ในปีที่อายุได้สิบหกก็ได้สมรสกับเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์ปัจจุบันผู้เป็นที่รัก ทั้งสองคนรักใคร่ซึ่งกันและกัน เป็นคู่กิ่งทองใบหยกที่ผู้คนล้วนแต่อิจฉา แต่เวลาผ่านไปไม่นาน เสวียนหั่วเจินจวินก็ได้บังเอิญพบกับผู้บำเพ็ญเพียรเหยากวง คนผู้นั้นเห็นว่าร่างวิญญาณของเขาโดดเด่นอยู่ในระดับสูง หมายที่จะรับเขาเป็นลูกศิษย์กับไปยังพรรคเหยากวง เสวียนหั่วเจินจวินตัดใจจากภรรยาที่เพิ่งจะแต่งงานกันให้ได้จึงไม่ได้ตอบรับ ผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นเสียดายความสามารถ จึงได้มอบวิชาเบื้องต้นและโอสถจำนวนหนึ่งให้กับเสวียนหั่วเจินจวิน
ด้วยความสามารถของเสวียนหั่วเจินจวิน ยังมีเวลาไม่กี่ปีก็ฝึกฝนจนประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง เดิมทีเขาก็มีพรสวรรค์ในการฝึกบำเพ็ญ หากได้ก้าวสู่วิถีแห่งเซียน หัวใจดวงนั้นก็ยากที่จะกลับคืนไปใช้ชีวิตในโลกมนุษย์ได้อย่างสงบสุข ในที่สุดก็ตัดสินใจออกจากทางโลกแสวงหาหนทางแห่งเซียน องค์หญิงร่ำไห้วิงวอนอย่างโศกเศร้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนการตัดสินใจของเขาได้ คาดไม่ถึงว่าองค์หญิงจะมีนิสัยใจคอโหดเหี้ยม ในวันที่แยกกากกับเสวียนหั่วเจินจวิน นางก็ทุ่ม ลูกชายที่อายุยังไม่ครบสามขวบตาย จากนั้นก็ปิดชีพตัวเอง เสวียนหั่วเจินจวิน ช่วยชีวิตนางเอาไว้ได้ จากนั้นก็จากไปเงียบๆ
เรื่องราวช่างบังเอิญประจวบเหมาะ องค์หญิงเองก็มีแลกวิญญาณชั้นดีประจำกาย นางทุ่มเทอย่างเต็มที่ในที่สุดก็หาหนทางเข้าสู่พรรคบําเพ็ญเพียรได้ หลายปีต่อมาบังเอิญได้พบกับเสวียนหั่วเจินจวินอีกครั้ง นางได้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้ว แล้วชี้ไปยังลูกชายหญิงแล้วหัวเราะ “เยี่ยเสวียน ไหนว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียร ก็จะทิ้งลูกเมีย ตอนนี้ข้ามีทั้งลูกชายและลูกสาว ระดับการบำเพ็ญพรตก็ไม่ได้ต่ำไปกว่าเจ้า และเจ้า ก็จงอยู่เพียงลำพังโดยไร้ลูกหลานสืบสกุลต่อไปเถอะ”
ได้ยินเยี่ยเทียนหยวนเล่าเช่นนั้น มั่วชิงเฉินก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเสวียนหั่วเจินจวินซึ้งหัวเราะอย่างไม่เกรงใจใคร นิสัยใจคอร่าเริงแจ่มใส จะมีอดีตเช่นนี้
“ชิงเฉิน?” เห็นมั่วชิงเฉินนิ่งเงียบ เยี่ยเทียนหยวนก็เรียกหนึ่งที
“หืม?”
