไม่ต้องเรียกข้า น่าขายหน้าเสียจริง!”  

 

 

พูดเสร็จก็หันกายเดินไป มาถึงข้างกายผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์ผู้หนึ่ง แล้วพูดด้วยท่าทีออดอ้อน “ท่านอาจารย์…”  

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์ผู้นั้นคือหนึ่งในผู้เข้าร่วมประลอง มีฉายาว่าหย่าอี้ มองเห็นลูกศิษย์กำลังอ้อน แววตาก็เผยให้เห็นถึงความเอ็นดู แต่กลับตีสีหน้านิ่งเฉย “มู่จื่อ อย่าทำอะไรเหลวไหล อายุเท่าไหร่กันแล้ว!”  

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าอ่อนเยาว์ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวแม้สักนิด ดึงมือนักพรตหย่าอี้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ศิษย์ไม่สน ท่านอาจารย์ คนที่ทำให้ศิษย์ต้องอับอายในตอนนั้นมาแล้ว เสียดายที่ระดับการบำเพ็ญพรตของศิษย์ไม่สูงพอ ไม่มีสิทธิ์จะไปสั่งสอนด้วยตัวเอง ท่านต้องช่วยแก้หน้าแทนศิษย์ด้วยนะเจ้าคะ”  

 

 

นักพรตหย่าอี้พูดขึ้นอย่างจนใจ “นางเป็นเพียงระดับก่อแก่นปราณขั้นปลาย เกรงว่าคงอดทนให้ถึงอาจารย์ไม่ได้”   

 

 

“อาจารย์…”  

 

 

“เอาล่ะ หากได้พบนาง อาจารย์จะแก้หน้าแทนเจ้าก็แล้วกัน เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ ยังอุตส่าห์จำมาตั้งหลายปี จริงๆ เลยนางหนูนี่” นักพรตหย่าอี้พูดพลางหัวเราะ   

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กแลบลิ้นออกมา “ท่านอาจารย์ไม่รู้ หลังจากเรื่องราวที่ ‘สำนักฮุ่ยซาน’ ศิษย์ก็ได้ทุ่มเทอย่างสุดชีวิตเพื่อฝึกบำเพ็ญ เพื่อจะล้างอายที่ต้องเปลือยกายต่อหน้าผู้คน ท่านอาจารย์ หากท่านได้พบกับนาง ต้องจับนางเปลือยกาย และให้ผู้คนมากขนาดนี้ดูให้ได้”  

 

 

น้ำเสียงของนักพรตเคร่งขรึมขึ้นมา “มู่จื่อ อย่าพูดจาเหลวไหล ข้าแก้หน้าแทนเจ้าได้ แต่จะให้ทำเรื่องเสียกิริยาเช่นนั้น มันเป็นการกระทำของผู้บำเพ็ญเพียรต่ำชั้น”  

 

 

“อาจารย์…”  

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกำลังจะพูดต่อ แต่ก็ถูกนักพรตหย่าอี้พูดแทรก “ไม่ต้องพูดแล้ว หากเจ้ามีความแค้นฝังใจ ก็จงเปลี่ยนมันเป็นแรงผลักดันแล้วตั้งใจฝึกฝน คงมีสักวันที่เจ้าจะกอบกู้ศักดิ์ศรีคืนมาได้”  

 

 

“เจ้าค่ะ!” ผู้บำเพ็ญหญิงหน้าเด็กกำหมัดแน่น  

 

 

นางชั่วชีวิตนี้ไม่อาจลืม การต่อสู้ที่สำนักฮุ่ยซาน ลูกศิษย์พรรคเหยากวงที่ชื่อว่ามั่วชิงเฉินผู้นั้น ไม่เพียงแต่ทำลายห่วงทองกระพรวนลั่วอินของอาวุญที่นางรักที่สุดเท่านั้น แต่ยังทำลายเกราะอ่อนวิญญาณสีชาดของนางยังไม่รู้จักละอาย จนทำให้นางต้องเผยเนินอกออกมาต่อหน้าสายตาผู้คนที่มอง ความอับอายครั้งนั้น จะไม่มีวันลืมชั่วชีวิต!  

