มั่วชิงเฉินหรี่ตาทั้งสองข้างลง คนผู้นี้คือมารบำเพ็ญเพียร และยิ่งไปกว่านั้นยังเดินทางสายเพลงยุทธ์!
หากเป็นเวลาปกติมารบำเพ็ญเพียรไม่พูดอะไรก็โจมตี มั่วชิงเฉินย่อมไม่สนใจ แต่จังหวะนี้ย่อมไม่เหมือนกัน
เห็นได้ชัดว่าบุรุษสวมชุดสีฟ้าที่กำลังต่อกรกับอสูรปีศาจเป็นพวกเดียวกันกับบุรุษสวมชุดสีม่วง อสูรปีศาจทั้งสองตนได้รับบาดเจ็บ จะถูกสังหารได้ตลอดเวลา เมื่อบุรุษสวมชุดสีฟ้าลงมือ และตนไม่อาจจัดการบุรุษสวมชุดสีม่วงได้ทันทีละก็ บุรุษสวมชุดสีฟ้าจะต้องใช้โอกาสสองรุมหนึ่งหยิบส้มโอมือสีทองไปแน่ หากเป็นเช่นนั้นทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว
มั่วชิงเฉินสำแดงคาถาวารีตามรูปหลบหลีกการโจมตีของบุรุษชุดสีม่วงไปพลาง เอ่ยไปพลาง ”สหายโปรดฟังข้าน้อยสักหน่อย…”
บุรุษสวมชุดสีม่วงแสยะยิ้มเย็น “ข้าน้อยไม่มีเวลาฟัง ค่อยไปคุยกันอีกคราตอนสหายอยู่ในอเวจีเถิด”
สองมือกลายเป็นกรงเล็บแหลมคม แฉลบผ่านแก้มของมั่วชิงเฉินไปแล้วตามมาด้วยพายุไฟที่รุนแรง
มั่วชิงเฉินใช้กริชฟันปลาต้านทานเอาไว้ แผ่จิตสัมผัสที่ผนึกรวมกันจนเป็นเข็มบางๆ ออกไป แล้วทิ่มไปที่จิตสัมผัสของอีกฝ่าย ได้ยินเสียงบุรุษสวมชุดสีม่วงร้องครวญด้วยความเจ็บปวด แล้วล้มลง
มั่วชิงเฉินพลันบินไปทางส้มโอมือสีทองโดยไม่แม้แต่จะมอง
ได้ยินเสียงบุรุษสวมชุดสีฟ้าตะโกนว่าพี่ใหญ่ จากนั้นด้านล่างก็มีระลอกคลื่นปราณมารรุนแรงก่อตัวขึ้น
มั่วชิงเฉินอาศัยปฏิกิริยาตอบสนองว่องไวหมุนตัวไปหาบุรุษสวมชุดสีฟ้า
บุรุษสวมชุดสีฟ้าใช้สองมือถือคันธนู ลูกธนูขนนกที่มีลำแสงสีดำห่อหุ้มอยู่บินออกมา
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นมารบำเพ็ญเพียรผู้ใช้ธนู
สิ่งที่น่าแปลกยิ่งกว่าก็คือ บุรุษสวมชุดสีฟ้าและบุรุษสวมชุดสีม่วงมีหน้าตาเหมือนกัน ที่แท้ก็เป็นพี่น้องฝาแฝดคู่หนึ่ง
เพียงมือกวักเรียก คันธนูสีเขียวปรากฏขึ้น ศรแหลมคมสีทองบินออกมา ปะทะกับลูกธนูขนนกที่มีไอสีดำรายล้อมอยู่
ศรแหลมคมสีทองซึ่งบ่มเพาะอยู่ที่สระทองคำในร่างกายมาหลายปีไม่เหมือนกับในอดีตที่ผ่านมาแล้ว ระดับความคมนั้นยากจะต้านทาน เมื่อปะทะเข้ากับลูกธนูมาร ก็ได้ยินเสียง เคร้ง เสียงหนึ่ง ลำแสงสีทองบีบให้ไอสีดำแยกออกเป็นสองส่วนแล้วล่าถอยไป เผยลูกธนูขนนกสีดำที่ถูกผ่าออกเป็นสองส่วนออกมา
มั่วชิงเฉินกลับหน้าเปลี่ยนสี ร่างกายหันกลับหลังไปด้วยความเร็วที่เหนือคนธรรมดา แต่ก็ไม่ทันแล้ว รู้สึกเจ็บปวดวาบขึ้นที่ใจกลางสันหลัง และหล่นลงไปจากเสาหิน
และในเวลาเดียวกันเสาหินก็มีลำแสงสีทองสว่างวาบ เงาสีดำสายหนึ่งหยิบส้มโอมือสีทองไป
มั่วชิงเฉินฝืนเงยหน้าขึ้น จำเงาสีดำที่ชิงส้มโอมือสีทองจากนักพรตปี้เหลยไปก่อนหน้าได้
เพียงแต่รอบกายของเขามีหมอกสีเทารายล้อมอยู่ คาดไม่ถึงว่าจะไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง ดูจากลำแสงที่อยู่รอบตัวเขาแล้ว ดูเหมือนว่าจะใช้ลูกไม้เก่าๆ อย่างการอำพรางกายอีกครั้ง
