พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 500 ยากจะขึ้นฟ้า

หุ่นไม้ก่อกวนเหล่าวิหคยักษ์จำนวนไม่น้อย แม้มั่วชิงเฉินจะมองไม่เห็น แต่วิญญาณบุปผาจรัสแสงก็สามารถโจมตีได้เป็นกลุ่ม ศรที่ยิงออกไปทุกดอกกลายเป็นแสงศรจำนวนมากพุ่งออกไป ไม่ต้องตั้งใจยิงให้ตรงเป้าก็มีวิหคยักษ์จำนวนไม่น้อยสิ้นชีพภายใต้ศรที่พุ่งออกไปอย่างสะเปะสะปะ  

 

 

หลัวอวี้เฉิงกวัดแกว่งกระบี่ไปมา จิตกระบี่ทะมึนทึบสร้างวงแหวนป้องกันขึ้น ยามผลักนกวิหคยักษ์ที่อยู่เบื้องหน้าออกไปข้างนั้น กระบี่ของเขาพลันส่องแสง จากนั้นก็ฟันลงบนวิหคยักษ์จำนวนมาก  

 

 

ทว่าในยามที่คนทั้งสองท่ามกลางฝูงวิหคเยื้องก้าวไปข้างหน้า ทันใดนั้นลมกัง[1]สายหนึ่งก็พัดลงมาจากข้างบน ทุกที่ที่มันพัดผ่านวิหคยักษ์ล้วนถูกทำให้หมุนวนจนกายระเบิด ตามด้วยฝนเลือดที่เริ่มโปรยปรายลงมา  

 

 

ดูเหมือนลมกังจะมีจิตวิญญาณ มันพุ่งตรงมายังทั้งสองคน  

 

 

“ลมกัง!” หลัวอวี้เฉิงกระซิบที่หูของมั่วชิงเฉิน จากนั้นกระบี่ยาวในมือก็เปล่งแสงสีมรกตออกมา สตรีนางหนึ่งในชุดสีขาวโปร่งแสงยืนอยู่บนปลายแหลมของกระบี่อย่างเงียบเชียบ  

 

 

มั่วชิงเฉินรับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่หนาวเย็นลงในฉับพลัน  

 

 

จากนั้นก็ได้ยินหลัวอวี้เฉิงถามว่า “สหายมั่ว อีกาตัวนั้นของเจ้าอยู่ที่ใดหรือ”  

 

 

“มิได้พามาด้วย”  

 

 

เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ ลมกังก็อยู่เบื้องหน้าแล้ว สตรีชุดขาวที่ยืนอยู่บนปลายกระบี่อ้าแขนออกกว้างเพื่อประจันหน้ากับลมกัง เส้นผมโบกสะบัดอยู่ท่ามกลางลมกัง กีดขวางมิให้ลมกังพัดมาข้างหน้า  

 

 

หน้าผากของหลัวอวี้เฉิงมีเม็ดเหงื่อไหลซึมออกมา หลังจากได้ยินคำตอบของมั่วชิงเฉิน เขาก็มิได้เอ่ยสิ่งใด เพียงแค่โอบนางให้แน่นขึ้น กระบี่ยาวในมือเปล่งแสงสีมรกตสัมผัสกับสตรีในชุดขาวแค่เพียงผิวเผิน  

 

 

“ข้าพาปีศาจหมาป่าขั้นห้ามาเพียงตนเดียว” มั่วชิงเฉินทราบว่าหลัวอวี้เฉิงคงไม่ถามถึงอีกาไฟขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล นางจึงอธิบายเพิ่มเติม  

 

 

หลัวอวี้เฉิงดวงตาเป็นประกาย อสูรปีศาจระดับห้าสามารถเหาะได้แล้ว!  

 

 

“สหายมั่ว เรียกปีศาจหมาป่าออกมา”   

 

 

มั่วชิงเฉินเรียกหมาป่าน้อยออกมาโดยไม่ลังเล  

 

 

“นายท่าน!” หมาป่าน้อยกระพือปีกหนึ่งคู่พลางส่ายหางไปมาอยู่กลางอากาศ  

 

 

สายตาของหลัวอวี้เฉิงหยุดอยู่บนปีกของหมาป่าน้อย เขาประหลาดใจเล็กน้อยแต่กลับดีใจเสียมากกว่า แม้จะกล่าวว่าเมื่ออสูรปีศาจถึงขั้นที่กำหนดแล้วจะเหาะได้ทุกตัว แต่อสูรปีศาจที่มีปีกหนึ่งคู่ตั้งแต่เกิดเช่นนี้ มักจะมีความเร็วในการบินที่อสูรปีศาจทั่วไปเทียบไม่ติด  

