พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 511 ชิงเฉินหมดความอดทน

ในขณะที่ฝูงชนต่างเหม่อลอย มั่วชิงเฉินก็เดินออกจากเกี้ยว ย่ำลงบนสะพานบุปผาที่สร้างจากกลีบดอกไม้และพลังวิญญาณ เดินเข้าไปทีละก้าวเข้าใกล้เยี่ยเทียนหยวน มีพญาหงส์เจ็ดสีคู่หนึ่งคอยเคียงข้างซ้ายขวา ร่ายรำโบยบินตาม

 

 

นัยน์ตาอันเยือกเย็นประหนึ่งดวงดาวกลางฤดูหนาวของเยี่ยเทียนหยวนปรากฏเงาร่างสีแดงเล็กๆ ขึ้น เขาสาวเท้าก้าวเข้าไปอย่างไม่อาจห้ามใจ เหยียบขึ้นสะพานบุปผา

 

 

เสวียนหั่วเจินจวินกระแอมดังๆ หนึ่งที จากนั้นก็เอามือป้องหน้า

 

 

แต่นั่นก็ไม่ทันเสียแล้ว ในวินาทีที่เยี่ยทียนหยวนเหยียบลงไปบนสะพานบุปผา สะพานทั้งลำก็ได้กลายเป็นแสงวิญญาณสีชมพูเป็นดวงๆ ในพริบตา เลือนหายไปในอากาศ 

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกความว่างเปล่าใต้ฝ่าเท้า ร่างกายร่วงลง รีบพยายามประคับประคองสภาพที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน ตัวตนนางในใจกู่ร้องอย่างคลุ้มคลั่ง  เกิดอะไรขึ้นอีกแล้วหรือ!

 

 

เยี่ยเทียนหยวนหน้าถอดสีทันที แล้วใช้ความเร็วดั่งสายอัสนีบาตพุ่งเข้าไป รวบตัวมั่วชิงเฉินไว้แน่น

 

 

บรรยากาศที่ในตอนแรกดูศักดิ์สิทธิ์ราวกับภาพฝันจากปรากฏการณ์ของพญาหงส์เจ็ดสีก็เปลี่ยนไปโดยพลัน ฝูงชนโห่ร้องขึ้นมา มีคนพูดล้อคะนองปากว่า “ยังไม่ทันเข้าหอเลย เจ้าบ่าวช่างใจร้อนเสียจริง!”

 

 

“นั่นน่ะสิ นั่นน่ะสิ!” คนจำนวนมากกล่าวเสริมด้วยเสียงหัวเราะ 

 

 

ตั้งแต่ที่เหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นครั้งแรกนี้ พญาหงส์เจ็ดสีคู่นั้นก็พุ่งลงไป แต่ละตัวเข้าไปรับคนทั้งสอง แพนหางอันยาวเป็นเพราะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ลำแสงทรงครึ่งวงกลมจากแสงวิญญาณเจ็ดสีทิ้งประกายไว้อยู่กลางอากาศ แสงสว่างทั้งสองลำบรรจบกันกลายเป็นรูปวงกลมอันสมบูรณ์แบบ 

 

 

เสียงอุทานด้วยความประหลาดใจดังขึ้น 

 

 

พญาหงส์เจ็ดสีบินเรียบเคียงกัน พาคู่บ่าวสาวบินไปยังหอสูง

 

 

“เทียนหยวน เกิดอะไรขึ้นกันหรือ” มั่วชิงเฉินถามเสียงเบา 

 

 

เยี่ยเทียนหยวนหน้าแดงไปถึงกกหู พูดขึ้นเสียงเบาว่า “ข้าาเผลอเหยียบลงบนสะพานบุปผา….”