 

 

ล้างแค้นสิบปีก็ไม่สาย มั่วชิงเฉิน เจ้ารอก่อนเถอะ   

 

 

อีกฟากหนึ่ง มั่วชิงเฉินก็ต้องเผชิญกับสายตาอิจฉาริษยาของผู้คนอีกครั้ง จนกระทั่งพาพวกมั่วเฟยเยียนสองคนไปถึงที่พักชั่วคราว  

 

 

บอกให้ทั้งสองคนนั่งลง แล้วรินน้ำชาสามจอกอย่างใจเย็น จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “พี่เก้า หลายวันก่อนตอนที่จากไป ท่านบอกว่าจะกักตัวฝึกฝนไม่ใช่หรือ”  

 

 

ตอนที่บอกลากันที่ยอดเขาลั่วเถา มั่วเฟยเยียนเคยบอกว่า การประลองเฟิงอวิ๋นครั้งนี้นางไม่ได้เข้าร่วม และก็จะไม่มาดูด้วย นางจะฝึกฝนสมบัติวิเศษที่พึ่งได้มาเมื่อหลายวันก่อนหน้านั้นให้เสร็จ  

 

 

เมื่อการประลองเฟิงอวิ๋นเริ่มขึ้น มั่วชิงเฉินก็ไม่ได้เห็นเงามั่วเฟยเยียนปรากฏอยู่ที่นั่งของพรรคลั่วสยา  

 

 

แล้วก็มั่วหร่านอี นางจากไปแต่แรกๆ ไม่ได้รอพบหน้านางหลังจากเสร็จงานมงคล คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมาปรากฏตัวพร้อมกัน  

 

 

พอเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางมั่วหร่านอี  

 

 

คิดไม่ถึงว่านางไม่ทันจะเอ่ยปากพูด มั่วหร่านอีก็แค่นเสียงพูดออกมาว่า “เจ้าสิบหก เจ้าเกิดอะไรขึ้น เป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายแท้ๆ กลับตกเป็นที่นินทาของบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานได้”   

 

 

ได้ยินมั่วหร่านอีพูดจาแดกดัน มั่วชิงเฉินไม่ได้ใส่ใจ พลันยิ้มแล้วพูดว่า “จะพูดอะไรก็ช่างพวกเขาปะไร ข้าไม่สามารถไปไล่ปิดปากทุกคนได้หรอกนะ”  

 

 

มั่วหร่านอีแค่นเสียงเยาะแล้วพูดว่า “ข้าละเกลียดท่าทีทำเป็นสูงส่งของพวกเจ้าเสียจริง ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ทำเป็นไม่สนใจ เสแสร้งนัก!”  

 

 

ทะเลาะกับพี่สาวคนนี้มาตั้งแต่เด็กจนเคยชิน มั่วชิงเฉินเองก็ไม่ได้นิสัยใจคอดีอะไรมากมาย นางกลอกตาเย้ยโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ “ไม่เสแสร้งแล้วให้ทำเช่นใด หรือจะให้เป็นเหมือนพี่สิบ ไปไล่ตบหน้าผู้บำเพ็ญระดับสร้างรากฐานพวกนั้นหรือ รังแกคนอ่อนแอข้าก็ชอบอยู่หรอกนะ ประเด็นคือคนมากมายเพียงนี้ ข้าคงต้องตบจนมือชาแน่”  

 

 

นางพูดออกไปเช่นนี้ มั่วหร่านอีก็คลายอารมณ์ลง แล้วตวัดสายตามองไปที่มั่วเฟยเยียนปราดหนึ่ง “มั่วเฟยเยียน ข้ารู้สึกว่าเจ้าสิบหกยังมีชีวิตชีวามากกว่าเจ้าอีกนะ”  

 

 

มั่วเฟยเยียนพูดอย่างเย็นชา “ปัญญาอ่อน”  

 

 

“เจ้า!” มั่วหร่านอีมองด้วยสายตาเกรี้ยวกราด  

 

 

มั่วชิงเฉินคลึงหน้าผากอย่างจนปัญญา นางจะเรียกทั้งสองคนนี้ว่าเป็นคู่อาฆาตได้หรือไม่ ทันทีที่พบหน้ากันเป็นต้องเปิดฉากปะทะ หนำซ้ำยังต้องมาพบกันครั้งแล้วครั้งเล่า  

 

 

“เอาล่ะ ไม่ต้องทะเลาะแล้ว พี่เก้าพี่สิบ พวกท่านจู่ๆ ก็มาครั้งนี้ คงไม่ได้มาเพื่อดูข้าประลองหรอกกระมัง”  

 

 

มั่วหร่านอียิ้มเยาะแล้วพูดขึ้นว่า “ดีที่ไม่ใช่มาเพื่อดูเจ้าประลอง ไม่เช่นนั้นก็คงเป็นการเดินทางมาเสียเวลาเปล่าๆ”  

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกจุกจนพูดไม่ออกขึ้นมาทันที  

 

 

ในเวลานั้นมั่วเฟยเยียนก็พูดขึ้นว่า “เจ้าสิบหก เจ้ายังจำท่านอาสิบสี่ได้ไหม”  

 

 

ประโยคนี้ราวกับระเบิดที่ดังขึ้นท่ามกลางความสงบ มั่วชิงเฉินลุกขึ้นพรวด แล้วถามออกไปน้ำเสียงละล่ำละลักว่า “ท่านอาสิบสี่หรือ พี่เก้า ท่านหมายความว่าอะไรกัน”  

 

 

