วิหคเหล่านี้มีหัวขนาดใหญ่เท่ากระเรียนขาว ร่างกายแข็งแรงมาก ที่น่าแปลกคือไม่มีขนบนลำตัว ยามปีกกระพือสามารถมองเห็นรอยยับย่นบันผิวหนัง
พวกมันพุ่งมายังทั้งสองคน จากนั้นอ้าปากพ่นไฟออกมา
คลื่นความร้อนเข้ามาปะทะหน้า
“มั่วชิงเฉิน ดูแลตัวเองด้วย!” หลัวอวี้เฉิงพูดจบก็ทะยานขึ้นไปในอากาศ กระบี่ยาวหนึ่งเล่มร่ายรำอยู่รอบกาย ทันใดนั้นลมหนาวก็พัดมาอย่างไม่ขาดสาย ผลักคลื่นความร้อนออกไปได้หลายส่วน
แม้ว่าดวงตาของมั่วชิงเฉินจะมองไม่เห็น แต่ก็รู้ว่าตอนนี้นางอยู่ในจิตกระบี่ของหลัวอวี้เฉิง
ถ้าหากจะพูดว่าอาณาเขตที่ไฟสะท้อนหทัยสร้างขึ้นนั้นมั่นคงและไร้ชีวิต เช่นนั้นแล้วอาณาเขตที่กระบี่ในมือของหลัวอวี้เฉิงสร้างขึ้นก็คงมีชีวิต และขยับได้ตามใจ
ขอเพียงจิตกระบี่ไม่เสียหาย เขาจะต้องได้เปรียบอย่างแน่นอน!
ไหมเกล็ดน้ำแข็งกลายเป็นควันบางๆ ปกคลุมอยู่รอบกาย มั่วชิงเฉินถือธนูเขียวซ่อนเร้นไว้ในมือพลางเงี่ยหูฟัง
เพราะสูญเสียการมองเห็น การแยกแยะเสียงของนางจึงเปลี่ยนไปว่องไวมากขึ้น ตอนเริ่มต้นนางได้ยินเสียงลม เสียงปราณกระบี่แหวกลม เสียงวิหคยักษ์กระพือปีก เสียงระเบิดจากเปลวไฟที่ถูกจิตกระบี่ทำให้ล่าถอย
มั่วชิงเฉินไม่ขยับกาย นางเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ เสียงเหล่านั้นชัดเจนขึ้นในหูของนาง
วิหคมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เบียดเสียดกันแน่นบดบังท้องฟ้านับพันตัว ในที่สุดก็มีวิหคหลายตัวพุ่งทะลุเข้ามาในตาข่ายดาบที่หลัวอวี้เฉิงถักทอขึ้น พวกมันพ่นไฟมาทางมั่วชิงเฉิน
สีหน้าราบเรียบตลอดเวลาของหลัวอวี้เฉิงพลันเปลี่ยนไป เขาคว้ากระบี่รอบนิ้วที่เอวออกมา มันกลายเป็นเส้นสีเงินพุ่งตรงไปสังหารวิหคที่กำลังพุ่งเข้าหามั่วชิงเฉิน
วิหคยักษ์นับพันตัวเหล่านั้น แม้ว่าทุกตัวจะไม่ได้มีพลังอันแข็งแกร่ง แต่เมื่อรวมกันแล้วก็นับว่าน่ากลัวมาก เขาเบี่ยงความสนใจไปเช่นนี้ ทำให้วิหคยักษ์ที่อยู่หน้าสุดจิกลงมาที่หัวไหล่ของเขา
หลัวอวี้เฉิงส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอ จากนั้นใช้มือหักคอของวิหคยักษ์และโยนทิ้งไป ตวัดดาบคราเดียว จิตกระบี่ต่อเนื่องเหล่านั้นก็บังคับให้ฝูงวิหคต้องล่าถอย
วิหคตัวใหม่ตัวแล้วตัวเล่าพุ่งเข้ามา สังหารเท่าไหร่ก็ไม่หมด ไม่นานก็มีวิหคตัวใหญ่พุ่งทะลุสิ่งกีดขวางไปโจมตีมั่วชิงเฉิน
ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ขยับกาย พลางดึงคันธนูด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ ศรเหมันต์ถูกยิงออกไป ปากก็เอ่ย “สหายหลัว ปลาที่ลอดแหมาปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า!”
