“น้องสิบหก เจ้ารีบมาเร็วๆ” แม่นางน้อยในชุดสีชมพู หวีผมทรงดอกตูมกวักมือเรียกมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินโบกมือว่า “พี่สิบสี่ อย่าบอกนะว่าเจ้าจะไปไกวชิงช้าอีก? นั่นไม่ได้หรอกนะ คราวที่แล้วเจ้าโดนเหวี่ยงออกไป ถูกท่านปู่รู้เข้า ตำหนิข้าซะยกใหญ่ อีกอย่าง ข้ายังอยากบำเพ็ญเพียรอีกสักครู่”
ปากนางพูดเช่นนี้ ในใจกลับรู้สึกแปลก เหตุใดพบเจอพี่สิบสี่เช้าเย็นแท้ๆ กลับราวกับไม่ได้พบกันมาห่างกันเป็นชาติก็ไม่ปาน
มั่วหนิงโหรวย่นปาก ยื่นมือเล็กๆ ขาวอมชมพูเขย่ามั่วชิงเฉินอย่างออกแรงว่า “น้องสิบหก น้องสิบหก ไปน่ะ ไปน่ะ…”
มั่วชิงเฉินถูกเขย่าจนไม่มีทางเลือก โยนความรู้สึกไร้สาระนั้นทิ้งไป โอดครวญว่า “ก็ได้ เพียงแต่ครั้งนี้เจ้าต้องระวังหน่อย ข้าจะได้ไม่ต้องโดนด่าไปด้วย”
“รู้แล้วล่ะ น้องสิบหก เจ้าอายุน้อยกว่าข้าแท้ๆ เหตุใดถึงเหมือนยายแก่เลย ท่านแม่บอกว่า เด็กผู้หญิง ก็ควรมีลักษณะของเด็กผู้หญิง” มั่วหนิงโหรวพูดพลางดึงมั่วชิงเฉินเดินไปข้างนอก
ยามนี้เองคนคนหนึ่งบุกเข้ามาอย่างรีบร้อน ตะโกนว่า “พี่สิบสี่ ชิงเฉิน เหตุใดพวกเจ้ายังอยู่ที่นี่อีก ลืมแล้วหรือว่าวันนี้เป็นวันอะไร?”
ความรู้สึกแปลกเช่นนั้นมาอีกแล้ว มั่วชิงเฉินรู้สึกแสบเบ้าตา จ้องหู่โถวเขม็ง
หู่โถวยื่นมือเขกมะเหงกมั่วชิงเฉินทีหนึ่ง “เจ้าโง่ไปแล้วเหรอ วันนี้เป็นวันแต่งงานของท่านอาสิบสามและท่านพี่เชียนซู่ไงล่ะ รีบไปเร็วเข้า อีกสักครู่ก็ไม่ได้เห็นความครึกครื้นแล้ว พวกเจ้าเด็กผู้หญิงช่างอืดอาดยืดยาด”
มั่วหนิงโหรวนี่ถึงมองดูเสื้อผ้าของตนอย่างลนลาน แล้วล้วงกระจกบานเล็กออกมาส่องอีก พบว่าทุกอย่างเหมาะสมถึงได้โล่งอก แล้วลากมั่วชิงเฉินพูดกับหู่โถวว่า “ไปเดี๋ยวนี้แหละ”
มั่วชิงเฉินเหลือบมองเสื้อผ้าของตนปราดหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว ทันใดนั้นความคิดหนึ่งแวบเข้ามา เหตุใดที่ตนใส่ไม่ใช่เสื้อสีแดงล่ะ?
