เขารูปร่างอรชรอ้อนแอ้นราวอิสตรี เสื้อสีดำทั่วกายขับผิวเสมือนหยก ดูดุจเทพเซียน แขนทั้งสองข้างกอดกันเอาไว้ ดวงตาสีดำขลับหนึ่งคู่ชำเลืองมองมาอย่างสงบนิ่ง มุมปากแต้มรอยยิ้มเกียจคร้าน
คาดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นหลัวอวี้เฉิง!
มั่วชิงเฉินในตอนนี้กำลังอำพรางสถานะผู้บำเพ็ญเพียรและรูปลักษณ์เอาไว้ ได้พบกับสหายเก่าอย่างกะทันหันจึงไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร
หลัวอวี้เฉิงร่อนลงมาด้วยท่าทีไม่ช้าไม่เร็ว ก่อนจะหยุดยืนอยู่ไม่ไกลจากมั่วชิงเฉิน เขาพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “สหายมั่ว ไม่เจอกันเสียนาน”
มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว “สหายหลัวจำข้าได้หรือ”
หลัวอวี้เฉิงมองสองคนที่สลบไสลบนใบหน้ามีรอยก้อนอิฐด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มไม่คล้ายยิ้ม จากนั้นมองมั่วชิงเฉินด้วยแววตาขบขันอีกครา มั่วชิงเฉินพลันเข้าใจทุกอย่างขึ้นมา ผายมืออย่างไม่ใส่ใจนัก “ขายหน้าสหายหลัวแล้ว”
“สหายมั่ว เจ้ายังเหมือนเดิมเลยนะ” หลัวอวี้เฉิงปรายตามองถุงเก็บวัตถุในมือของมั่วชิงเฉินเล็กน้อย
มุมปากของมั่วชิงเฉินกระตุก “ใช้ความรุนแรงแล้วยังฉวยโอกาสเช่นนั้นหรือ เช่นเดียวกันกับสหายหลัวที่ยังเหมือนเดิม”
“ทะนงตัวและปากคอเราะรายเช่นนั้นหรือ” หลัวอวี้เฉิงเองก็ถามออกไปอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก
ทั้งสองคนมองหน้ากันเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน
จะว่าไปแล้วมันก็แปลกนัก ทั้งสองเจอกันครั้งก่อนก็เมื่อเจ็ดสิบกว่าปีก่อน กลับมาเจอกันอีกครา เพียงแค่อ้าปากก็รู้สึกสนิทสนม เหมือนกับตอนที่อยู่หุบเขาไร้วิญญาณ เผยนิสัยเลวร้ายออกมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
“สหายมั่ว เรียนเชิญก็มิสู้เผอิญพบ พวกเราไปดื่มกันสักหน่อยดีหรือไม่”
มั่วชิงเฉินแย้มยิ้มงดงาม “มิกล้าขัดขืน”
นางจากเทียนหยวนไปเสียนาน เมื่อได้พบกับสหายเก่าก็อารมณ์ดีไม่น้อย เมื่อเห็นหลัวอวี้เฉิงไม่รีรอนาง ทะยานมุ่งตรงไปยังที่แห่งหนึ่ง นางก็กระโดดขึ้นไหมเกล็ดน้ำแข็งและรีบตามไป
หลัวอวี้เฉิงมีรากวิญญาณลมที่เชี่ยวชาญในด้านความเร็ว ในตอนนี้ยังเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันก็มิอาจเทียบความเร็วในการเหาะได้ หันไปมองแวบหนึ่ง ก็เห็นมั่วชิงเฉินเหยียบไหมเกล็ดน้ำแข็งตามมาติดๆ จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา น้ำเสียงแผ่วเบาท่ามกลางสายลม “สหายมั่ว จากกันเจ็ดสิบปี ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของเจ้าช่างก้าวกระโดดยิ่งนัก”
มั่วชิงเฉินเหล่ตามองเขา “สหายหลัวกำลังคุยโวโอ้อวดอยู่หรือ ข้าจำได้ว่าตอนนั้นเจ้าและข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน แต่ตอนนี้ระดับของเจ้ายังสูงกว่าข้าถึงหนึ่งขั้นเชียว”