เห็นท่าทีตื่นเต้นกังวลของนาง มั่วเฟยเยียนก็ยิ้มบางหนึ่งที นางคิดว่าน้องสิบหกคนนี้ในตอนนั้นอายุเพียงสองขวบ ยังแบเบาะ ความทรงจำเกี่ยวกับอาสิบสี่คงเลือนราง เห็นนางท่าทีเช่นนี้ ก็ดูออกว่าอาสิบสี่ในใจนางนั้นมีความหมายเพียงใด   

 

 

หวนคิดถึงเมื่อครั้งอาสิบสี่พานางเข้าสู่สำนัก ก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลแล้ว   

 

 

“พี่สิบเก้า?” มั่วชิงเฉินไม่สามารถปกปิดหัวใจที่ลุกลน นางจึงเรียกออกมาอีกหนึ่งที  

 

 

มั่วเฟยเยียนได้สติคืน ก็พูดว่า “รายละเอียด เจ้าถามน้องสิบแล้วกัน”  

 

 

มั่วชิงเฉินมองไปยังมั่วหร่านอี  

 

 

มั่วหร่านอีย่นคิ้ว แล้วพูดว่า “ไม่กี่เดือนก่อนตอนที่ข้าไปจากที่ของเจ้า เดิมทีตั้งใจจะกลับไปที่ดินแดนไท่ไป๋สักเที่ยว บังเอิญได้เข้าไปยังพื้นที่ซึ่งเป็นพลังหยินเข้มข้นอย่างที่สุด ผลก็คือ ได้พบเข้ากับหอกักวิญญาณ”  

 

 

มั่วชิงเฉินได้ยินก็หัวใจเต้น ในปีนั้นด้วยเรื่องของท่านปู่ นางจึงได้ดูหนังสือเกี่ยวกับพวกภูตผีวิญญาณมาอยู่ไม่น้อย ย่อมรู้ว่าหอกักวิญญาณที่ว่านี้คือสิ่งใด   

 

 

หอกักวิญญาณนี้ความหมายเป็นไปตามชื่อ เป็นเขตอาคมที่สามารถกักขังดวงวิญญาณ เพียงแต่ค่ายอาคมนี้ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดขึ้นในพื้นที่ที่เป็นพลังหยินสูงถึงระดับสูงสุด  

 

 

ในวินาทีที่คนผู้หนึ่งตาย หากดวงจิตยึดมั่นแข็งกล้า ดวงวิญญาณก็จะเกาะกลุ่มไม่สลายและไม่ได้ไปสู่ปรโลกโดยทันที หากข้างๆ บังเอิญมีหอกักวิญญาณอยู่ด้วยแล้ว จะสามารถดูดเอาวิญญาณเร่ร่อนนั้นเอาไว้ด้านในได้   

 

 

สำหรับวิญญาณเร่ร่อนแล้วนี่คือโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ เพราะว่าวิญญาณที่ได้เข้าสู่หอกัดวิญญาณแล้วไม่เพียงแต่ยังคงรักษาสติปัญญาให้แจ่มชัดได้ และยังเป็นสถานที่ซึ่งภูตผีวิญญาณสามารถฝึกบำเพ็ญได้อย่างดี  

 

 

แม้ว่าผู้คนทั่วไปจะไม่มีวิชาของผีบำเพ็ญเพียร แต่เมื่อตายไปเข้าสู่หอกักวิญญาณก็ไม่อาจใช้การฝึกฝนบําเพ็ญเพียรของมนุษย์ได้ ทำได้เพียงหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณให้แข็งแกร่ง คงอยู่นับพันปีไม่สูญสลาย หากประสบโอกาสได้ฝึกฝนวิชาเปลี่ยนสายเป็นผีบำเพ็ญเพียร ก็จะสามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว  

 

 

เสียดายแต่เพียงว่าฟ้าดินนั้นมีสมดุล ข้อเสียอย่างหนึ่งของหอกักวิญญาณก็คือ ต้องอาศัยแรงจากภายนอกในการทำลาย ไม่เช่นนั้นแล้ววิญญาณที่อยู่ภายในก็ได้แต่ถูกกักขังอยู่ชั่วกาลนาน  

 

 

ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานไร้ซึ่งความหวัง ก็เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็รู้สึกกลัวเรื่องหนึ่ง  

 

 

“ท่านอาสิบสี่ถูกขังไว้อยู่ในหอกักวิญญาณอย่างนั้นหรือ” มั่วชิงเฉินสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งที สีหน้ากลับมาสงบนิ่งดังเดิม  

 

 

ใครจะไปรู้ว่าสิ่งที่มั่วหร่านอีพูดต่อนั้นยิ่งทำให้รู้สึกน่าตกใจยิ่งกว่า “ไม่ใช่ ในหอกักวิญญาณ คือท่านป้าหก!”  

Related

Comment

Options

not work with dark mode
Reset