 

 

“สหายมั่ว รอข้าขยับกายแล้วเจ้าก็ขึ้นขี่อสูรวิญญาณ บินขึ้นไปอย่างไม่ต้องสนใจสิ่งใดทั้งนั้น ไปรอข้าที่หินภูเขาไฟ”  

 

 

“แล้วสหายหลัวเล่า” มั่วชิงเฉินตกใจ  

 

 

หลัวอวี้เฉิงปล่อยมือ “เร็วเข้า ข้ามีวิธีเอาตัวรอด มีเจ้าอยู่ใกล้ๆ ข้าใช้วิชาลับไม่ได้”  

 

 

ได้ยินเช่นนี้ มั่วชิงเฉินขึ้นขี่หมาป่าน้อยอย่างไม่รีรอ  

 

 

ตอนนั้นเองที่หลัวอวี้เฉิงขยับกาย  

 

 

ทันใดนั้นเขาก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า กายหมุนวนรัวเร็วประหนึ่งลูกข่าง ก่อให้เกิดลมโหมกระหน่ำ  

 

 

วิหคยักษ์ที่ปะทะเข้ากับพายุล้วนถูกซัดจนกระเด็นออกไปทั่วทิศทาง ท้องฟ้าที่ถูกบดบังอยู่ก็สว่างขึ้นมาโดยพลัน  

 

 

มั่วชิงเฉินตบหลังของหมาป่าน้อย หมาป่าน้อยเกร็งกาย จากนั้นก็พุ่งทะยานขึ้นประหนึ่งดาวตก  

 

 

หลัวอวี้เฉิงเห็นมั่วชิงเฉินเหาะขึ้นไปข้างบนแล้วสองมือก็ยกดาบขึ้น พายุหมุนที่กายสร้างลอยขึ้นสูง ดูดวิหคยักษ์ด้านบนเข้ามาเพื่อกำจัดสิ่งกีดขวางให้นาง  

 

 

หมาป่าน้อยบินอย่างรวดเร็ว ไร้วี่แววของการคุกคามจากวิหคยักษ์และลมกัง พริบตาเดียวก็มาถึงหินภูเขาไฟก้อนที่ห้า  

 

 

นางมองไม่เห็นสถานการณ์เบื้องล่าง จึงนั่งลงฟื้นฟูพลังปราณอย่างเงียบเชียบ นางเชื่อว่าหลัวอวี้เฉิงจะสามารถฟันฝ่ามาได้  

 

 

ร่างของสตรีชุดขาวที่บดบังลมกังเอาไว้ค่อยๆ เลือนหาย สุดท้ายแล้วก็หายไปในสายลม ราวกับลมกังมีพลังมากขึ้น มันตรงไปที่หลัวอวี้เฉิง  

 

 

หลัวอวี้เฉิงยักยิ้มมุมปาก หยุดหมุนกายพลางมองไปยังลมกังที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ สีหน้าไร้ซึ่งความตื่นตระหนก จากนั้นก็ยกมือขึ้นและโยนหุ่นไม้ออกไป  

 

 

หุ่นนั้นขยายขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นบุรุษสูงเทียมหลัวอวี้เฉิง ทั้งรูปลักษณ์และเสื้อผ้าล้วนเหมือนหลัวอวี้เฉิง  

 

 

กระบี่ยาวหลุดออกจากมือและร่ายรำกระบี่ด้วยตัวเอง ถักทอเป็นตาข่ายกระบี่ถี่เพื่อกีดขวางลมกัง  

 

 

หลัวอวี้เฉิงอาศัยช่วงเวลาครู่สั้นๆ ขยับมือทั้งสองอย่างรวดเร็ว เคล็ดวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนซึมลงในหุ่นไม้ ยามหุ่นไม้เริ่มเปล่งแสงสีขาวก็ตบหน้าผากในทันที ตามด้วยลากนิ้วออก ด้ายมรกตกึ่งโปร่งแสงถูกดึงออกมา ดีดนิ้วหนึ่งคราด้ายมรกตก็จมลงที่หว่างคิ้วของหุ่นไม้  

 

 

ทันใดนั้น หุ่นไม้ที่เปล่งแสงสีขาวก็ถูกแทนที่ด้วยแสงสีมรกต กลายเป็นควันมรกตสายหนึ่งซึมเข้าไปในกายหลัวอวี้เฉิง  

 

 

หลัวอวี้เฉิงลืมตาขึ้นทันที เขาเรียกกระบี่กลับคืน เขย่งปลายเท้าและพุ่งเข้าไปในลมกังที่กำลังอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง  

 

 

ถ้าหากที่นี่มีผู้บำเพ็ญเพียรท่านอื่น เกรงว่าคงจะร้องออกมาอย่างหวาดกลัว ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วที่ไม่ว่าใครได้ยินลมกังก็ล้วนแล้วแต่ผวา แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดยังรับไม่ไหว หากไร้การป้องกัน ไม่นานร่างทั้งร่างก็ต้องถูกหมุนจนกลายเป็นผุยผง แล้วเขาที่เข้าไปอย่างบุ่มบ่ามเยี่ยงนี้ จะต่างอะไรกันกับการเอาชีวิตมาทิ้ง!  