เสียงฟิ้วดังขึ้นไม่กี่ครา วิหคตัวใหญ่หลายตัวที่รีบร้อนอยากไปเกิดใหม่ก็ถูกสังหารเรียบ ไหมเกล็ดน้ำแข็งที่กลายเป็นควันก็กลับคืนสู่สภาพเดิมไปอยู่ใต้ฝ่าเท้ามั่งชิงเฉิน จากนั้นก็เหาะไปอยู่ข้างกายหลัวอวี้เฉิง ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา
“มั่วชิงเฉิน เจ้าอย่าก่อเรื่อง!” หลัวอวี้เฉิงพูดเสียงเย็น
มั่วชิงเฉินเบะปากออกอย่างไม่แปลกใจ ยิ่งเป็นคนฉลาดมากเท่าใดก็ยิ่งเชื่อใจคนอื่นยากเท่านั้น เพราะพวกเขามักคิดว่ามีแต่ตัวเองเท่านั้นที่จะไม่ทำผิดพลาด!
“สหายหลัว แม้ว่าข้าจะมองไม่เห็น แต่ข้าได้ยิน ไม่สามารถหลบหลังเจ้าเช่นนี้ไปได้ตลอด อีกอย่าง หากเจ้าจะให้ข้ายืนอยู่หลังเจ้า ข้าก็ยังต้องยิงศร เพียงแต่เกรงว่าตอนนั้นศรคงปักอยู่บนกายของเจ้า…” มั่วชิงเฉินพลางดึงสายธนูติดต่อกันหลายครา วิญญาณบุปผาจรัสแสงปรากฏออกมา แสงกระบี่นับร้อยเริ่มโจมตีไม่ต่างกัน
มุมปากของหลัวอวี้เฉิงกระตุกอย่างแรง มือขวาร่ายรำกระบี่ไม่หยุด มือซ้ายโยนกระบี่รอบนิ้วออกมา มันพันอยู่รอบเอวมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินไร้ความช่วยเหลือจากจิตสัมผัส ทำได้เพียงพุ่งสมาธิทั้งหมดไปที่โสตประสาทเพื่อยิงศรออกไปสังหารวิหค จึงไม่ได้สนใจเรื่องอื่นๆ จนกระทั่งรู้สึกตัวเมื่อเอวถูกกระบี่รอบนิ้วพันไว้แน่น นางถาม “สหายหลัว เจ้าทำอันใด”
พูดไม่ทันขาดคำ พลันรู้สึกว่ากระบี่รอบนิ้วออกแรงพานางไปอยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆ
“หลัวอวี้เฉิง!” แม้ว่ามือของนางยังคงยิงศรอยู่ แต่ก็รู้สึกสับสน
หลัวอวี้เฉิงที่มีสาวงามอยู่ในอ้อมกอดพลันหัวใจเต้นแรง เขารีบกดความแปลกประหลาดนั่นไว้ทันที จากนั้นพูดน้ำเสียงเย็นชากว่าปกติ “อย่าโวยวาย วิหคตัวใหญ่เยอะขึ้นเรื่อยๆ เจ้าอยากจะมายืนอยู่หลังข้าหรือไม่ เช่นนี้ถึงจะร่วมมือกันได้ ไม่เช่นนั้นตาของเจ้ามองไม่เห็น ถ้าหากเกิดเหตุไม่คาดคิด ข้าจักช่วยเจ้า…”
“อือ” มั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างว่าง่ายและเริ่มรวบรวมสมาธิยิงศรสังหารวิหค
หลัวอวี้เฉิงโอบมั่วชิงเฉินได้ด้วยมือเดียว อีกมือระบำกระบี่ยาวด้วยท่าทางปกติ
สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรที่ใช้อาวุธที่หนักถึงร้อยถึงพันจิน มั่วชิงเฉินที่หนักแค่นี้นับว่าสบาย อันที่จริงแล้วเขาคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดคือแบกมั่วชิงเฉินไว้บนหลัง เช่นนี้ถึงจะดีกับการต่อสู้และในสถานการณ์คับขัน แต่เขาเองก็รู้ดีว่า ถ้าเขากล้าทำเช่นนี้จริงๆ หลังการต่อสู้จบลง สาวน้อยคนนั้นอาจจะเอาก้อนอิฐขว้างใส่เขา
