หมาป่าน้อยมีสีหน้าดุร้าย พักใหญ่ถึงได้ตอบออกไป “ข้าคือลูก…”
พูดไม่ทันจบก็ถูกปีกของอีกาไฟที่รีบพุ่งเข้ามาปิดปากเอาไว้ มันรีบพูดออกมา “ล้อกันเล่นหรือไร หากไม่ใช่นายท่านเก็บมาแล้วจะอยู่ในถุงเก็บอสูรวิญญาณได้เยี่ยงไร”
เขาน้อยก้มหน้าลงพลางหัวเราะคิกคัก
หลังจากหมาป่าน้อยบรรลุถึงขั้นห้าแล้ว สติปัญญาก็ฉลาดขึ้น เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของอีกาไฟมันก็รีบกลืนถ้อยคำที่อยากจะพูดลงไป จากนั้นก็ส่งเสียงคล้อยตามอย่างเย็นชา
เหลียงเฉินดวงตาวาบประกาย นางชอบอสูรวิญญาณที่ดูยิ่งใหญ่ดุร้ายและเย็นชาเช่นนี้เข้าจริงๆ ไม่เหมือนกับอีกาไฟที่ทั้งดำทั้งกลม แถมยังชอบกลอกตาขาวเล็กจิ๋วคู่นั้น ทักษะฝีปากก็ร้ายกาจทรงพลังเหลือเกิน ไม่เหมือนกับเขาน้อยที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาเสียจนผู้คนมิกล้าแตะต้อง กลัวว่าถ้าหากแตะต้องแล้วจะทำมันแหลกสลายและมิอาจชดใช้ได้
อีกาไฟที่คาถาอ่านใจก้าวหน้าไปพร้อมๆ กับระดับเงยหน้าขึ้นมาโดยพลัน ดวงตาสีขาวคู่เล็กส่งแสงเย็นออกมา มันกัดฟันตอบ “เหลียงเฉิน เจ้าพอได้แล้ว อย่าคิดว่ามีก้อนอิฐของนายท่านแล้วข้าจะมิกล้าลงมือกับเจ้า!”
เหลียงเฉินก้มใบหน้าซีดเผือดลง “พี่อู๋เย่ว์ ข้าผิดไปแล้ว”
อีกาไฟจึงเดินไปรอบๆ ด้วยความพึงพอใจ มันเลือกกิ่งท้อที่ชอบจากนั้นกระโดดขึ้นไปงีบหลับ
เหลียงเฉินผ่อนลมหายใจ นางแอบมองหมาป่าน้อยอยู่หลายครา แต่ก็อดมิได้จนต้องเข้าไปถาม “เจ้าชื่ออะไรหรือ”
“หมาป่าน้อย” หมาป่าน้อยตอบอย่างขอไปที
“เอ่อ ข้ารู้ว่าเจ้าคือหมาป่าน้อย แต่ข้ากำลังถามชื่อของเจ้าอยู่” เหลียงเฉินถามอย่างไม่ย่อท้อ
ชั่วพริบตาเดียวสีหน้าของหมาป่าน้อยก็เย็นชายิ่งกว่าเดิม ชำเลืองมองนางเล็กน้อย จากนั้นเปล่งคำสองคำออกมา “หมาป่าน้อย”
เขาน้อยหัวเราะ “เหลียงเฉิน ชื่อของมันคือหมาป่าน้อย”
“อ๋อ มีชื่อเรียกตรงตัวเช่นนี้ด้วยหรือ” เหลียงเฉินมองหมาป่าน้อยอย่างเห็นอกเห็นใจ
หมาป่าน้อยไม่ได้สนใจอะไรอีก มันหมอบลงกับพื้นและหลับตาลง หางส่ายไปมา ในใจพลันคิด ที่แท้เรียกว่าหมาป่าน้อยตรงๆ ไม่ได้หรือ ในเมื่ออสูรเขาเดียวชื่อว่าเขาน้อย ทุกครั้งที่นายท่านเรียกตัวเองว่าหมาป่าน้อยก็รู้สึกแปลกๆ ที่แท้ก็เพราะเหตุผลนี้!