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกเคว้งไปชั่วขณะ สักพักใหญ่ก็หลุดโพล่งออกมาสองคำว่า “เจ้าโง่…”

 

 

สะพานวิญญาณที่ขึ้นรูปจากกลีบดอกไม้ เป็นสิ่งซึ่งผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสูงท่านหนึ่งแห่งเหยากวงสร้างไว้ในอดีต สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน กลายเป็นภาพอันโดดเด่นไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนในพิธีเข้าคู่บำเพ็ญของพรรคเหยากวง

 

 

ลูกศิษย์เหยากวงนับหมื่นพัน ทุกๆ สิบปีมักจะมีคนแต่งงาน ดังนั้นทุกคนล้วนแต่รู้ว่าสะพานวิญญาณที่สร้างจากกลีบดอกไม้นี้ล้ำค่ายิ่งนัก จะสัมผัสธาตุหยางของเพศชายมิได้ มิเช่นนั้นก็จะมลายหายไป

 

 

สำหรับเยี่ยเทียนหยวนผู้เป็นตัวตนหยางบริสุทธิ์ทั้งยังมีเพลิงวาสนาตะวัน ธาตุหยางย่อมเปี่ยมล้น เพียงแค่สัมผัสสะพานวิญญาณเบาๆ หนึ่งทีก็จะหายไปในทันที ความเร็วนั้นพูดได้ว่าไม่มีใครสามารถรับมือได้ทัน หากไม่โชคดีมีพญาหงส์เจ็ดสี เกรงว่าเรื่องนี้คงกลายเป็นที่ขบขันกันอีกนาน

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินแสดงทีท่าตำหนิ เยี่ยเทียนหยวนก็ค่อยๆ กุมมือนางไว้แน่น แล้วพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ชิงเฉิน อย่าโกรธไปเลย กลับไปแล้วเทียนหยวนจะให้เจ้าลงโทษตามใจเลยดีไหม”

 

 

“จริงหรือ” มั่วชิงเฉินแอบขำ

 

 

ในขณะเยี่ยเทียนหยวนถูกเสียงหัวเราะของมั่วชิงทำให้รู้สึกหนักใจ พญาหงส์เจ็ดสีก็ค่อยๆ ร่อนลงบนหอสูง ครั้นแล้วก็บินวนอยู่เหนือศีรษะทั้งสองคนครู่หนึ่ง ส่งเสียงร้องดังกังวาลแล้วบินพุ่งเข้าสู่กลีบเมฆ

 

 

เมฆสีขาวบนฟ้าทันใดนั้นก็ถูกสาดย้อมกลายเป็นเมฆเจ็ดสี ดูงามตระการตาอย่างยิ่ง ในขณะที่ฝูงชนกำลังรู้สึกมหัศจรรย์ ก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ความขาวบริสุทธิ์ดังเดิม ขับดุลให้ท้องฟ้ายิ่งดูสีฟ้าครามสะอาด 

 

 

หลิวซางเจินจวินนั่งนิ่งอยู่กลางหอสูง มองดูคู่กิ่งทองใบหยกที่กำลังเดินมายังเขา ก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า ช่างเป็นคู่ที่ฟ้าสร้างมาเหมาะสมกันเสียเหลือเกิน ช่างหาได้ยากนะ

 

 

หลังจากนั้นก็เป็นขั้นตอนการแต่งงานที่ไม่ได้แตกต่างกับของนักพรตจื่อซีมากนัก ภูมิฐานแต่ไม่จุกจิก เพียงแค่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ยกจอกสุราเปลี่ยนจากนักพรตรั่วซีมาเป็นต้วนชิงเกอแทน

 

 

ภายใต้สายตานับหมื่นพันที่จับจ้อง เยี่ยเทียนหยวนและมั่วชิงเกอคล้องแขนดื่มจอกสุรา แล้วดื่มสุราที่ผสมโลหิตของทั้งสองฝ่ายลงไป

 

 

เมื่อสุราเข้าสู่ท้อง กลายเป็นกระแสอันอบอุ่นซึมแทรกสู่เส้นเลือดและกระดูก มั่วชิงเฉินทันใดนั้นก็รู้สึกว่าผู้ซึ่งกำลังประคองแขนอยู่นั้น มีบางอย่างซึ่งยากจะบรรยายผูกพันกันไว้

 

 