“เจ้าไม่โกรธแล้วใช่หรือไม่”
มั่วชิงเฉินยิ้มหวานหนึ่งที “แต่แรกก็ไม่ได้โกรธจริงจังอยู่แล้ว ต้องเป็นห่วงหรอก เดี๋ยวข้าก็ชิน”
นางสามารถชินกับอีกาไฟได้ แล้วยังจะมีอะไรที่นางจะไม่ชิน
เยี่ยเทียนหยวนหัวเราะ ครั้นแล้วก็พูดขึ้นอย่างจริงจัง “ชิงเฉิน เรื่องลูก เจ้าคิดอย่างไร”
คำถามนี้ แต่ทั้งสองคนได้เป็นคู่สามีภรรยากันอย่างแท้จริง มั่วชิงเฉินก็เคยคิด หลังจากได้พบกับประมุขตระกูลอู๋พร้อมด้วยลูกสาวและลูกเขยที่ป่าดอกท้อเกาะจันทร์เสี้ยว ก็ยิ่งชัดเจนกับความคิดของตนเอง ได้ยินเยี่ยเทียนหยวนถามเช่นนี้ ก็พูดอย่างจริงจังว่า “ศิษย์พี่ บอกตามตรง ในเวลาอันใกล้นี้ถ้าไม่คิดที่จะมีลูก ถึงแม้ว่าผู้บำเพ็ญจะมีโอกาสให้กำเนิดบุตรที่มีรากวิญญาณมากกว่าคนธรรมดา แต่ก็ยังเป็นไปได้มากที่จะให้กำเนิดบุตรที่ไม่มีรากวิญญาณ หากเป็นเช่นนี้ พวกเราล้วนแต่มีอายุขัยยืนยาว พวกเราต้องคอยดูลูกตัวน้อยๆ ค่อยๆ โตและแก่เฒ่าสุดท้ายก็กลายเป็นธุลี ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเหลือเกิน ยังมิพัก ถ้าตอนนี้มีเรื่องให้ทำอีกมาก ยังไม่อยากมีภาระเพิ่ม”
เห็นเยี่ยเทียนหยวนเงียบไป ก็อดไม่ได้ที่จะถาม “ศิษย์พี่ ไม่ต้องสนใจความคิดของข้า เจ้ามีความคิดเช่นไร”
ระหว่างสามีภรรยาสำคัญที่การพูดคุยอย่างเปิดเผยจริงใจ นางไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะต้องคอยรับฟังปฏิบัติตามเสมอเพียงเพราะรักนาง
เยี่ยเทียนหยวนกุมมือมั่วชิงเฉิน แล้วพูดว่า “ถึงแม้ว่าถ้าอยากจะมีลูกเพื่อสืบสายเลือดของพวกเราทั้งสอง แต่เจ้าพูดถูก ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้าจะเข้าร่วมการแข่งวายุเมฆา แล้วจากนั้นยังต้องออกค้นหาแดนสวรรค์มี่หลัวตูอีก ข้าเองก็ต้องปิดผนึกจิตตระหนักรู้นับสิบปี ลูกของพวกเรา หากเกิดมาแล้วไม่ได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ เช่นนั้นก็อย่าเพิ่งมีเลย รอให้พวกเราพร้อมก่อนก็ได้”
มั่วชิงเฉินรู้สึกปลื้มปิติที่เยี่ยเทียนหยวนเห็นพ้องกันโดยไม่ได้นัดหมาย นางยื่นเคล็ดวิชาควบทองที่เหิงตั๋วเจินจวินมอบให้ส่งให้เขา “ศิษย์พี่ เจ้าลองศึกษาดู สองสามวันนี้ข้าเกรงว่าจะไม่มีเวลาที่จะเรียนรู้ เอาล่ะ เจ้ารีบไปดื่มเหล้ากับพวกพี่ถังเถอะ ข้าจะจัดการของขวัญต่อ”
เยี่ยเทียนหยวนจุมพิตหน้าผากมั่วชิงเฉิน แล้วเอาของสิ่งหนึ่งออกมา “ชิงเฉิน สิ่งนี้ข้ามอบให้เจ้า”
มั่วชิงเฉินรับมาแล้วมองไป “หยกย้อนอดีตหรือ”
เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้า “ข้าได้บันทึกงานพิธีเข้าผู้บำเพ็ญของพวกเราไว้แล้ว”
มั่วชิงเฉินรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจ ถึงแม้ว่านางจะไม่เคยพูดมันออกมา แต่การไม่สามารถเห็นงานแต่งของตนด้วยตาตนเอง เป็นเรื่องที่น่าเสียใจ คิดไม่ถึงว่าเขาจะบันทึกมันทนไว้
นางเป็นฝ่ายจุมพิตเยี่ยเทียนหยวนหนึ่งที แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์พี่ ขอบคุณเจ้ามาก ข้าชอบมากเลย”
เยี่ยเทียนหยวนมองเหม่อไปยังใบหน้าที่ยิ้มอ่อนหวานมั่วชิงเฉิน จนกระทั่งมั่วชิงเฉินตัวเขา จึงได้เดินจากไปด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
มั่วชิงเฉินจ้องนิ่งไปยังหยกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เก็บมันลงในกำลังเก็บของ จากนั้นก็ดูสิ่งอื่นต่อ
สิ่งที่หลิวซางเจินจวินมอบให้ คือลูกแก้วที่เป็นเงาดำทั้งลูกขนาดเท่าผลทับทิมสองลูก นอกจากนี้แล้วก็ไม่ได้ทิ้งข้อความอะไรไว้
มั่วชิงเฉินหยิบลูกแก้วดำขึ้นมาสำรวจ เมื่อเห็นลวดลายที่ปลากดไปทั่วทั้งลูกแก้วดำนั้น ก็นึกถึงข้อความที่ได้ดูในหนังสือลับเล่มหนึ่งขึ้นมาทันที ในที่สุดก็ได้รู้ว่าลูกแก้วดำมีชื่อว่าระเบิดแหวกมิติ
ระเบิดแหวกมิติเป็นผลวิญญาณที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ มีคุณสมบัติในการแบ่งแยกเทศะ เรียกได้ว่าเป็นของวิเศษอันล้ำค่าสามารถช่วยรักษาชีวิตได้
หากต่อสู้กับผู้อื่นแล้วหมดทางหนี ใช้ระเบิดแหวกมิติก็จะสามารถไปปรากฏตัวยังอีกที่หนึ่ง ข้อเสียของมันก็คือสถานที่ที่จะปรากฏนั้นเป็นไปแบบสุ่ม หากไปปรากฏตัวอยู่กลางภูเขาไฟที่กำลังปะทุหรือหรือกลางพายุ เช่นนั้นก็คงแล้วแต่บุญกรรม
ดังนั้นการใช้ระเบิดแหวกมิติ จำเป็นที่จะต้องรอบคอบ ปกติแล้วเมื่อตกอยู่ในสภาพจนตรอกถึงจะเอาออกมาวัดดวงดู
ระเบิดแหวกมิติสองลูกนี้ ย่อมเป็นของมั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนคนละลูก
เมื่อดูของจากเพื่อนสนิทอีกสองสามอย่างแล้ว ถึงแม้ว่าหลายอย่างจะไม่ได้ล้ำค่า แต่ก็มอบให้ด้วยใจ และถูกใจนาง มั่วชิงเฉินเก็บความซาบซึ้งเหล่านี้ไว้ในใจ นางสะบัดมือหนึ่งที แล้วมองไปยังของขวัญที่กู้หลีมอบให้
ขวดหยกสีขาวเรียงเป็นแถวเจ็ดใบ ในนั้นมีอยู่หกขวดที่เป็นโฆษกสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดใช้ ล้วนแต่เป็นของที่หาได้ยากในโลก