มั่วชิงเฉินรู้สึกโกรธเกรี้ยว ชูมือขึ้นเหวี่ยงระเบิดสะท้านฟ้าออกไปร้อยกว่าลูก
แต่แค่ระเบิดสะท้านฟ้ายังไม่ทันระเบิดออก กลางท้องฟ้าก็เปลี่ยนไป
เสาหินจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมาจากพื้นดิน พุ่งสูงขึ้นไปอย่างบ้าคลั่ง ผิวดินแตกออกเป็นร่องลึก เศษหินที่ตกลงมาหมุนวน ชั่วพริบตาก็เกิดเป็นปรากฏการณ์ฟ้าถล่มดินทลาย
มั่วชิงเฉินถูกเงาสีดำลอบโจมตีที่ใจกลางสันหลัง จึงได้รับบาดเจ็บนัก เลยทำได้เพียงมองเสาหินผุดขึ้นมาใต้ร่างตัวเอง พาร่างนางพุ่งขึ้นสูงไปเรื่อยๆ
เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ตัดการเชื่อมโยงจิตใจกับถุงอสูรวิญญาณ นอกจากอีกาไฟที่ทำสนธิสัญญาเสมอภาคกันแล้ว อสูรวิญญาณตนอื่นก็ไม่อาจรับรู้สถานการณ์ภายนอกได้ แต่อีกาไฟกลับรักความสวยงามจนโง่เขลา ใช้เคล็ดวิชาลับพิเศษของเผ่าตนห่อตัวเองเอาไว้ในปราณปีศาจเพื่อกักตน จะได้มีขนงอกมาใหม่เร็วขึ้น จึงไม่รู้สถานการณ์ภายนอก
มั่วชิงเฉินคิดจะติดต่อกับหมาป่าน้อยแต่ก็ไร้เรี่ยวแรง จึงทำได้เพียงมองตนเองตกลงไปสู่สถานการณ์ที่สิ้นหวัง
เบื้องหน้ารางเลือน ข้างหูมีเสียงดังขึ้น “สหายมั่ว ไม่ต้องกลัว”
จากนั้นก็ถูกกอดเอาไว้
มั่วชิงเฉินพยายามลืมตาขึ้น ตรงหน้ากลับพร่าเลือน เห็นเพียงใบหน้าที่คุ้นเคยรางๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร มั่วชิงเฉินฟื้นฟูสติสัมปชัญญะกลับมา แต่ยังไม่ได้ลืมตาขึ้น ก็ได้ยินเสียงโต้เถียงกันดังมา
“เซี่ยหรัน เจ้าปกป้องผู้บำเพ็ญพรตคนหนึ่งเพราะเหตุใด ยามนี้ทั้งดวงดาวเปลี่ยนไปแล้ว ดอกไม้ปีศาจใหญ่ดุจบ้านเรือน ปีศาจยุงโตดุจโคถึก อสูรปีศาจกลายพันธุ์หรือดอกไม้ปีศาจทุกตนล้วนสามารถกินพวกเราจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกได้ คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะหาภาระมาอีก”
เซี่ยหรันเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชา “พวกเจ้าเองก็รู้ว่ายามนี้ดวงดาวเปลี่ยนไปแล้ว คนนอกอย่างพวกเราไม่ร่วมแรงกัน เกรงว่าคงต้องตายอยู่ที่นี่ หากเด็ดส้มโอมือผลสุดท้ายมาได้ ก็ทำให้ดอกไม้พิสดารถือกำเนิดขึ้น สืออิ่นยังใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในแดนที่ฟ้าถล่มดินทลายนี้ได้ แล้วเหตุใดถึงทนนางไม่ได้”
อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น “เช่นนั้นแล้วอย่างไร สหายสือมีพรสวรรค์ถึงเพียงนี้ แม้แต่เก็บกลิ่นอายก็ยังปิดบังผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดได้ แค่จุดนี้ก็ไม่รู้ว่าทำให้พวกเรารอดพ้นจากเคราะห์ภัยได้กี่ครั้งแล้ว ต่อให้อยากล่าน้ำค้าง ก็สะดวกขึ้นมาก”
ยามนี้เสียงที่หมดความอดทนพลันดังขึ้น “เอาล่ะ มนุษย์อย่างพวกเจ้าพูดมากเกินไป หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์เช่นนี้ ข้าก็ขี้เกียจจะร่วมมือกับพวกเจ้า!”