 

 

มั่วชิงเฉินที่มองไม่เห็นว่าเบื้องล่างเกิดเรื่องอันใดขึ้น สีหน้าจึงยังคงเรียบนิ่ง  

 

 

หมาป่าน้อยยื่นศีรษะลงไปมองเบื้องล่าง อสูรปีศาจมักจะหวาดกลัวสิ่งน่ากลัวอย่างลมกังโดยสัญชาตญาณ เมื่อเห็นหลัวอวี้เฉิงพุ่งเข้าไป หมาป่าก็แสดงสีหน้าตะลึงออกมา มันหันกลับไปมองมั่วชิงเฉิน แต่ก็ยังคงปิดปากเงียบ ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เอ่ยอันใดออกมา ขาหน้าสองข้างเกาะอยู่บนขอบหินภูเขาไฟ จากนั้นดูโดยไม่กะพริบตา  

 

 

ลมกังเหมือนกับอสูรร้ายที่กำลังบ้าคลั่ง แม้จะไม่มีกรงเล็บจริง แต่ฟันอันแหลมคมของมันที่มีอยู่ทั่วก็ฉีกร่างของหลัวอวี้เฉิงทีละน้อย  

 

 

หลัวอวี้เฉิงใช้กระบี่ป้องกันอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นร่างกายก็เริ่มบิดเบี้ยว  

 

 

หมาป่าน้อยผุดลุกขึ้น  

 

 

มั่วชิงเฉินที่รู้สึกได้ถึงท่าทางผิดปกติของหมาป่าน้อย ก็รู้สึกหัวใจหนักอึ้ง “หมาป่าน้อย เกิดอะไรขึ้นกับสหายหลัวหรือ”  

 

 

“ไม่มีอันใด” เสียงของหมาป่าน้อยฟังดูสงบนิ่งผิดปกติ ทว่าหางใหญ่ก็ส่ายไปส่ายมา  

 

 

มั่วชิงเฉินที่การได้ยินเฉียบคมขึ้นย่นคิ้ว “หมาป่าน้อย ถ้าหากว่าไม่มีอันใดแล้วเหตุใดเจ้าถึงส่ายหาง”  

 

 

นางรู้จักอสูรวิญญาณของนางดี แม้หมาป่าน้อยจะดูไม่สนใจสิ่งใด แต่พอเอาเข้าจริงแล้วหากมันรู้สึกกระวนกระวายหรือว่าอยากจะประจบ หางใหญ่นั้นก็มักจะขยับอย่างควบคุมไม่ได้  

 

 

หมาป่าน้อยกลัวเจ้านายจะเป็นกังวล จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น “นายท่าน ไม่มีอันใดจริงๆ บรู๊ว…”  

 

 

ยามเห็นร่างของหลัวอวี้เฉิงที่อยู่ท่ามกลางลมกังระเบิดออกเป็นชิ้นๆ มากมายนับไม่ถ้วน ในที่สุดหมาป่าน้อยก็ทนไม่ไหวจนต้องร้องออกมาอย่างหวาดกลัว  

 

 

มั่วชิงเฉินลุกขึ้นทันที มือถือธนูเขียวซ่อนเร้นแล้วพุ่งออกไป  นางเชื่อคำพูดของเขาและนั่งรอด้านบนอย่างสงบได้เยี่ยงไร!  

 

 

เมื่อคิดว่าตอนนี้หลัวอวี้เฉิงอาจกำลังเผชิญกับอันตราย มือที่ถือธนูเขียวซ่อนเร้นก็เริ่มสั่นระริก  

 

 

จะบอกว่าอย่างไรในตอนนี้นางก็เป็นตัวถ่วง หากลงไปก็นับว่าเขลา ไม่ว่าอย่างไรก็เหมือนคนสองคนเอาชีวิตมาทิ้ง มิสู้มีชีวิตอยู่ต่อสักคนเพื่อคนที่เสียสละอีกคนอย่างนั้นหรือ เรื่องเหล่านั้นล้วนไร้สาระสิ้นดี  

 

 

นางรู้เพียงแต่ว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับหลัวอวี้เฉิง ชั่วชีวิตนี้ใจของนางคงมิอาจสงบลงได้!  

