ทั้งสามคนเดินทางเป็นเวลากว่าครึ่งวันไปยังซากปรักหักพังของสำนักไป่ฮวา เห็นประตูใหญ่ซึ่งถูกระเบิดทำลายอย่างหนักด้วยวิชาเวทก็หยุดดูอยู่สักพัก
“ดูท่าทาง พวกเขาจะจัดการปีศาจภูเขาไปแล้ว” นักพรตจื่อซีใช้จิตสัมผัสสำรวจไปรอบทิศ แล้วชำเลืองไปยังคราบที่เลอะอยู่บนสัตว์อสูรหินที่ตั้งอยู่ “มีคนได้รับบาดเจ็บ”
เซี่ยหรันเดินเข้าไปก่อน “ปีศาจภูเขาเป็นอสูรประหลาดที่ไร้รูปร่าง ไม่ใช่อสูรปีศาจทั่วไป มีคนได้รับบาดเจ็บเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ พวกเรารีบไปกันเถิด”
สำนักไป่ฮวาพังทลาย ด้านในคงไม่ได้มีของวิเศษเพียงแค่หม้อคืนสภาพเพียงอย่างเดียว
พวกนักพรตจื้อจั้นมาก่อนทั้งสามคนไม่ถึงหนึ่งวัน ร่องรอยการต่อสู้ยังคงชัดเจน ทั้งสามคนเดินออกหาตามร่องรอยพลังวิชาวิญญาณที่ทิ้งเอาไว้
ทั้งสามคนเดินทะลุผ่านตำหนักกลางสำนักไป่ฮวา อาคารอื่นที่เหลือต่างสร้างอยู่ข้างคูน้ำที่รายล้อมมัน กระจัดกระจายอยู่กลางป่าเขียวชอุ่ม ดูงดงามราวกับสรวงสวรรค์
เมื่อหมื่นปีก่อน เกิดเหตุบางอย่างขึ้นมากะทันหันจนทำให้อาคารต่างๆ มีสภาพพังถล่มเช่นนี้ ดอกไม้ใบหญ้าขึ้นเขียวชอุ่ม บดบังเศษซากผนังกำแพงเอาไว้
“สะพานขาดหรือ” ทั้งสามคนหยุดอยู่หน้าลำธารดอกไม้แห่งหนึ่ง
ที่เรียกว่าลำธารดอกไม้ นั่นเป็นเพราะว่าต้นน้ำของลำธารแห่งนี้คงจะปลูกต้นท้อจำนวนมาก กลีบดอกท้อสีชมพูแดงขาวจึงลอยตามกระแสน้ำลงมา ซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ จนแทบจะขวางสายน้ำเอาไว้
สะพานไม้แห่งหนึ่งขาดครึ่งอยู่ริมฝั่ง อีกครึ่งหนึ่งจมลงกลางสายน้ำ กลีบดอกท้อไหลตามกระแสน้ำมาแล้วหมุนวนอยู่รอบสะพานขาดไม่ไปไหน บางทีสายน้ำจากลำธารที่หอมละมุนคงจะดำรงอยู่มาเนิ่นนานเกินไป อีกด้านหนึ่งที่จมลงสู่น้ำนั้น ส่วนที่เป็นไม้ถูกย้อมจนเป็นสีแดงเข้ม
สะพานขาดและลำธารดอกไม้ เช่นนี้ดูแล้วงดงามเงียบเหงา อย่างไรก็ไม่เหมือนว่าจะมีอันตราย แต่ทั้งสามคนกลับไม่ได้ประหมาด หยุดอยู่ชั่วครู่ นักพรตจื่อซีก็พูดขึ้นก่อนว่า “ลำธารแห่งนี้ใสจนเห็นก้นลำธาร ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ไม่สามารถบินก็ขวางเอาไว้ไม่ได้ แต่กลับสร้างสะพานขึ้นมา หากไม่ใช่เป็นเพราะว่าสำนักไป่ฮวาพิถีพิถันเรื่องความงาม ก็อาจจะมีปัญหาอื่น พวกเราระวังไว้ก่อนดีกว่า”