หมาป่าน้อยผู้เย็นชากลับต้องมาเศร้าซึมเพราะชื่อ
…
มั่วชิงเฉินร่อนลงยังประตูห้องปฏิบัติการ จากนั้นสาวเท้าก้าวเดินข้าวไป
นางได้ยินเสียงดังออกมาจากข้างใน “ท่านย่าเอ๋ย วันนี้เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว ไหนเขาว่ากันว่าในงานแต่งงานเจ้าสาวจะเหนื่อยมาก แต่พวกเรากลับเหนื่อยเสียยิ่งกว่าเจ้าสาวอีก!”
เสียงนั้นทั้งใหญ่ทั้งไร้เดียงสา ถึงจะแยกกันไปหลายปีเช่นนี้ ทว่าได้ยินแล้วมั่วชิงเฉินก็ทราบทันทีว่าเป็นเสียงของซุนอาหนิว
เสียงอบอุ่นรื่นหูอีกเสียงดังขึ้นมา “ตอนนี้เรื่องทุกอย่างใกล้จะเรียบร้อยแล้ว ศิษย์น้องซุนไปพักผ่อนเถิด”
“แล้วท่านล่ะ ท่านหัวหน้าโถง” ซุนอาหนิวถาม
น้ำเสียงเจือแววขบขันตอบ “ข้าขอจัดการอะไรอีกสักหน่อย ครู่เดียวก็เสร็จแล้ว”
“เช่นนั้น ข้าคงต้องขอตัว” ซุนอาหนิวพูดไปพลางลุกขึ้นและสาวเท้าเดินออกมา อยู่ตรงหน้ามั่วชิงเฉินพอดี
“เอ๋…เอ่อ…อ่า…ท่าน…ท่าน…ท่าน…”
“ศิษย์น้องซุน เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” คนข้างในรีบเร่งฝีเท้าเดินออกมา เมื่อเห็นมั่วชิงเฉินก็ชะงัก รอยยิ้มอ่อนโยนแต้มอยู่ตรงมุมปาก
ที่แท้คนผู้นั้นก็คือศิษย์พี่อู๋นี่เอง คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นถึงหัวหน้าโถงของห้องปฏิบัติการไปเสียแล้ว
มั่วชิงเฉินพยักหน้าเบาๆ “หัวหน้าโถงอู๋ ไม่เจอกันเสียนานเลยนะ”
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋รีบเก็บใบหน้าตะลึงงัน ลุกขึ้นคำนับจากนั้นเอ่ย “อาจารย์อาชิงเฉิง”
ครานี้ซุนอาหนิวถึงได้นึกออก ยื่นมือออกไปกอดมั่วชิงเฉินจนแน่น “อาจารย์อาชิงเฉิง ท่านยังมีอยู่ชีวิตอยู่ ดียิ่งนัก!”