มาถึงขั้นนี้ พิธีการก็สำเร็จ แต่เยี่ยเทียนหยวนยังมีบรรพบุรุษสายตรงอยู่ในงาน มั่วชิงเฉินเองก็มีอาจารย์ผู้มีพระคุณ ดังนั้นหลัวซางเจินจวินจึงเอ่ยขึ้นว่า “ลั่วหยาง ชิงเฉิง คารวะผู้ใหญ่สิ”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนประคองมือมั่วชิงเฉินอย่างระวัง เดินไปด้านหน้าเสวียนหั่วเจินจวิน แล้วถึงทิ้งตัวคุกเข่าลงไป

 

 

เสวียนหั่วเจินจวินยิ้มพริ้มประคองคนทั้งสองขึ้น แล้วยื่นกล่องหยกใบหนึ่งให้ “นางหนูชิงเฉิน ต่อไปก็เรียกข้าว่าท่านเทียดแล้วกัน นี่คือของรับขวัญที่ข้าผู้เป็นเทียดมอบให้เจ้า”

 

 

“ขอบพระคุณท่านเทียดที่มอบให้” มั่วชิงเฉินค้อมกายเล็กน้อย รับกล่องหยกมาอย่างนอบน้อม 

 

 

แล้วเสวียนหั่วเจินจวินก็มองไปยังเยี่ยเทียนหยวน “ลั่วหยางเอ๋ย เจ้าก็มีภรรยาแล้ว เจ้าต้องเรียนรู้จากเทียดของเจ้า รู้จักที่จะรักทะนุถนอมภรรยา อีกอย่าง อย่าเอาแต่ทำหน้าเย็นชา ระวังจะทำให้ลูกเจ้าในอนาคตตกใจหนีไปได้”

 

 

ทันทีที่พูดประโยคนี้ออกมา สายตาผู้คนก็หันไปมองที่บริเวณท้องของมั่วชิงเฉินโดยทันที

 

 

เส้นเอ็นบนมุมหน้าผากของมั่วชิงเฉินปูดเขียว ใบหน้าบึ้งตึง

 

 

งานมงคลของนาง มีอะไรจะให้ขายหน้าไปกว่านี้อีกไหม

 

 

เยี่ยเทียนหยวนกลับหน้าแดงขึ้นอย่างที่เห็นได้ยาก แล้วพูดออกอย่างนอกมองว่า “ลั่วหยางจะจำไว้ขอรับ” พูดพลางมองไปยังมั่วชิงเฉิน แล้วยิ้มน้อยๆ หนึ่งที

 

 

ตัวเขาต่อหน้าผู้คนแต่ไหนแต่ไรมาวางทีเย็นชา ในขณะนี้รอยยิ้มอันอ่อนโยนดั่งสายน้ำปรากฏขึ้นบนใบหน้า อบอุ่นจนแทบจะหลอมหิมะบนยอดเขาสูงละลาย งดงามราวกับดอกไม้ที่เบ่งบานรับฤดูใบไม้ผลิ

 

 

หัวใจของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงไม่น้อยราวกับถูกกระแทกกระทบ สองแก้มแดงระเรื่อ น้ำตาเอ่อรื้นมองไปอย่างเปี่ยมด้วยอารมณ์

 

 

หร่วนหลิงซิ่วซึ่งนั่งอยู่ข้างกายเจ้าสำนักลั่วสยาก้มหน้า มือทั้งคู่จิกเสื้อเอาไว้แน่น

 

 

เยี่ยเทียนหยวนจูงมือมั่วชิงเฉินเดินไปยังกู้หลี

 

 

กลิ่นอายอันคุ้นเคยนั้นอยู่เบื้องหน้า มั่วชิงเฉินค่อยๆ กราบลง ภาพที่ได้พบในวัยเยาว์ปรากฏขึ้นในความคิดโดยไม่รู้ตัว คําพูดนับพันนับหมื่นติดอยู่ในลำคอ ท้ายที่สุดก็หลอมรวมเป็นคำว่า “ท่านอาจารย์”

 

 