เสียงนี้มั่วชิงเฉินไม่เคยได้ยินมาก่อน น่าจะเป็นสืออิ่นปีศาจบำเพ็ญเพียรที่พวกเขาพูดถึง
“สหายสือ ที่พี่น้องข้าพูดเมื่อครู่ ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะพูดจาไม่เกรงใจกันเช่นนี้ได้ เชื่อว่าเจ้าเองก็รู้ หากเผชิญหน้ากับศัตรู เจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเรา หากแยกกับพวกเรา เจ้าอยากล่าน้ำค้าง เกรงว่าคงยาก” ผู้พูดคือบุรุษสวมชุดสีม่วง
สืออิ่นพลันขมวดคิ้ว “เช่นนั้นพวกเรารีบจัดการปัญหาของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนี้เถิด ที่นี่มีโอกาสและอันตรายอยู่ ได้น้ำค้างเพิ่มมาส่วนหนึ่ง กำลังก็เพิ่มขึ้นแล้ว หากชักช้าเสียเวลา ก็ไม่ต่างอะไรกับการส่งตัวไปตาย”
บุรุษสวมชุดสีม่วงมองเซี่ยหรัน “สหายเซี่ย เจ้าลองขบคิดครั้งสุดท้าย จะไปกับพวกเรา หรือว่ายังยืนหยัดจะเอาสตรีผู้บำเพ็ญเพียรใกล้ตายผู้นี้ไปด้วย”
ชั่วครู่ก็มีเสียงไม่ยินดียินร้ายของเซี่ยหรันดังขึ้น “หากข้ายืนหยัดล่ะ”
“เช่นนั้นก็ทำได้เพียงต้องเชิญสหายเซี่ยให้จากไปแล้ว” บุรุษสวมชุดสีม่วงเอ่ย
มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าตัวเองถูกอุ้มขึ้นมา ได้ยินเซี่ยหรันเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จากกันตรงนี้เถิด!”
เซี่ยหรันพามั่วชิงเฉินกระโดดไปมาอยู่นานในที่สุดก็หยุดลง วางนางลงบนใบไม้ใหญ่ๆ แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “สหายมั่ว เจ้าฟื้นแล้วหรือ”
มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้น ส่งเสียงอืม “สหายเซี่ย มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เซี่ยหรันชี้ไปรอบด้าน “เจ้าเองก็เห็นแล้ว ดอกไม้พิสดารถือกำเนิดแล้ว ดวงดาวกลายเป็นเช่นนี้ พวกเราทุกคนล้วนไม่อาจควบคุมสมบัติวิเศษเหาะเหินได้ และไม่อาจใช้สมบัติวิเศษโจมตี ทำได้เพียงใช้เคล็ดวิชาหรือพละกำลังของร่างกายเท่านั้น”
“แล้ว น้ำค้างคือสิ่งใด”
“ดอกไม้ใบหญ้าในแดนวิญญาณนี้ล้วนเปลี่ยนเป็นมโหฬาร ในส่วนลึกของเกสรดอกไม้บางพันธุ์จะผลิตไข่มุกบุปผาออกมา ในไข่มุกมีน้ำค้างอยู่ หากดื่มน้ำค้างเข้าไป ไม่ระดับขั้นบำเพ็ญเพียรเพิ่มขึ้น ก็เพิ่มอานุภาพของเคล็ดวิชาได้ ไม่ก็ทำให้ร่างกายบางส่วนแข็งแกร่งขึ้น มีประสิทธิภาพหลากหลาย” เซี่ยหรันเอ่ยอธิบาย
มั่วชิงเฉินพลันตกใจ “คาดไม่ถึงว่าจะมหัศจรรย์เช่นนี้” จากนั้นก็มองเซี่ยหรัน “ขอบคุณสหายเซี่ยมาก”
เซี่ยหรันเอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้าพักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะไปล่าน้ำค้าง”
ไม่อาจใช้สมบัติวิเศษได้ ค่ายกลป้องกันกลับสามารถใช้ได้ เซี่ยหรันวางมั่วชิงเฉินลงบนที่รกร้าง แล้ววางค่ายกล แล้วถึงได้จากไป
อาการบาดเจ็บของมั่วชิงเฉินยังไม่หายดี จึงทำได้เพียงใช้เวลานี้รักษาอาการบาดเจ็บเท่านั้น
หนึ่งวันต่อมา เซี่ยหรันถึงได้กลับมาด้วยท่าทีจนตรอก และไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องน้ำค้าง มั่วชิงเฉินก็ไม่ได้เอ่ยถึงอย่างรู้ว่าอะไรควรไม่ควร
วันเวลาเช่นนี้ผ่านไปครึ่งเดือน เซี่ยหรันออกไปสี่ห้าครั้ง แม้ว่าการออกไปสองครั้งแรกจะไม่ได้เอ่ยถึงผลลัพธ์ แต่ยามที่คุยเล่นกันมั่วชิงเฉินกลับสัมผัสได้ถึงความอารมณ์ดีของเขา แต่สามครั้งหลังกลับขมวดคิ้วแน่น เผยความไม่ราบรื่นออกมา
และการกลับมาครั้งนี้เซี่ยหรันพลันนั่งลงข้างกายมั่วชิงเฉิน ตะโกนด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด “สหายมั่ว”