ยังไม่ทันได้คิดมาก ทั้งสองคนก็ถูกหู่โถวลากวิ่งออกไปแล้ว
ทั้งสามคนวิ่งทะยานไปถึงโถงใหญ่ เห็นคู่บ่าวสาวในชุดสีแดงเข้มกำลังไหว้ฟ้าดินแล้ว
“หนึ่งไหว้ฟ้าดิน…”
“สองไหว้บุพการี…”
“สามีภรรยาคำนับกัน…”
ท่ามกลางการขานที่ลากเสียงยาว ฮวาเชียนซู่ที่โดดเด่นดุจเซียนถูกชุดแดงที่ใส่ขับจนมีกลิ่นอายของทางโลกขึ้นมา คำนับกันกับมั่วโยวที่คลุมผ้าคลุมศีรษะสีแดงเข้มลายเป็ดยวนยางเล่นน้ำ ระหว่างที่ผ้าคลุมศีรษะพลิ้วไหว มั่วชิงเฉินที่ตัวเตี้ยได้เห็นรอยยิ้มเป็นประกายสดใสของท่านอาสิบสามใต้ผ้าคลุมศีรษะ
นี่คือไหว้ฟ้าดินกันแล้วหรือ? ดูแล้วช่างดีงามจริงๆ เลย มั่วชิงเฉินทอดถอนใจว่า กลับรู้สึกแปลกอีกแล้ว เหตุใดท่านอาสิบสามและฮวาเชียนซู่ไหว้ฟ้าดินกันที่ตระกูลมั่วล่ะ ควรไหว้ที่ตระกูลฮวามิใช่หรือ?
นางแอบถามหู่โถว หู่โถวค้อนนางควักหนึ่งว่า “พี่เชียนซู่แต่งเข้าบ้านเราไงล่ะ แน่นอนต้องไหว้ฟ้าดินที่บ้านพวกเราสิ โง่”
มั่วหนิงโหรวก็พูดแทรกว่า “ใช่น่ะสิ น้องสิบหกเหตุใดเรื่องนี้เจ้าก็ลืมได้ หึๆ เช่นนี้ถึงดีไงล่ะ ต่อไปท่านอาสิบสามก็ไม่ต้องไปจากบ้านพวกเราแล้ว”
ดื่มสุรามงคลเสร็จ พริบตาเดียวก็ถึงกลางคืน มั่วต้าเหนียนที่ใบหน้าอิ่มเอิบลากมั่วชิงเฉินไปข้างๆ พูดอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “นางหนู กลางคืนอย่าลืมป่วนห้องหอล่ะ”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า “พวกหู่โถวถึงเวลาจะเรียกข้าเองเจ้าค่ะ”
มั่วต้าเหนียนพยักหน้าอย่างพอใจ “เช่นนั้นได้ เจ้าหนุ่มฮวาเชียนซู่นั่นมีของดีไม่น้อย อย่างน้อยเจ้าต้องขอได้ชิ้นหนึ่งถึงจากไป มิเช่นนั้นก็ตื๊ออยู่ตรงนั้น ดูพวกเขาจะห้องหอกันอย่างไร”
“ท่านปู่…” มั่วชิงเฉินต่อว่าอย่างจำใจคำหนึ่ง นี่เหมือนเป็นคำพูดที่ผู้อาวุโสพูดกันเช่นนั้นหรือ โชคดีที่ตนทะลุมิติมา ถึงไม่ได้โตมาอย่างนอกลู่นอกทาง
ทะลุมิติมา? อะไรเรียกว่าทะลุมิติมา? จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็ไม่เข้าใจความหมายของคำคำนี้
มั่วต้าเหนียนลูบศีรษะมั่วชิงเฉินว่า “เด็กโง่ ตระกูลมั่วเราไม่ได้มั่งมีหรอกนะ เนื่องจากกฎระเบียบปู่ก็ช่วยเหลือสงเคราะห์เจ้าอย่างชัดแจ้งไม่ได้ เจ้าไม่ฉวยโอกาสนี้เค้นไอ้หนุ่มนั้นให้ได้ประโยชน์อะไรออกมาบ้าง จะผิดต่อตนเองนะ!”