 

 

ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับสหาย ใครจะเป็นใครจะสิ้นเป็นเรื่องของโชคชะตา ผลสุดท้ายเป็นเยี่ยงไรนางก็รับได้ทั้งหมด แต่ถ้าหากนางหลบอยู่ที่นี่ทั้งๆ ที่ทราบว่าสหายกำลังต่อสู้อยู่กับศัตรู เผชิญอยู่กับภยันตราย แต่นางกลับไม่รู้สึกรู้สา หลังจากนั้นปล่อยให้น้ำตารินไหลไม่กี่หยด เช่นนั้นแล้วนางคงมิใช่มั่วชิงเฉิน!  

 

 

ถ้าหากนางยังไม่ใช่ตัวของนางเอง เช่นนั้นแล้วจักบำเพ็ญเพียรไปทำไม กลายเป็นเซียนอันใดกัน!  

 

 

เดินไปข้างหน้าได้ไม่กี่ก้าวก็พบว่ากายนางขยับไม่ได้แล้ว นางรู้สึกได้ว่าเป็นหมาป่าน้อยที่ใช้สองขาหน้ากอดขานางเอาไว้  

 

 

“หมาป่าน้อย เจ้าปล่อยข้า!” มั่วชิงเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบที่ไม่เคยใช้มาก่อน  

 

 

แต่หมาป่าน้อยไม่ใช่เขาน้อย มั่วชิงเฉินใบหน้าเย็นชาพลันดวงตาก็คลอไปด้วยน้ำตา มันตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบแบบเดียวกัน “ข้าไม่ปล่อย!” หางท้ายลำตัวส่ายไปมารัวเร็วขึ้น  

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มริมฝีปากแน่น ถึงอย่างไรก็ทนไม่ได้ที่จะเตะหมาป่าน้อยออกไป เพียงแค่ฝืนเดินต่อไป  

 

 

หมาป่าน้อยกอดต้นขามั่วชิงเฉินแน่น ตามนางไปข้างหน้าขาหลังทั้งสองข้างมีรอยขีดข่วนยาว  

 

 

เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้น “พวกเจ้าทำอันใดกัน”  

 

 

มั่วชิงเฉินถอนหายใจในใจ ปากก็กล่าว “ข้าว่างจนเบื่อจึงออกกำลังเสียหน่อย เหตุใจเจ้าถึงเพิ่งขึ้นมาเล่า”  

 

 

หลัวอวี้เฉิงยิ้มบางๆ “ขอโทษที่ปล่อยให้เจ้ารอเสียนาน”  

 

 

มั่วชิงเฉินมองไม่เห็นอันตรายเมื่อครู่ แต่นางทราบว่าด้วยนิสัยของหมาป่าน้อยแล้วหากมันกลัวจนต้องร้องออกมา แสดงว่าสถานการณ์ในตอนนั้นคงต้องไม่เป็นไปอย่างสบายๆ ดังเช่นท่าทางของหลัวอวี้เฉิงในตอนนี้แน่ นางถาม “เมื่อครู่เกิดเรื่องอันใดหรือ”  

 

 

หลัวอวี้เฉิงยิ้มพลางปรายตามองหมาป่าน้อยที่ยังคังกอดต้นขาของมั่วชิงเฉินอยู่ จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เพียงแค่แสดงวิชาลับ ทำให้อสูรวิญญาณของเจ้าเข้าใจผิดแล้ว”  

 

 

“หมาป่าน้อย?” มั่วชิงเฉินตะโกน  

 

 

ถ้าเป็นอีกาไฟ ในตอนนี้คงจะต้องตรงไปยังจมูกของหลัวอวี้เฉิง โต้เถียงกับเขา จากนั้นร้องทุกข์กับมั่วชิงเฉินถึงความเจ้าเล่ห์ของฝ่ายตรงข้าม ขี้โกงด้วยการใช้ความเห็นใจของอีกาสาวน้อย แต่หมาป่าน้อยกลับไม่เอ่ยอันใดออกมา มันชำเลืองมองหลัวอวี้เฉิงด้วยความสงสัย จากนั้นก็กลับไปมีท่าทีเย็นชาเช่นเดิม “นายท่าน หมาป่าน้อยมองผิดไปแล้ว”  

 

 

ด้วยเหตุนี้ มั่วชิงเฉินที่มองไม่เห็นอะไรเลยก็ยังคงไม่รู้เรื่องต่อไป!  