มั่วชิงเฉินกล่าวออกไปอย่างไม่ใส่ใจนัก แท้จริงแล้วในใจก็รู้สึกจะตะลึงอยู่บ้าง ถึงจะกล่าวว่าตนเองมีสี่รากวิญญาณอันไร้ค่า แต่ก็นับว่าบังเอิญมาก หลังจากบำเพ็ญเพียรคู่กับเยี่ยเทียนหยวนแล้ว ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของนางก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย ประกอบกับหลับใหลในดักแด้ยักษ์ก็ทำให้การบำเพ็ญเพียรของนางคืบหน้าไปมาก ถึงได้บำเพ็ญเพียรมาถึงระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายอย่างเหน็ดเหนื่อย แต่หลัวอวี้เฉิงกลับเหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็จะบรรลุเป็นระดับก่อกำเนิดเสียแล้ว
หรือว่านี่คือข้อได้เปรียบของรากวิญญาณลม หรือว่าหลายปีมากนี้เขาเองก็มีโอกาสไม่ได้น้อยกว่านางกัน
เมื่อคิดถึงปีนั้นที่เก็บไฟหน่อไม้หินมาจากแดนไร้วิญญาณ ทำให้รากวิญญาณของนางยกระดับขึ้น และแทบจะแข็งแกร่งเทียบเท่ากับสามรากวิญญาณ เช่นนั้นหลัวอวี้เฉิงที่เก็บไฟหน่อไม้หินมาเช่นเดียวกัน เช่นนั้นเหตุใดมันถึงไม่ได้ดีกว่ารากวิญญาณแปรผันเล่า
ใบหน้าที่มองหลัวอวี้เฉิงอยู่ดูจะใจลอย เขาจึงเอียงหน้ามามอง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “สหายมั่ว มองอวี้เฉิงเช่นนี้ กำลังคิดอยู่ว่าเหตุใดการบำเพ็ญเพียรของอวี้เฉิงถึงได้รวดเร็วเพียงนี้ใช่หรือไม่”
มั่วชิงเฉินกะพริบตาปริบๆ ดวงตาทั้งสองข้างโค้งเป็นรอยยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ คนผู้นี้ ยังคงร้ายกาจเช่นเคย!
ถ้าหากว่าเขาคิดจะทำ ความคิดของคนอื่นก็หลบซ่อนมิได้หรอก
เมื่อเห็นมั่วชิงเฉินยิ้มแต่กลับไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา หลัวอวี้เฉิงจึงไม่ได้พูดถึงเรื่องเมื่อครู่ เขาชะลอความเร็วลงโดยไม่รู้ตัวจนหยุดยืนอยู่ข้างมั่วชิงเฉิน “สหายมั่ว หลายปีมานี้เจ้าไม่ได้อยู่ที่ดินแดนเทียนหยวนหรือ”
มั่วชิงเฉินลูบหน้าผากพลางถอนหายใจ “เรื่องนี้เจ้าเองก็ทราบหรือ”
หลัวอวี้เฉิงยิ้มบางๆ “ตอนที่เจ้ายังเป็นเพียงระดับสร้างรากฐาน ก็ก่อกวนเสียจนทั้งพรตและมารโกลาหลอลหม่าน ชื่อเสียงดังสนั่นก้องหูผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนไม่น้อย หลังจากบรรลุระดับก่อแก่นปราณก็ไม่ปรากฏตัวที่ใด แม้แต่วีรบุรุษในช่วงความโกลาหลแห่งวิกฤติอสูรยังมิได้ข่าวคราวของเจ้า เช่นนั้นจะเป็นสิ่งใดไปได้นอกเสียจากว่าเจ้ามิได้อยู่ที่ดินแดนเทียนหยวน”
มุมปากของมั่วชิงเฉินกระตุก “สหายหลัว ระวังคำพูดของท่านด้วย ก่อกวนเสียจนทั้งพรตและมารโกลาหลอลหม่านอันใดกัน”
“มิใช่หรือไร” มุมปากของหลัวอวี้เฉิงยกขึ้นเล็กน้อยจนกลายเป็นยิ้มเยาะ ดวงตาสีดำทั้งสองดำดุจน้ำหมึกและเปล่งประกายระยิบระยับ
“แน่นอนว่ามิใช่ สหายหลัว ข้ามิเคยบอกกับเจ้าหรือว่าสีหน้าเช่นนี้ ทำให้ข้าอยากชักอยากจะมีเรื่องขึ้นมา!” มั่วชิงเฉินกัดฟันพูด