มั่วชิงเฉินอึดอัด นางผลักซุนอาหนิวออก รู้ดีว่ามิควรถือสาหาความกับคนเขลาจึงได้แต่ตอบกลับไปอย่างยิ้มๆ “ใช่แล้ว ศิษย์หลานซุน ข้ายังมีชีวิตอยู่”
ซุนอาหนิวที่มิรู้ว่าควรจะพูดอะไรเอาฝ่ามือถูกันไปมา ได้แต่ยิ้มอย่างเขลาๆ
มั่วชิงเฉินมองแล้วจู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บปวดใจ ไม่ว่าจะไปแห่งหนใดที่นี่ก็ยังคงเป็นที่พักพิงและเป็นห่วงเป็นใยนางตลอด เพราะที่นี่มีผู้คนที่คอยเป็นห่วงนางและเป็นบ้านที่แท้จริงของนาง
“อาจารย์อาชิงเฉิง ที่ท่านมาห้องปฏิบัติการในตอนนี้นั้นมีเรื่องอันใดหรือ” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ปริปากถาม
มั่วชิงเฉินพยักหน้า ยิ้มจางๆ และตอบออกไป “ข้ามาที่นี่เพื่อสอบถามเรื่องหนึ่ง ไม่คิดว่าศิษย์หลานอู๋จะเลื่อนเป็นหัวหน้าโถงเสียแล้ว”
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋หัวเราะ “อาจารย์อาชิงเฉิงต้องการถามเรื่องใดหรือ”
มั่วชิงเฉินเงียบลงชั่วครู่
ซุนอาหนิวจู่ๆ ก็เหมือนนึกอะไรออกขึ้นมา เขาตบหน้าผากตัวเอง “ตอนนี้ ข้าควรหลบไปใช่หรือไม่”
มุมปากของมั่วชิงเฉินยกขึ้น “มิต้องแล้ว” พูดจบก็หันไปทางผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ “ข้าอยากถามว่าเคยมีคนตามหาข้าที่นี่หรือไม่”
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ครุ่นคิด “มีขอรับ”
“หือ เช่นนั้นแล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใด” มั่วชิงเฉินถามด้วยความปีติ
“พวกเขาหรือ” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ทวนคำถามหนึ่งครา ฉับพลันนั้นก็เข้าใจจึงพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “อาจารย์อาชิงเฉิงล้อกันเล่นแล้วใช่หรือไม่ หลายปีก่อนมีผู้คนมาหาท่านจริงๆ ทว่าเป็นสตรีหนึ่งนางและบุรุษหนึ่งท่านเท่านั้น มิได้มาพร้อมกัน”
“สตรีหนึ่งนางและบุรุษหนึ่งท่านหรือ” มั่วชิงเฉินไม่สบายใจ นางรีบถามกลับ ”พวกเขาได้ทิ้งนามไว้หรือไม่”
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ตอบ “บุรุษท่านนั้นมิได้ทิ้งนามไว้ แต่มองออกว่าเขาเป็นปราชญ์ท่านหนึ่ง ส่วนสตรีอีกนางกล่าวไว้ว่า หากท่านกลับมาฝากบอกท่านว่า ‘มั่วเฟยเยียนมีเรื่องจะกล่าว รอท่านอยู่ที่ลั่วสยา’
ที่แท้ก็เป็นพี่เก้า!
ลางสังหรณ์ของมั่วชิงเฉินบอกว่าปราชญ์ท่านนั้นมิใช่หลี่จื้อหย่วน หรือว่าจะเป็นอาจารย์อาไม่เหมือนใครท่านนั้นที่เขากล่าวถึงในจดหมาย
“นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีใครอีกหรือไม่”
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋พยายามนึก สุดท้ายแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่มีแล้วขอรับ ข้อมูลพวกนี้ห้องปฏิบัติการจะบันทึกลงในหนังสือ ตั้งแต่ข้ารับตำแหน่งนี้ก็ไม่มีนะขอรับ”
เช่นนั้นก็แสดงว่าถังมู่เฉินและหู่โถวมิได้มาที่เหยากวง
หรือว่าจะเกิดเรื่องกับพวกเขา
มั่วชิงเฉินคิดเช่นนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปไม่น่ามอง
“อาจารย์อาชิงเฉิง ท่านมิได้เป็นอะไรใช่หรือไม่” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
มั่วชิงเฉินที่เพิ่งคืนสติยิ้มจางๆ “ไม่เป็นไร ขอบคุณท่านหัวหน้าโถงมาก นี่ก็เย็นมากแล้ว ข้าไม่รบกวนท่านแล้ว”
พูดจบนางก็หันหลังเดินจากไป เดินไปได้ไม่กี่ก้าวนางก็หันหน้ากลับมา “จริงสิท่านหัวหน้าโถง เหตุใดข้าถึงไม่เห็นศิษย์หลานหวังเล่า”