มั่วชิงเฉินหัวเราะฟู่ทีหนึ่ง “รู้แล้วเจ้าค่ะ ท่านปู่”
ชีวิตต่อจากนั้นสงบและอบอุ่น มั่วชิงเฉินขยันหมั่นเพียรบำเพ็ญเพียรในโถงเฉาหยางทั้งวัน อีกทั้งยังได้รับการชี้แนะอย่างเต็มที่จากมั่วต้าเหนียนเป็นระยะ ยามว่างมีพี่น้องชายหญิงเล่นสนุกด้วยกันอีก พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายปีแล้ว
ในปีนี้ ตระกูลมั่วได้ต้อนรับเรื่องมงคลเรื่องหนึ่ง มั่วโยวให้กำเนิดเด็กรากวิญญาณฟ้าคนหนึ่ง
ข่าวมงคลนี้ทำให้ตระกูลมั่วที่กำลังรุ่งเรืองในหลายปีนี้ยิ่งเพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย[1]เหล่าผู้อาวุโสยิ้มแก้มปริทั้งวัน มั่วต้าเหนียนที่ชื่นชอบสุรายิ่งดื่มจนเมากรึ่มบ่อยๆ
ส่วนมั่วชิงเฉินในที่สุดก็เข้าสู่ระดับหลอมลมปราณขั้นห้าในปีนี้
ภายใต้การชี้แนะของมั่วต้าเหนียน นางลองอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็ทำไฟจริงปลดปล่อยได้สำเร็จ
“นางหนู เจ้าช่างร้ายกาจจริงๆ ไม่เสียทีที่เป็นหลานสาวของข้ามั่วต้าเหนียน เร็วเพียงนี้ก็ชำนาญคาถาไฟจริงปลดปล่อย ไฟจริงของเจ้าสีเหลืองหนาแน่น พอให้เห็นถึงพื้นฐานที่มั่นคง” มั่วต้าเหนียนดีใจจนออกนอกหน้า
มั่วชิงเฉินมองดูไฟจริงสีเหลืองที่เต้นระริกอยู่ที่ปลายนิ้วอย่างงงงัน พึมพำว่า “ไม่ถูก นี่ไม่ถูกต้อง”
“เป็นอันใดหรือ นางหนู?” มั่วต้าเหนียนถามอย่างสงสัย
มั่วชิงเฉินที่เติบใหญ่เป็นสาวน้อยแล้วแหงนหน้าขึ้น ถามอย่างร้อนรนว่า “ท่านปู่ เหตุใดไฟจริงของข้าเป็นสีนี้เจ้าคะ?”
มั่วต้าเหนียนหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา “เจ้าเด็กโง่นี่ ไฟจริงของผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนล้วนเป็นสีนี้ไงล่ะ”
“เป็นเช่นนั้นหรือ?” ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินถามอย่างสงบ
มั่วต้าเหนียนชะงัก “นางหนูนี่หรือว่าเจ้าดีใจที่เข้าสู่ระดับหลอมลมปราณขั้นห้าดีใจจนโง่แล้ว?”
มั่วชิงเฉินไม่พูดอะไร เพียงแต่มองมั่วต้าเหนียนอย่างลึกล้ำปราดหนึ่ง แล้วดูอีกปราดหนึ่ง ผ่านไปเนิ่นนานถึงถอนใจว่า “หากสามารถเป็นคนโง่ที่ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่สังเกตเห็นได้ เป็นเช่นนี้ตลอดไปจะดีเพียงใด”
“นางหนู เจ้าเป็นอันใดหรือ มีคนรังแกเจ้าใช่หรือไม่ เจ้าสิบหรือว่าเจ้าสิบเอ็ด? ปู่ไปหาพวกเขาคิดบัญชี” มั่วต้าเหนียนลูบศีรษะมั่วชิงเฉินอย่างเอ็นดู
มั่วชิงเฉินกอดแขนของมั่วต้าเหนียนไว้อย่างจนด้วยคำพูด พิงศีรษะไว้บนแขนของเขาถูไปถูมา
ทันใดนั้นมั่วต้าเหนียนกระอักเลือดออกมาอึกหนึ่ง ก้มหน้าลงดูกริชที่หน้าอก แล้วมองมั่วชิงเฉินว่า “นางหนู นี่…นี่เพราะเหตุใด…”
มั่วชิงเฉินมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ความเจ็บปวดเอ่อขึ้นในใจ กลับไม่ใช่เพราะเรื่องที่ตนทำ หากแต่เพราะอีกไม่นาน นางก็ไม่ได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยและแก่ชราในความทรงจำนั้นอีกแล้ว ต่อให้เป็นเรื่องไม่จริงก็เถอะ
มั่วต้าเหนียนปิดบาดแผลไว้แล้วค่อยๆ ก้มเอวลงไป มองมั่วชิงเฉินอย่างโศกเศร้าตลอดเวลา พึมพำว่า “นางหนู เพราะเหตุใดเจ้า…ถึงลงมือกับปู่?”