“หลัวอวี้เฉิง วิหคตัวใหญ่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ หรือ” ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ มั่วชิงเฉินก็ถามขึ้น
พลังวิญญาณในกายนางยังคงเต็มเปี่ยม แต่เสียงความเร็วของระบำกระบี่ของหลัวอวี้เฉิงเริ่มจะช้าลง
หลัวอวี้เฉิงมีสีหน้าสงบ เขาโอบมั่วชิงเฉินไว้แน่น ใช้กระบี่บังคับวิหคตัวใหญ่ให้ถอยออกไปพลางเหาะขึ้นสูง จากนั้นก็ดึงสมาธิออกมาและพูดว่า “มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จริง แต่เจ้ามิต้องเป็นกังวล อดทนอีกสักหน่อย พวกเราก็จะเหาะไปถึงบนหินภูเขาไฟแล้ว”
“หินภูเขาไฟหรือ” มั่วชิงเฉินเบิกตาที่มองไม่เห็นสิ่งใดและถามย้อน
“อืม เมื่อครู่มีหินภูเขาไฟก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหัน บนท้องฟ้าที่ไกลจากเราไปร้อยจั้ง ถ้าเกิดว่าข้าคาดการณ์ไว้ไม่ผิด ที่นั่นน่าจะเป็นสถานที่หลบภัยชั่วคราว” หลัวอวี้เฉิงอธิบาย
มั่วชิงเฉินมองไม่เห็นสิ่งใดรู้สึกร้อนใจเป็นอย่างมาก นางถามต่อ “เจ้ากำลังบอกว่าหินภูเขาไฟก้อนนั้นอยู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาหรือ ก่อนหน้านี้ไม่มีหรืออย่างไร”
หลัวอวี้เฉิงโบกมือเรียกมีดวายุสิบเล่ม มันกรีดลงบนร่างของวิหคยักษ์ เขาตอบ “ถูกแล้ว ข้าจำไม่ผิดแน่ ก่อนหน้านี้ไม่มีจริงๆ ข้าสงสัยว่ายามสังหารวิหคยักษ์ไปครบจำนวนแล้ว หินก้อนใหญ่นี้ถึงจะปรากฏขึ้น”
“หมายความว่าพวกเราผ่านด่านแล้วอย่างนั้นหรือ” ปฏิกิริยาของมั่วชิงเฉินเองก็ไม่ช้า
“ตอนนี้ยังไม่ชัดเจน พวกเราไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีเถิด” หลัวอวี้เฉิงพูดจบก็หยิบหุ่นไม้ออกมาหนึ่งตัว จากนั้นขว้างไปทางหินภูเขาไฟเบื้องหน้า
หุ่นไม้ร่อนลงบนพื้นอย่างมั่นคงไม่ได้ผิดแปลกอะไร เขาโอบมั่วชิงเฉินแน่นขึ้นเล็กน้อยเพื่อเหาะและร่อนลงบนหินภูเขาไฟ
เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ ยามทั้งสองยืนอยู่บนหินภูเขาไฟ วิหคยักษ์ที่ตามมาก็พุ่งเข้ามา ทันใดนั้นบริเวณโดยรอบของหินภูเขาไฟก็เปล่งแสงสีขาวออกมา วิหคที่เบียดเสียดกันอยู่บนฟ้าไม่ทันได้เปล่งเสียงอันใดก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“หลัวอวี้เฉิง วิหคพวกนั่นไม่อยู่แล้วหรือ” มั่วชิงเฉินที่เงี่ยหูฟังมาตลอด อยู่ๆ ก็รู้สึกว่ารอบกายเงียบสงบ นางเงยหน้าขึ้นพลางถาม
หลัวอวี้เฉิงปล่อยมั่วชิงเฉินออกอย่างเป็นธรรมชาติพลางตอบยิ้มๆ “ถูกแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเราจะทายถูก”