เลื่อนสายตาลงไปมองมั่วชิงเฉินในชุดเจ้าสาวสีแดงสดทั้งตัว สายตาจ้องไปยังบนมือทั้งคู่ที่กุมแน่นของคู่บ่าวสาวอย่างเงียบงัน แล้วก็รีบละสายตากลับอย่างเงียบเชียบ ทำทีปะะหนึ่งว่าไม่ได้ใส่ใจ กู้หลีเผยให้เห็นรอยยิ้มอันปลอดโปร่งเบิกบาน “ชิงเฉิน อาจารย์ดีใจยิ่งนัก…” พูดเสร็จก็หยุดลง แล้วพูดขึ้นอีกครั้งด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น “ดีใจที่เจ้าเติบโตมาอย่างดี…ขออวยพรให้เจ้ากับลั่วหยางรักใคร่เข้าใจกัน อยู่ร่วมกันชั่วนิรันดร์” 

 

 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดวงตามองไม่เห็นหรือไม่ จึงต้องใช้ใจฟัง ทั้งที่เต็มไปด้วยคําอวยพร แต่มั่วชิงเฉินกลับรู้สึกได้ถึงความมืดมนไม่รู้ที่มา

 

 

นางเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ ทั้งที่รู้ว่ามองไม่เห็น แต่กลับยังมองไปยังกู้กลี กลิ่นอายอันคุ้นเคยนั้นก่อเป็นภาพร่างของกู้หลีขึ้นในความคิด

 

 

ชุดสีเทาสมถะ เรียบง่ายเฉกเช่นเซียน หลายปีมานี้ราวกับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ก็ดูเหมือนมีบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม

 

 

ไม่รอให้นางใคร่ครวญอย่างละเอียด กู้หลีก็ยื่นของกำนัลให้ แล้วพูดด้วยรอยว่า “ศิษย์น้องลั่วหยาง ช่วยดูแลชิงเฉินให้ดี ยอดเขาลั่วเถาและกวงฮุ่ยต้อนรับนางเสมอ”

 

 

ในเสียงหัวเราะของเขา ยากนักจะแฝงด้วยการหยอกล้อเช่นนี้ มั่วชิงเฉินได้ยิน ความรู้สึกประหลาดนั้นก็หายไปทันใด และยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

เยี่ยเทียนหยวนรับของกำนัล น้ำเสียงนอบน้อม “ลั่วหยางรับคำสั่งสอนขอรับ”

 

 

เมื่อถึงจุดนี้ พิธีเข้าคู่บําเพ็ญในที่สุดก็ปิดฉากลง คู่บ่าวสาวก็เริ่มยกสุราคาราวะบรรดาแขกเหรื่อจากสำนักพรรคต่างๆ

 

 

จนกระทั่งเมื่อถึงโต๊ะของพรรคลั่วสยา เยี่ยเทียนหยวนก็ประคองมั่วชิงเฉินไปดื่มคาราวะเจ้าสำนักหร่วน โดยไม่ได้มองหร่วนหลิงซิ่วที่จ้องเขม่งมายังเขาเลยแม้แต่น้อย

 

 

หร่วนหลิงซิ่วได้แต่เพียงรู้สึกว่าสีแดงสดที่ปรากฏต่อหน้านั้นช่างบาดตายิงนัก มือที่กำจอกแก้วนั้นสั่นเทิ้ม เสียงดังขึ้น  เพล้ง  จอกสุราที่ทำจากหยกขาวถูกบีบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ สุราวิญญาณสาดกระเซ็นไปทั่ว 

 

 

เสียงที่เกิดขึ้นนี้ ดึงดูดสายตาผู้คนไม่น้อยในทันที

 

 

โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเพียรที่รู้ที่มาที่ไปของคนทั้งสาม ยิ่งเผยสีหน้าดูตื่นเต้นเป็นอันมาก

 

 

เจ้าสำนักถลึงตามองหร่วนหลิงซิ่วปราดหนึ่ง แล้วพูดอย่างรู้สึกผิด “ลั่วหยางเจินจวินและนักพรตชิงเฉิงโปรดอย่าได้ถือสาหาโทษ ลูกสาวข้าบุ่มบ่าม เสียมารยาทแล้ว” 

 

 

หร่วนหลิงซิ่วก้มหน้าหลับตา ขนตาสั่นระริกไม่หยุด เป็นเพราะไม่ทันระวัง มือที่ถูกทิ่มบาดด้วยเศษหยกจึงเลือดไหลออกมาไม่หยุด แต่ก็ลืมจะเช็ดมัน