มั่วชิงเฉินหัวเราะนิ่งเรียบว่า “ข้าไม่มีทางลงมือกับท่านปู่หรอก อย่าว่าแต่เจ้าเป็นของปลอม ต่อให้เป็นคนจริงๆ ที่หน้าตาเหมือนท่านปู่อย่างกับแกะ หากคิดร้ายต่อข้าล่ะก็ ข้าก็ไม่ปรานีเด็ดขาด”
พูดถึงตรงนี้เสียงมั่วชิงเฉินค่อยๆ ต่ำลงมา “เพราะว่าหากข้าเป็นอะไรไป วิญญาณท่านปู่ที่อยู่บนสวรรค์ต้องเสียใจแน่ๆ”
สิ้นเสียงคำพูดสุดท้าย ก็เห็นมั่วต้าเหนียนตรงหน้ากลายเป็นแสงดาวระยิบระยับสลายไปในอากาศทันที จากนั้นภาพตรงหน้าบิดเบี้ยวสั่นไหว สุดท้ายดังโครมเสียงหนึ่งแล้วดับสูญไป
มั่วชิงเฉินมองดูรอบๆ ไม่นึกเลยว่าจะยืนอยู่เพียงนอกทางเข้าตำหนักเท่านั้น
กำแพงในตำหนักยังคงสร้างจากผลึกแก้วชิ้นใหญ่ ไม่แตกต่างกับความแวววาวด้านนอก บนกำแพงผลึกแก้วแกะสลักอสูรปีศาจในทะเลไว้นับไม่ถ้วน ที่ที่ตามองไปถึงคือฉากกั้นกระดองเต่าหลังหนึ่ง มองไปด้านข้างอีก จะเห็นมุมสี่ด้านวางต้นไม้หยกปะการังไว้อย่างตามอำเภอใจ ตรงกลางตำหนักเป็นแท่นหยกขาวยาวๆ สองข้างของแท่นหยกขาววางเก้าอี้หยกแสนประณีตไว้ และโคมผลึกแก้วมังกรคู่คาบแก้วที่ห้อยลงมาเสกสรรเป็นภาพทิวทัศน์ที่สวยงามเหมือนเกิดโดยธรรมชาติ
มั่วชิงเฉินสงบจิตใจ นี่ถึงพบว่าพวกคุณชายหกทั้งสามคนก็อยู่ข้างๆ ตนอย่างไม่คาดคิด เพียงแต่พวกเขายืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน บนใบหน้าบ้างกลัวบ้างเคลิบเคลิ้ม บ้างเศร้าโศกบ้างยินดี มีเพียงสิ่งเดียวที่เหมือนกันคือสีหน้าที่ซีดเซียวลงเรื่อยๆ มีหยดน้ำใสเอ่อออกจากหว่างคิ้วไม่ขาดสาย
มั่วชิงเฉินหน้าถอดสีทันที แย่แล้ว สิ่งที่พวกเขาสูญเสียไปเหมือนสายน้ำคือปราณแห่งแก่นแท้!
เช่นนี้แล้ว หากพวกเขาไม่ฟื้นขึ้นมาก่อนปราณแห่งแก่นแท้จะสูญไปหมด เช่นนั้นก็ต้องดับสูญที่นี่แล้ว?
ปราณแห่งแก่นแท้อยู่ใน ไปตามทางปราณ ความชั่วร้ายไม่อาจกล้ำกราย
มั่วชิงเฉินนึกถึงที่ตนสามารถฟื้นจากแดนมายาได้ เพราะต่อให้แดนมายาจะสมจริงเพียงใด อย่างไรเสียก็มีเรื่องที่มันลอกเลียนไม่ได้
เพียงแต่แดนมายานี้น่าจะทำให้เรื่องที่คนโหยหาที่สุดเป็นจริง ใช้ชีวิตในอุดมคติ ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งหากจิตใจความเป็นเต๋าไม่มั่นคง ต่อให้แดนมายานั้นปรากฏช่องโหว่เขาก็ไม่อาจหรือไม่ยอมเห็น
ดูท่าทาง ก็ได้แต่พึ่งตัวพวกเขาเองแล้ว มั่วชิงเฉินถอนใจเบาๆ ทีหนึ่ง นั่งขัดสมาธิกับพื้นรอคอยผลลัพธ์
คุณชายสี่ฟื้นมา มองไปปราดแรกก็เห็นมั่วชิงเฉินนั่งขัดสมาธิปรับลมหายใจ
มั่วชิงเฉินแม้จะกลับมากระปรี้กระเปร่าดังเดิม จิตตระหนักกลับคอยสังเกตความเคลื่อนไหวของทั้งสามคน เมื่อคุณชายสี่ตื่นมานางก็รู้แล้ว จึงลืมตาขึ้นพยักหน้าให้เขา
คุณชายสี่อึ้งเล็กน้อย จากนั้นเดินมาถึงข้างกายมั่วชิงเฉินในไม่กี่ก้าว นั่งขัดสมาธิเช่นกันว่า “แม่นางมั่ว ไม่คิดว่าเจ้าจะฟื้นมาเป็นคนแรก”
มั่วชิงเฉินชี้อีกสองคนว่า “พวกเขายังไม่ฟื้น เป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าชีวิตจะน่าเป็นห่วงกระมัง ข้าเป็นคนวงนอก ไม่รู้ว่าคุณชายสี่มีวิธีอะไรหรือไม่? แดนมายานี้ร้ายกาจมากใช่หรือไม่?”