พูดเสร็จก็ยกมือขึ้น ผืนไหมสีขาวแถบหนึ่งก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อสีขาวที่หลวมโครก พุ่งตรงไปพันต้นไม้ที่อยู่ตรงข้าม จากนั้นก็บิดเอว แล้วทะยานขึ้นสู่การอากาศ เสื้อผ้าอาภรณ์สีขาวดั่งหิมะสะบัดพลิ้ว เหมือนกับเซียนบัวหิมะ โบยบินไปยังฝั่งตรงข้าม
มั่วชิงเฉินมองแล้วก็แอบยิ้ม ในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่สนิทคุ้นเคย นักพรตจื่อซีดูเหมือนจะเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติของเซียนโบยบินที่สุด แต่ก็ไม่อาจพูดมันออกมาได้ หากพูดมันออกมา ความแตกต่างเช่นนั้นทำให้อยากจะเอาหัวโขกกำแพง
“พวกเจ้าข้ามมาสิ ดูถ้าข้าจะคิดมากเกินไป” นักพรตจื่อซีกวักมือเรียกทั้งสองคน
มั่วชิงเฉินปลายเท้าลงบนพื้น แล้วทะยานบินข้ามไปอย่างไม่ได้อาศัยแรงจากสิ่งใด
เซี่ยหรันไม่ได้มีความสามารถในการบินเหมือนอย่างมั่วชิงเฉิน ไม่ได้มีแถบไหมที่จะอาศัยแรงได้ สมบัติวิเศษเหินหาวไม่อาจใช้ได้จึงได้แต่ก้มหน้าลงมองกลีบดอกท้อที่เรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ อยู่กลางน้ำ สูดหายใจหนึ่งที แล้วใช้ปลายเท้าเหยียบไปบนกลีบดอกท้อ
มีสิ่งให้เพราะอาศัยแรงได้บ้าง ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกขึ้นมาทันที ร่างกายทะยานขึ้นแล้วร่อนลงไปบนกลีบดอกไม้ที่ไหลมาตามน้ำด้านหน้า
แต่ทันทีที่เหยียบลงสีหน้าของเซี่ยหรันก็เปลี่ยนไปทันที สูดหายใจอย่างแรงแล้วกระโดดขึ้นอีกครั้ง กลางฝ่าเท้ารู้สึกถึงความเจ็บปวดทิ่มแทงขึ้นมา
ความรู้สึกเจ็บปวดที่ตรงขึ้นมาฉับพลันทำให้เขารู้สึกหนักอึ้งไปทั้งตัว ตัวเซเอียงจะล้มลงกลางน้ำ เขารีบใช้ดาบนกเป็ดน้ำแทงลงไปกลางดอกท้อดอกหนึ่งกลางน้ำ อาศัยแรงอันน้อยนิดจากปลายดาบที่สัมผัสกับกลีบดอกไม้จนแทบสัมผัสไม่ได้ถึงแรงสะท้อน ยกตัวขึ้น
ทันใดนั้นก็รู้สึกแน่นที่เอว เซี่ยหรันก้มลงมอง ก็เห็นแถบไหมสีขาวแถบพันอยู่บนเอว ตามด้วยแรงดึง แล้วเขาก็ถูกดึงไปร่วงบนอีกฝั่งหนึ่ง
“ขอบคุณนักพรตจื่อซีที่ช่วยพยุง” เซี่ยหรันประสานมือคำนับ
นักพรตจื่อซีเผยอปาก “ไม่รู้จริงๆ ว่าอันดับต้นในการประลองจิงเทียนของสหายเซี่ยได้มาด้วยวิธีใด”
เซี่ยหรันไม่ได้ใส่ใจคำเสียดสีของนักพรตจื่อซี เขานั่งลงกับพื้นแล้วถอดรองเท้า มองไปยังฝ่าเท้าของตน
เมื่อเห็นฝ่าเท้าของตนอย่างชัดเจน ก็รู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาทันที
แมลงประหลาดที่เต็มไปด้วยเกล็ดตัวโปร่งแสงตัวหนึ่งได้มุดเข้าไปกลางฝ่าเท้าเขาแล้วครึ่งตัว เหลือเพียงลำตัวช่วงล่างที่ยังอยู่ภายนอก เป็นเพราะร่างกายที่โปร่งแสง จึงมองเห็นเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของแมลงตัวนั้นอย่างชัดเจน