 

 

เยี่ยเทียนหยวนยิ้มเรียบแล้วพูดว่า “คนเราพลาดพลั้งกันได้ ท่านเจ้าสำนักหร่วนเกรงใจไปแล้ว”

 

 

เขาพูดอย่างอบอุ่นมีมารยาทเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้เหลียวมองหร่วนหลิงซิ่วแม้เพียงสักครั้งเช่นเดิม พยักหน้าให้เจ้าสำนักหร่วนเล็กน้อย แล้วจูงมือมั่วชิงเฉินเดินไปยังโต๊ะถัดไป

 

 

เสียงดังขึ้น  โครม  หร่วนหลิงซิ่วขยับเท้าหนึ่งที เตะเก้าอี้จนล้มคว่ำ ครั้งนี้เสียงดังกว่าเมื่อครู่ ผู้บำเพ็ญเพียรที่กำลังร่ำสุราพูดคุยกับเพื่อนฝูงในตอนแรกต่างหยุดลง แล้วหันมา

 

 

“ซิ่วเอ๋อร์ อย่าทำตัวเหลวไหล!” น้ำเสียงของเจ้าสำนักหร่วนซึ่งเต็มไปด้วยความโกรธดังขึ้นในความคิดของหร่วนหลิงซิ่ว

 

 

เสียงกระซิบกระซาบแว่วมาจากรอบด้าน

 

 

แต่ไม่ว่าเช่นใด คู่บ่าวสาวต่างก็ไม่หันกลับมา

 

 

เงาร่างใส่ชุดแดงที่อิงแอบแนบชิดกันโดยไม่หันกลับมานั้น ดูเหมือนในที่สุดก็ไปสะกิดเข้ากับเส้นสายเส้นสุดท้ายของหร่วนหลิงซิ่วที่เรียกว่าสัมปชัญญะขาดลง จึงพูดออกมาโดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด “หลิวซางเจินจวิน เมื่อก่อนตอนที่ท่านป้าข้าหรูอวี้เจินจวินสิ้น ท่านเคยบอกว่า ขอเพียงอยู่ในขอบเขตความสามารถของเหยากวง ก็จะช่วยให้ความปรารถนาของข้าทั้งสามสมหวัง”

 

 

“ซิ่วเอ๋อร์!” เจ้าสำนักหร่วนมึนหัวตึบ ยื่นมือออกไปหมายจะดึงตัวหร่วนหลิงซิ่ว

 

 

แต่ด้วยความตื่นตระหนกเขาจึงหยุดลงชั่วขณะ และมือหร่วนหลิงซิ่วได้วางทาบอยู่บนหน้าอกแล้ว “ท่านพ่อ หากท่านเข้ามาอีกเพียงก้าวเดียว ข้าจะระเบิดตันเถียนตน”

 

 

“เจ้า! นางลูกไม่รักดี นางคนไม่รักดี!” เจ้าสำนักหร่วนถอยหนึ่งก้าวอย่างแทบไม่อยากเชื่อตัวเอง มองไปยังสายตานับหมื่นพันที่จ้องมา ก็ล้มตัวนั่งลงบนเก้าอี้เงียบๆ

 

 

หลิวซางเจินจวินทันใดนั้นก็มายังด้านหน้าหร่วนหลิงซิ่ว สีหน้าสงบนิ่งดั่งผิวน้ำ มองความรู้สึกไม่ออก “นางหนูหลิงซิ่ว มีอะไรไยไม่คุยกันดีๆ ก่อน”

 

 

หร่วนหลิงซิ่วในที่สุดก็หยุดลง มองไปยังเยี่ยเทียนหยวนของนางเงียบๆ ความรู้สึกสะใจและพอใจวาบขึ้นมาวูบหนึ่ง

 

 

ใช่แล้ว เทียนหยวน ทั้งหมดนี่เป็นเพราะท่านบังคับข้า หากเมื่อกี้ท่านมองข้าสักนิด ให้ข้าได้รู้สึกว่าหลายปีมานี้ที่เฝ้ารักเฝ้าหลงไม่ใช่เพียงเรื่องขบขัน ข้าคงไม่มีความกล้าเช่นนี้ 