คุณชายสี่พยักหน้าว่า “ถูกต้อง หากไม่เพราะยี่สิบปีก่อนข้าผ่านมาครั้งหนึ่งแล้ว คิดจะหลุดพ้นจากแดนมายาไม่ง่ายเพียงนี้หรอก สำหรับพวกเขา ก็ได้แต่อาศัยตัวพวกเขาเองแล้ว”
ในใจแอบว่ามุกจื่อหวาสงบจิตที่ให้สิบเจ็ดเม็ดนั้นน่าจะสามารถช่วยเขาได้ ส่วนหวังหก หึๆ ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมเถอะ
ผ่านไปอีกชั่วครู่ ก็ได้ยินเสียงระเบิดแผ่วเบาดังมา จากนั้นคุณชายสิบเจ็ดลืมตาขึ้น หันศีรษะไปมาอย่างงงงวย จากนั้นพูดด้วยความดีใจว่า “พี่สี่!”
คุณชายสี่พยักหน้าให้เขา
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง สีหน้าคุณชายหกซีดเซียวเหมือนกระดาษแล้ว หยดน้ำใสกลางหว่างคิ้วเอ่อออกมาน้อยลงเรื่อยๆ
มั่วชิงเฉินแอบร้อนรนในใจ หรือว่าคุณชายหกจะผ่านด่านนี้ไปไม่ได้?
ในยามนี้เองได้ยินคุณชายหกตะโกนเสียงดังเสียงหนึ่งว่า ‘โหรวเอ๋อร์’ แล้วฟื้นจากแดนมายาพร้อมสีหน้าทุกข์ทรมาน
มั่วชิงเฉินสังเกตได้อย่างเฉียบไว เมื่อคุณชายหกร้อง ‘โหรวเอ๋อร์’ คำนั้นออกมา คุณชายสี่สีหน้าเย็นเยียบลง คุณชายสิบเจ็ดยิ่งยิ้มอย่างประหลาด
คุณชายลืมตาขึ้น เห็นพวกมั่วชิงเฉินสามคนต่างมองตนอยู่ จึงกลับมาใจเย็นดังเดิมยิ้มนิ่งเรียบทีหนึ่ง เพียงแต่ชื่อของคนคนนั้นแวบผ่านในใจ กลับยังเจ็บแปล๊บ แผ่นหลังเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น
“เอาล่ะ น้องหก เจ้าสูญเสียปราณแห่งแก่นแท้มากเกินไป รีบปรับลมหายใจสักครู่เถอะ” คุณชายสี่เอ่ยอย่างสงบ
คุณชายหกก็ไม่พูดมาก ล้วงโอสถออกมาเม็ดหนึ่งกลืนลงไป แล้วหลับตาปรับลมหายใจขึ้นมา
ครึ่งชั่วยามให้หลัง ทั้งสี่คนต่างยืนขึ้น เป็นคุณชายสี่ที่เปิดปากเช่นเดิมว่า “เข้าไปเถอะ ด่านข้างล่างนี้พวกเจ้าสามคนล้วนไม่เคยผ่านมาก่อน ต่างกับแดนมายาที่แท้จริงก่อนหน้านี้ หากแต่เป็นแดนครึ่งจริงครึ่งมายา!”
——
[1] เพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย เป็นสำนวน หมายถึงการประดับตกแต่งสิ่งที่สวยงามอยู่แล้วให้สวยงามยิ่งขึ้นไปอีก ทำให้เรื่องที่ดีอยู่แล้วดียิ่งขึ้น