มั่วชิงเฉินโบกมืออย่างอ่อนแรง “อย่าได้ยกยอข้า เป็นเจ้าต่างหากที่ทายถูก”
นางเป็นเพียงคนตาบอดคนหนึ่งจะเอาอะไรไปสู้เล่า นางรีบตามคนอัปมงคลผู้นี้ออกไป อย่ามัวช้าอยู่เลย งานแต่งงานรอนางอยู่
ทันใดนั้นมือก็ถูกกุมเอาไว้ ตามด้วยเสียงของหลัวอวี้เฉิง “ตามข้ามา หินภูเขาไฟก้อนนี้ไม่ใหญ่นัก อย่าได้ตกลงไปเชียว”
มั่วชิงเฉินได้แต่จำใจเดินตามหลัวอวี้เฉิงไปอย่างว่าง่าย แต่กลับรู้สึกว่าเท้ากำลังเหยียบอะไรบางอย่างอยู่
“สิ่งใดกัน” มั่วชิงเฉินหยุดเดินชั่วขณะ
หลัวอวี้เฉิงก้มตัวลงหยิบหุ่นไม้ขึ้นมา พลางอธิบาย “หุ่นไม้ที่ใช้สำรวจเส้นทางเมื่อครู่ ข้าลืมเก็บ”
มั่วชิงเฉินยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “สหายหลัวยังพกมันอยู่อีกหรือ”
หลัวอวี้เฉิงหยุดเดิน จากนั้นดึงให้มั่วชิงเฉินนั่งลงถึงได้กล่าว “เอาไว้เล่นยามว่าง”
มั่วชิงเฉินประหลาดใจเล็กน้อย “ที่แท้สหายหลัวก็เป็นนักเชิดหุ่น”
หลัวอวี้เฉิงหัวเราะเยาะ “นักเชิดหุ่นอันใดกัน เพียงแค่วิชาลับที่เรียนมาวิชาหนึ่งต้องใช้หุ่นเชิด และก็หุ่นที่ตัวเองทำขึ้นมักใช้ถนัดมือกว่า”
เมื่อพูดถึงวิชาลับของเขา มั่วชิงเฉินก็รู้ว่าไม่ควรถามอีก หลัวอวี้เฉิงเองก็ไม่ได้พูดอะไรมากเช่นกัน เขานั่งสมาธิและเริ่มฟื้นฟูพลังวิญญาณ
สามวันหลังจากนั้น ทั้งสองคนที่ฟื้นฟูพลังเรียบร้อยแล้วลุกขึ้นยืน
มั่วชิงเฉินยู่หน้าเดินตามหลังหลัวอวี้เฉิง เดิมทีคิดจะพูดว่าใช้เถาวัลย์รัดไว้ด้วยกันก็ได้ แต่แล้วคิดดูอีกที เขาเองก็ใจกว้าง ทั้งยังรีบแก้ไขปัญหา แต่นางกลับจงใจพูดขึ้นมาเช่นนี้กลับดูเป็นคนจิตใจคับแคบ เดิมทีไม่มีอะไรหรอก แต่พอพูดถึงแล้วมันก็พลอยรู้สึกอึดอัดขึ้นมา
ช่างเถิด ทำเหมือนจับมือสหายคนสนิทเดินเล่นก็แล้วกัน
หลัวอวี้เฉิงจ้องมองสีหน้าของมั่วชิงเฉิน เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบๆ จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เขาเอื้อมมือออกไปโอบเอวไว้อย่างเชี่ยวชาญ จากนั้นก็กระโดดออกไป
ตอนที่เพิ่งออกจากหินภูเขาไฟ หลัวอวี้เฉิงก็พามั่วชิงเฉินเหาะขึ้นไปข้างบนอย่างไม่ลังเล
เขาแน่ใจว่า ถ้าหากมีหินภูเขาไฟก้อนที่สองปรากฏออกมา เช่นนั้นแล้วจะต้องเป็นข้างบนอย่างแน่นอน ตอนนี้ยิ่งเหาะขึ้นไปสูงก็ยิ่งดี
ยามที่ทั้งสองเหาะขึ้นไปได้หลายจั้ง เสียงวิหคร้องก็ดังขึ้น วิหคยักษ์ตัวแล้วตัวเล่าปรากฏตัวขึ้น
เพียงแค่ได้ยินเสียง มั่วชิงเฉินก็รู้ทันทีว่าเป็นอสูรปีศาจชนิดเดียวกันกับเมื่อหลายวันก่อน นางตำหนิในใจ ศัตรูแบบเดียวกับเมื่อวันก่อนอีกแล้ว นี่มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย!