 

 

นางหันกลับมองไปยังหลิวซางเจินจวิน “ท่านเจินจวิน คำขอทั้งสามนั้นข้าขอเพียงอย่างเดียว นอกเหนือจากนั้นไม่ปรารถนาสิ่งใด” พูดจบก็มองไปยังมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง มุมปากอมยิ้ม “ข้าขอเป็นผู้หญิงของนักพรตลั่วหยาง”

 

 

ทันทีที่พูดเช่นนี้ ผู้คนก็ฮือฮากันขึ้นมา ราวกับฟ้าถล่ม

 

 

“มีอย่างนี้ที่ไหนกัน! นี่คือผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแห่งสำนักพรรคฝ่ายคุณธรรมนะ วันนี้ข้าได้เปิดโลกทัศน์จริงๆ!” มั่วหร่านอีตบโต๊ะลุกขึ้น แต่เป็นเพราะอยู่ห่างออกไป อีกทั้งตอนนี้ผู้คนต่างเสียงดังจอแจ จึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจเท่าใดนะ 

 

 

ใบหน้าที่ปัดด้วยแป้งชาดของมั่วเฟยเยียนนิ่งทื่อ อยากจะลุกขึ้นมาเช่นกัน

 

 

เหลียงเฉินสีหน้าโกรธเกรี้ยว ก้อนอิฐก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ

 

 

“เหลียงเฉิน” เหม่ยจิ่งตะโกนขึ้นหนึ่งที

 

 

เหลียงเฉินถลึงตากลับ “เหม่ยจิ่ง ครั้งนี้เจ้าจะมาห้ามข้าไม่ได้ หลิวซางเจินจวินหากตอบรับ ต่อให้จะเอาชีวิตเข้าแลกข้าก็ยอม ขอให้ได้เอาอิฐปานางคนสาระเลวนั่น!”

 

 

เหม่ยจิ่งสีหน้าเยือกเย็น “ข้าให้เจ้ารอสักครู่ก่อนอย่าเพิ่งรีบร้อนขนาดนั้น รอข้าด้วย!”

 

 

มั่วหนิงโหรวเดินเข้าไปข้างกายสองคนนั้น แล้วพูดขึ้นเบาๆ ว่า “พวกเจ้าเย็นก่อนอย่าเพิ่งใจร้อน หนิงโหรวคิดว่าระดับประมุขอาวุโสของพรรคเหยาแล้ว คงมิใช่คนเหลวไหลเช่นนั้นแน่”

 

 

นิ่งเงียบไปสักครู่ใหญ่ หลิวซางเจินจวินก็พูดว่า “แม่นางหร่วน ลั่วหยางแต่งงานแล้วนะ”

 

 

หร่วนหลิงซิ่วยิ้มอย่างเบิกบาน “หลิงซิ่วปรารถนาเพียงได้อยู่เคียงข้างนักพรตลั่วหยาง”

 

 

หลิวซางเจินจวินมองไปยังเยี่ยเทียนหยวน

 

 

เยี่ยเทียนหยวนนั้นราวกับน้ำแข็งแกะสลัก แผ่ไอเย็นยะเยือกออกมา น้ำเสียงเยือกเย็นจนแทบจับตัวแข็ง “หากเป็นเช่นนั้น ลั่วหยางจะขอขับตนออกจากสำนัก!”

 

 

“เยี่ยเทียนหยวน…” หร่วนหลิงซิ่วตัวทรุด กรีดร้องออกมาหนึ่งทีอย่างสิ้นหวัง

 

 

หลิวซางเจินจวินเห็นได้ชัดว่าคาดไม่ถึงว่าเยี่ยเทีนหยวนจะพูดเช่นนี้ เขาตะคอกมาว่า “ลั่วหยาง!”

 

 

ในขณะเดียวกันนั้นเองเสียงที่แฝงด้วยความโกรธเกรี้ยวก็ดังขึ้น “พอกันที งานมงคลของข้า พวกเจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่!”

Related

Comment

Options

not work with dark mode
Reset