“ยังคงป่าเถื่อนเช่นเคย” หลัวอวี้เฉิงยิ้มพลางส่ายหัว จากนั้นกล่าวต่อ “สหายมั่วคงได้ยินเรื่องแดนสวรรค์มี่หลัวตูและการประลองเฟิงอวิ๋นในอีกหกเดือนข้างหน้าแล้วใช่หรือไม่”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า
หลัวอวี้เฉิงเงียบไปชั่วครู่ หลุบตาลง ตามด้วยเอ่ยเสียงเรียบ “ที่จริงแล้วข้าเคยไปแดนสวรรค์มี่หลัวตูเมื่อนานมาแล้ว”
“อะไรนะ” มั่วชิงเฉินมองหลัวอวี้เฉิงตรงๆ เบิกตาทั้งสองกว้าง ครานี้นางประหลาดใจจริงๆ
ถ้าหากกล่าวว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเคยไปที่แดนสวรรค์มี่หลัวตูมาแล้ว ท่านอาจารย์จะต้องบอกกับนางแน่ ทว่าตอนนั้นท่านอาจารย์มิได้กล่าวออกมา เช่นนั้นท่านอาจารย์คงจะมิทราบเรื่องที่หลัวอวี้เฉิงไปที่แดนสวรรค์มี่หลัวตู
ดูเหมือนหลัวอวี้เฉิงจะเดาออกว่ามั่วชิงเฉินกำลังคิดอะไร เขาอธิบาย “มิใช่ว่าเข้าไปกับเจินจวินทุกท่านหลังจากที่แดนสวรรค์มี่หลัวตูเปิดออก เพียงแค่มีโอกาสเหมาะเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว การบำเพ็ญเพียรเป็นเพียงการมิได้คิดให้รอบคอบ มิได้ถูกเจ้าทอดทิ้ง”
ที่แท้ที่พูดมาทั้งหมดก็เพื่ออธิบายเรื่องการบำเพ็ญเพียรของตน
มั่วชิงเฉินปรายตามองหลัวอวี้เฉิง จากนั้นมิได้เปล่งเสียงใดออกมา
“เหตุใดสหายมั่วถึงไม่เอ่ยอันใดเล่า” หลัวอวี้เฉิงถาม
มั่วชิงเฉินหัวเราะคิกคักพลางตอบ “ถึงอย่างไรเจ้าก็เดาได้ เช่นนั้นข้าเก็บแรงไว้ดีกว่า”
หลัวอวี้เฉิงมองมั่วชิงเฉินอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จากนั้นก็หลุบตาลงพลางเอ่ยเสียงเรียบ “มิใช่ว่าจะเดาได้ทุกเรื่อง”
พูดจบก็ถึงที่หมายพอดี หลัวอวี้เฉิงค่อยๆ ร่อนลง เรื่องก่อนหน้านี้ก็มิมีใครเอ่ยออกมาอีก
จุดหมายปลายทางที่ทั้งสองคนร่อนลงคือทางเข้าเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง เมืองเล็กๆ นี่เล็กจริงๆ ขนาดประมาณหมู่บ้านเล็กๆ ในโลกมนุษย์
มั่วชิงเฉินเดินตามหลัวอวี้เฉิงเข้าไปพลางพินิจพิเคราะห์ไปด้วย นางพบว่าเมืองเล็กๆ นี่จัดได้เป็นระเบียบ กระเบื้องสีเขียวผนังสีแดงและถ้วยแก้วหลากสี ตรอกหยกขาวมีธงปลิวไสว แน่นอนว่าเป็นเมืองใหม่
ผู้คนข้างในมีทั้งผู้บำเพ็ญเพียรพรต มาร และปีศาจ
มั่วชิงเฉินปรายตามองหลัวอวี้เฉิง
หลัวอวี้เฉิงเดินเคียงข้างมั่วชิงเฉิน เขาเอ่ย “ปัจจุบันนี้ที่เทียนหยวนมีเมืองอำพรางใหม่เช่นนี้มิน้อย เหมาะจะให้ทั้งสามฝ่ายแลกเปลี่ยนและอาศัยอยู่ เมืองนี้มีโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่อาหารประจำร้านรสชาติเยี่ยม วันนี้ได้จังหวะพาเจ้ามาชิมสักหน่อย”
มั่วชิงเฉินใบหน้าสงบนิ่ง ทว่าในใจกลับแอบยิ้ม จู่ๆ นางก็รู้สึกราวกับกำลังเดินเล่นหาของกินกับสหายคนสนิท
หลัวอวี้เฉิงปรายตามองนางด้วยสายตาทะลุปรุโปร่ง มองเสียจนมั่วชิงเฉินหวาดกลัว เจ้าคนชั่วช้านี่ แม้แต่ความคิดแค่นี้ยังถูกอ่านออก นางสาบานว่าถ้าหันหลังกลับไป จะไม่คบค้าสมาคมกับคนผู้นี้อีก!