อสูรปีศาจชนิดเดียวกัน แต่จำนวนมากกว่าด่านที่หนึ่งถึงสองเท่า
ทั้งสองสองเสียพลังวิญญาณอีกคราว ใช้เวลาถึงครึ่งวันหินภูเขาไฟก้อนที่สองถึงได้ปรากฏออกมา
เมื่อถึงด่านที่สาม จำนวนก็มากกว่าด่านที่สองถึงสองเท่า
ในตอนที่ยืนบนหินภูเขาไฟก้อนที่สามต้องการไปยังก้อนที่สี่ มั่วชิงเฉินมอบมุกรวมวิญญาณให้แก่หลัวอวี้เฉิง “เจ้ารับนี่ไป สามารถฟื้นฟูพลังวิญญาณในกายของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นต้นได้”
หลัวอวี้เฉิงรับไว้พลางกุมมือของมั่วชิงเฉินอย่างเป้นธรรมชาติ น้ำเสียงหนักแน่น “มิต้องกังวล ด่านนี้พวกเราผ่านไปได้แน่”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า “ข้ารู้ รอออกไปได้แล้วก็อย่าลืมคืนมุกรวมวิญญาณให้ข้าเล่า”
หลัวอวี้เฉิง…
วิหคยักษ์กว่าหมื่นตัว มั่วชิงเฉินอยากฟังนักว่าหลัวอวี้เฉิงจะจัดการเยี่ยงไร
ก้าวออกไปจากหินภูเขาไฟ วิหคยักษ์กระจายอยู่ทั่วท้องฟ้า พวกมันพุ่งตรงมายังพวกเขา
หลัวอวี้เฉิงยกมือขึ้นและโยนหุ่นไม้แปดตัวออกไป
หุ่นไม้ทั้งแปดยาวขึ้นโต้ลม ชั่วพริบตาเดียวก็ใหญ่ขึ้นประหนึ่งภูเขาลูกเล็กๆ ทันใดนั้นก็สั่นไหวและกระจายออกมา กลายเป็นคนตัวเล็กๆ ขนาดไม่เกิดหนึ่งนิ้วจำนวนนับไม่ถ้วนมุ่งตรงไปยังวิหคยักษ์
“ไปกันเถิด!” หลัวอวี้เฉิงโอบมั่วชิงเฉินเอาไว้แน่น ใต้เท้ามีแสงวิญญาณสีมรกตพรั่งพรูออกมา จากนั้นก็เหาะขึ้นไปข้างบนประหนึ่งดาวตก
วิหคยักษ์จำนวนมากถูกหุ่นไม้รบกวน นกตัวใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าอ่อนแอ จึงถูกทั้งสองคนร่วมมือกันจัดการอย่างรวดเร็ว ความเร็วในการกระโดดไปหินภูเขาไฟก้อนที่สี่นั้น คาดไม่ถึงเลยว่าจะรวดเร็วกว่าสองด่านที่ผ่านมา
มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว “สหายหลัว เจ้าใช้สิ่งใดรั้งวิหคยักษ์เอาไว้หรือ”
นางมองไม่เห็นอย่างไรเล่า มองไม่เห็น!
หลัวอวี้เฉิงยิ้มมุมปาก ตามด้วยพูดคำสองคำออกมา “ความลับ!”
มั่วชิงเฉินเกือบจะกระอักเลือดออกมา มองหลัวอวี้เฉิงอย่างโมโห “หลัวอวี้เฉิง เจ้ามันใจแคบ”
หลัวอวี้เฉิงใช้ปลายนิ้วลูบมุกรวมวิญญาณเบาๆ ยิ้มกว้างพลางพูด “มั่วชิงเฉิน เจ้าจ้องอากาศทำไมหรือ ข้าอยู่ทางนี้ต่างหากเล่า!”
มั่วชิงเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ ข้าต้องอดทน!
นึกถึงปีนั้นยามอยู่ที่แดนไร้วิญญาณ เป็นเพราะคนอัปมงคลผู้นี้ที่พละกำลังยังไม่มากเท่านาง นางในตอนนั้นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มักเหนือกว่าผู้อื่น แม้ภายหลังจะได้พบกันอีกครั้งแต่อย่างน้อยก็ยังเสมอกัน แต่ตอนนี้ตั้งแต่ที่นางตาบอด ก็แพ้อย่างสมบูรณ์แบบ!
หลัวอวี้เฉิงเดินเข้ามาและนั่งลง พลางพูดเบาๆ “รีบๆ ฟื้นฟูเข้าเถิด เกรงว่าสามด่านต่อจากนี้จะมิได้ง่ายดายขนาดนั้น”
เป็นไปตามที่หลัวอวี้เฉิงคาดการณ์ไว้ ยามที่ทั้งสองคนออกจากหินภูเขาไฟเพื่อไปด่านที่ห้า ขณะที่เผชิญหน้ากับวิหคยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วน ทันใดนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
Related