ระดับการบำเพ็ญสูง โอสถที่สามารถใช้ได้อย่างเหมาะสมก็ยิ่งน้อย ไม่ได้เป็นเพราะว่าการหลอมยานั้นทำได้ยาก แต่เป็นเพราะวัตถุดิบนั้นยากที่จะหามาได้ ขวดโอสถทั้งหกนี้ดูธรรมดา แต่กลับมีคุณค่ามากกว่าของวิเศษชั้นสูงอื่นหลายต่อหลายเท่า เห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งที่มอบให้กับเยี่ยเทียนหยวน
มั่วชิงเฉินเอาของขวัญเหล่านี้ที่มอบให้กับเยี่ยเทียนหยวนไว้ในถุงที่แยกโดยเฉพาะ แล้วมองไปยังขวดโอสถใบสุดท้าย
บนขวดโอสถไม่มีร่องรอยตัวอักษรเลยแม้สักนิด เมื่อเปิดจุกออก ก็มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ปะทะมา รู้สึกหัวโล่งขึ้นมาทันที
มั่วชิงเฉินใจเต้นตุบ ก้มหน้าดม จากนั้นก็เทโอสถสีแดงอ่อนเม็ดหนึ่งออกมา แล้วมองพิจารณา
สักครู่ใหญ่ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย นางหลุดปากพูดออกมาว่า “โอสถเทพโลหิต”
โอสถเทพโลหิต ได้จากการใช้เลือดดวงใจมนุษย์เป็นตัวนำในการหลอมยา มีฤทธิ์ในการรักษาดวงจิตดั้งเดิมอย่างชะงัด หากมิใช่เพราะว่ามีโอกาสได้อ่าน “มุกกลั่นทะเลแดง” ของมั่วถง โอสถวิญญาณที่หาได้ยากเช่นนี้ เกรงว่าต่อให้นานทุ่มเทศึกษาปรุงยาสักกี่ร้อยปี ก็คงไม่มีวันได้ยินชื่อนี้
เลือดดวงใจคือเลือดอันล้ำค่าของผู้บำเพ็ญ หากสูญเสียพลังจิตก็จะได้รับความเสียหาย และผู้หลอมยาต้องเสียเลือดดวงใจแล้วยังต้องปรุงโอสถเทพโลหิตต่อ ในโลกของผู้บำเพ็ญ จะมีใครกันที่ยินยอมทำเช่นนี้
โอสถเทพโลหิตเป็นสิ่งล้ำค่าที่หาได้ยาก ไม่ต้องบอกก็เป็นที่รู้กัน
มิน่าเล่าในวันพิธีเข้าคู่บำเพ็ญ ใบหน้าของอาจารย์จึงซีดขาว
มั่วชิงเฉินรู้สึกเสียใจเล็กน้อย นางพึมพำกับตัวเองว่า “ท่านอาจารย์ มีลูกศิษย์อย่างชิงเฉิน นับว่าท่านช่างโชคร้ายเสียจริง”
พูดจบก็ไม่ได้มองสิ่งอื่นต่อ นานกลืนโอสถเทพโลหิตลงไปอย่างเด็ดเดี่ยว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะต้องไม่ทำให้เลือดดวงใจของอาจารย์เสียเปล่า
บางทีที่โอสถเทพโลหิตเข้าสู่ปาก ก็กลายเป็นไอวิญญาณสีเลือดพุ่งไปสู่จิตสำนึก ดวงจิตดั้งเดิมที่ฟื้นฟูสภาพขึ้นมาไม่น้อยว่ายวนไปในห้วงแห่งที่เต็มไปด้วยไอวิญญาณสีเลือด ค่อยๆ ดูดซึมไอวิญญาณสีเลือด จากนั้นก็ค่อยๆ เข้าสู่ภวังค์
มั่วชิงเฉินอยู่สภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น ดวงจิตส่องสว่างไปทั่ว
เจ็ดวันหลังจากนั้นจึงตื่นขึ้น รู้สึกว่าดวงจิตเต็มเปี่ยม แล้วก็เข้าคู่บำเพ็ญกับเยี่ยเทียนหยวนอีกครั้งเพื่อให้มั่นคง
ผ่านไปเช่นนี้ ก็เหลือเวลาเพียงหนึ่งเดือนที่จะมีการแข่งขันวายุเมฆา มั่วชิงเฉินตัดสินใจศึกษาวิชาควบทองและหลอมลูกปัดสีแดงเกิดจากความพยาบาทกึ่งปีศาจไปพร้อมกัน
Related