โรงเตี๊ยมแห่งนั้นเล็กมาก แม้แต่ธงสุราสักผืนก็หาไม่พบ สถานที่ตั้งก็ลาดเอียง หลัวอวี้เฉิงพานางเดินวนไปมาจากนั้นก็เข้าไป มั่วชิงเฉินอดไม่ได้จึงถามออกมา “เจ้ามาที่นี่บ่อยหรือ”
หลัวอวี้เฉิงยิ้มพลางถาม “มาครั้งเดียวนับว่าบ่อยหรือไม่”
มั่วชิงเฉินตัดสินใจเงียบปากชั่วคราว เพื่อหลีกเลี่ยงการโดนโจมตี
หลังจากเข้ามาข้างในโรงเตี๊ยม ก็พบว่าการตกแต่งข้างในพิเศษมาก ตรงหน้าคือโต๊ะต้อนรับ มีคนอยู่สองคน คนหนึ่งยืน คนหนึ่งนั่ง ไม่เหมือนกับโถงของโรงเตี๊ยมทั่วไป แต่เป็นระเบียงทางเดินทอดยาวที่มีห้องส่วนตัว
“ห้องที่สามมิมีแขก” คนที่นั่งอยู่ตอบออกมาอย่างเกียจคร้าน ไม่คิดจะประจบประแจงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทั้งสองที่เข้ามา
ส่วนคนที่ยืนอยู่แต่งกายเช่นเดียวกันกับเพื่อนร่วมงาน แต่กลับสุภาพกว่า เขานำทางแขกทั้งสองไปพูดไป “เชิญท่านทั้งสองด้านใน”
เมื่อผลักประตูเข้าไป มั่วชิงเฉินรู้สึกราวกับข้างในคืออีกโลกหนึ่ง ห้องส่วนตัวใหญ่กว่าที่นางคิดอยู่มาก มีดอกไม้ใบหญ้าประดับประดามากมายแต่ก็ไม่ได้รก โต๊ะหยกหนึ่งตัว ที่นั่งทั้งสองข้างกลับเป็นเก้าอี้ที่ห้อยลงมาจากต้นไม้ ที่วางแขนทั้งสองข้างเกิดจากเถาวัลย์หลายเส้นถักทอ ดอกไม้เล็กๆ สีชมพูและสีขาวแซมอยู่ตรงกลาง ไม่ได้มีความหมายอะไรลึกซึ้ง
“สหายมั่ว เชิญนั่ง” หลัวอวี้เฉิงมองสีหน้าประหลาดใจของมั่วชิงเฉินด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็สะบัดเสื้อของเขาและนั่งลง
“เนื้อหอยอบน้ำผึ้งหนึ่งจาน ที่เหลือแล้วแต่เจ้า” หลัวอวี้เฉิงปราดตามองพนักงานร้านที่ยืนคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ
“อาวุโสทั้งสองจะร่ำสุราใดหรือขอรับ” พนักงานร้านถาม
หลัวอวี้เฉิงโบกมือพลางกล่าว “มิต้องหรอก”
หลังพนักงานร้านเดินออกไป ก็มองไปทางมั่วชิงเฉิน “มิทราบว่าหลายปีมานี้สหายมั่วกลั่นสุราใดไว้บ้าง”
มั่วชิงเฉินวางน้ำเต้าใส่สุราหลายใบลงบนโต๊ะ ตามด้วยกระซิบบอก “เจ้าช่างไร้ความเกรงใจ”
ไม่นานพนักงานร้านก็ยกอาหารหลายอย่างมา หนึ่งในนั้นก็คือเนื้อหอยย่างน้ำผึ้ง
หลัวอวี้เฉิงหยิบขึ้นมาหนึ่งตัว มีดวายุปรากฏออกมาที่ปลายนิ้ว เนื้อหอยถูกแคะออกมาทั้งตัว จากนั้นแคะส่วนที่อ้วนที่สุดวางลงบนจานของมั่วชิงเฉิน หยิบผ้าสีขาวข้างกายขึ้นเช็ดมือพลางเอ่ย “สหายมั่วลองทานดู”