 

 

รู้สึกอัดอั้นตันใจเมื่อนึกถึงวิชาลับ หลัวอวี้เฉิงเองก็ไม่อยากพูดถึง จึงกล่าวว่า “สหายหลัว ขั้นห้ายังยากถึงเพียงนี้ มิรู้ว่าหลังจากนี้ยังมีอีกกี่ด่าน ถ้าหากพวกเราอยากผ่านไป ข้าเกรงว่า…”  

 

 

หลัวอวี้เฉิงมองขึ้นไปบนฟ้าพลางพูดช้าๆ “ถ้าหากว่าอวี้เฉิงคาดการณ์ไม่ผิด พวกเรายังต้องผ่านอีกสองด่าน”  

 

 

“เจ้ามองเห็นได้อย่างไร” มั่วชิงเฉินย้อนถาม  

 

 

หลัวอวี้เฉิงเลิกคิ้ว “พวกเราเหาะจากผืนดินขึ้นมาบนหินภูเขาไฟก้อนที่หนึ่ง จากนั้นไปยังก้อนที่สอง ก้อนที่สาม และตอนนี้ก็ก้อนที่ห้า หินภูเขาไฟทุกก้อนห่างกันเจ็ดเท่า สหายมั่วเจ้ามองไม่เห็น ดวงอาทิตย์ทั้งเจ็ดดวงบนฟ้าแตกต่างจากโลกธรรมดา มันอยู่ไม่ไกลจากเราเท่าใดนัก ถ้าหากว่าไปถึงหินภูเขาไฟก้อนที่หกและก้อนที่เจ็ดก็ยังคงเป็นเช่นนี้ รวมกันระยะทางที่เหลือแล้ว ดวงอาทิตย์ทั้งเจ็ดดวงก็อยู่เพียงแค่เอื้อมเท่านั้น”  

 

 

“ผ่านด่านที่เจ็ดแล้ว ดวงอาทิตย์ก็อยู่ใกล้เพียงนั้นเชียวหรือ” มั่วชิงเฉินคับแค้นใจนักที่นางมองไม่เห็น ข้อมูลพวกนี้ไม่ชัดเจนเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นนางยังแอบตะโกนว่าเจ้าคนอัปมงคลนี่คราหนึ่ง ในตอนที่ผ่านด่านก็คงจำระยะห่างได้ขึ้นใจ  

 

 

หลัวอวี้เฉิงพยักหน้าแล้วพูดต่อ “เช่นนั้นแล้วข้าคาดคะเนว่าด่านที่เหลือมากที่สุดก็เพียงสองด่าน เพียงแต่เกรงว่าสองด่านหลังนั้นคงยากมาก”  

 

 

การคาดการณ์ของหลัวอวี้เฉิงยังคงถูกเหมือนเคย ทั้งสองคนพักผ่อนอย่างเต็มอิ่มถึงห้าวันถึงเข้าสู่ด่านที่หก ครั้งนี้มั่วชิงเฉินไม่ได้เดินนำหน้า สถานการณ์อันตรายไม่อนุญาตให้นางเดินนำ นางซ่อนอยู่บนหลังของหลั่วอวี้เฉิงเพื่อเติมพลังวิญญาณให้แก่เขาอย่างต่อเนื่อง ต่อสู้ถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน ทั้งสองคนถึงได้นำพาร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลเหยียบลงบนหินภูเขาไฟก้อนที่หก  

 

 

การรักษาบาดแผลครั้งนี้กินเวลาถึงครึ่งเดือนเต็ม  

 

 

หลัวอวี้เฉิงที่ถอนหายใจน้อยครั้งกล่าว “สหายมั่ว อวี้เฉิงไม่อยากปิดบังเจ้า ด่านที่เจ็ดนี้เกรงว่าพวกเราจะผ่านไปไม่ได้”  

 

 

มั่วชิงเฉินทราบ แต่ก็ยังคงมีความหวังเล็กน้อย หากหลัวอวี้เฉิงไม่พูดเช่นนี้ ร่างกายของนางเองที่รับรู้ถึงความน่าเวทนาของด่านที่หก ทั้งสองใช้วิชาลับและของวิเศษเกือบทั้งหมดแล้วถึงได้มาถึงตรงนี้ เรียกได้ว่าด่านที่หกก็คือขีดจำกัดของพวกเขาแล้ว  

 

 

เช่นนั้นแล้วด่านที่เจ็ดจะผ่านไปได้เยี่ยงไรกัน  

Related

Comment

Options

not work with dark mode
Reset