มั่วชิงเฉินกินไปหนึ่งคำ สดและอร่อยตามที่คาดไว้ กลืนลงไปปราณวิญญาณพลันตีขึ้นมา รูขุมขนทั่วกายเปิดออก
พลันถอนหายใจอย่างพึงใจ “ไม่เจอกันเสียนาน สหายหลัวก็รู้จักเสพสุขแล้ว”
หลัวอวี้เฉิงเม้มริมฝีปากพลางเอ่ย “อวี้เฉิงเป็นเช่นนี้มาตลอด เพียงแต่สหายมั่วมิทราบเท่านั้น สหายมั่วมาที่นี่ หรือว่าอยากจะไปที่สำนักลั่วสยา”
ว่ากันตามหลักการแล้ว นางออกจากเหยากวงได้เพียงไม่นาน บัตรเชิญก็ไม่ได้ถูกส่งออกไปยังทุกที่เร็วขนาดนั้น หลัวอวี้เฉิงคงยังจะไม่ทราบเรื่องที่นางจะแต่งงาน แต่ที่เขาเดาว่านางกำลังจะไปสำนักลั่วสยา มั่วชิงเฉินก็ทึ่งเสียแล้ว นางทำได้แค่ผยักหน้าตามจริง
“แล้วสหายหลัวเล่า เหตุใดถึงได้รู้จักอาหารของเมืองเล็กๆ นี้ได้ หรือว่าที่จวนนั้นสบายจนเกินไป จึงมาผจญโลกบำเพ็ญเพียร”
“มิได้หรือ” หลัวอวี้เฉินเลิกคิ้วพลางถามย้อน
มั่วชิงเฉินเม้มริมฝีปาก นางจำได้ว่าตระกูลของหลัวอวี้เฉิงลึกลับมาก เขาเองก็ดูเหมือนจะมีภารกิจต้องทำ หรือว่าภารกิจเข้าไปในแดนสวรรค์มี่หลัวตูสำเร็จแล้ว
คิดมาถึงตรงนี้นางจึงถามหยั่งเชิง “สหายหลัวออกมาเที่ยวเล่นเช่นนี้ ทิ้งภรรยาและลูกไว้ที่จวนหรือ”
หลัวอวี้เฉิงปรายตามองนางด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มไม่คล้ายยิ้ม จากนั้นพูดเสียงแผ่ว “อวี้เฉิงยังมิได้แต่งงาน สหายมั่วมองมิออกหรือ”
มั่วชิงเฉินไอออกมาสองทีอย่างเก้อเขินและไม่ได้มองไป
แม้ว่าระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์และขั้นปลายจะมีบางส่วนไม่เหมือนกัน แต่ที่จริงแล้วก็ไม่ได้ถือว่าต่างกันมากนัก เช่นนั้นหากนางพินิจดูก็จะสามารถดูได้ว่าฝ่ายตรงข้ามยังคงรักษากายความเป็นหยางอยู่หรือไม่ เพียงแต่เมื่อครู่นางอยากเลียบๆ เคียงๆ ถามความจริงจากเขาเท่านั้น ถึงได้ถามออกไปโดยไม่คิด แต่กลับถูกหลัวอวี้เฉิงถามกลับมาตรงๆ เช่นนี้ นางก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นมาทันที
แต่กลับเห็นรอยยิ้มเยาะบนริมฝีปากของหลัวอวี้เฉิง เขาพูดเสียงเรียบ “ดูเหมือนว่าสหายมั่วยังกลับมาเทียนหยวนได้ไม่ถึงเดือน มิเช่นนั้นคงทราบแล้วว่า สาวงามอันดับหนึ่งแห่งแดนไท่ไป๋หนีไปในวันแต่งงานโดยมิกลัวจะแตกหักกับมารดา และเจ้าบ่าวที่ถูกคนหัวเราะเยาะผู้นั้นก็คือข้าน้อยเอง”