ร่างกายแมลงพยายามที่จะมุดเข้าไปด้านใน สามารถเห็นเลือดที่ไหลออกจากร่างกายไปพร้อมกับการชอนไชของมัน
นักพรตจื่อซีทันทีที่เห็นเซี่ยหรันถอดรองเท้า กำลังจะหัวเราะเยาะเย้ย เมื่อได้เห็นสภาพของแมลงนั้นก็รู้สึกคลื่นไส้ผะอืดผะอมขึ้นมา รีบหันหน้าหนีโดยพลัน
ปลายนิ้วของเซี่ยหรันรวบรวมปราณสีดำ แล้วกดลงไปบนจุดชีพจรสองสามแห่งบนฝ่าเท้าอย่างรวดเร็ว ปราณสีดำแล่นผ่านเส้นเลือดบนฝ่าเท้าไปรวมกันอยู่บริเวณที่แมลงมุดเข้าไป ในขณะที่กดอยู่ก็เห็นเส้นเลือดปูดขึ้นเป็นสีดำ ทันใดนั้นก็น้ำสีดำทะลักพ่นออกมา แมลงตัวนั้นถูกซัดออกมา ร่วงลงบนพื้นเสียง แปะ ถูกกัดกร่อนด้วยปราณมารกลายเป็นกองหนังชั้นบางๆ อยู่บนพื้นอย่างรวดเร็ว
“เสียมารยาทแล้ว” เซี่ยหรันสวมรองเท้าแล้วยืนขึ้น ผงกศีรษะเบาๆ ไปยังพวกมั่วชิงเฉิน แล้วเดินหน้าไป
“ศิษย์พี่จื่อซี ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม” มั่วชิงเฉินเห็นสีหน้านักพรตจื่อซีดูไม่ดี จึงกุมมือนาง
นักพรตจื่อซีเดินไปพลางพูดไปพลาง “ไม่เป็นไร ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ ก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา”
หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่ลำธารดอกไม้ ทั้งสามคนก็เพิ่มความระมัดระวัง ขอให้พบสถานที่ซึ่งดูสงบนิ่งไม่มีความผิดปกติก็ยังระวังตัว
เดินไปถึงด้านหน้าผาสูงแห่งหนึ่ง สัมผัสไม่ได้ถึงกลิ่นอายคลื่นพลังของวิชาเวทอีก
หน้าผาที่อยู่ด้านหน้ากว้างถึงสิบจั้งได้ โน้มตัวมองลงไป คลื่นหมอกที่พวยพุ่งขึ้นมาบดบังวิสัยทัศน์ มองเห็นสภาพด้านล่างได้ไม่ชัดเจน
“พวกเขาไปอีกฝั่ง หรือว่าลงไปกันนะ” นักพรตจื่อซีใช้จิตสัมผัสสำรวจ แต่ก็ถูกคลื่นหมอกที่ลอยวนสะท้อนออกมา
มั่วชิงเฉินปล่อยจิตสัมผัสออกไปสองดวง กลายเป็นริ้วเรียวบางราวกับเส้นผมพุ่งออกไปสองทิศทาง ผ่านไปชั่วครู่ก็เรียกกลับมา นางชี้ไปด้านล่างแล้วพูดว่า “ด้านล่างมีความเคลื่อนไหว”
เพราะใช้สมบัติวิเศษเหินหาวไม่ได้ มั่วชิงเฉินจึงจูงมือนักพรตจื่อซีแล้วลอยลงไปด้านล่างช้าๆ เซี่ยหรันเม้มมุมปาก มือทั้งสองกุมดาบข้างละด้าน สลับกันแทงลงบนหน้าผาไต่ลงไป ความเร็วช้าอย่างมาก
นักพรตจื่อซีถึงแม้จะไม่รู้ว่าระหว่างทั้งสองเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รู้สึกได้ว่ามั่วชิงเฉินดูเย็นชากับเซี่ยหรัน เห็นเซี่ยหรันรีบตามลงมา ก็โค้งมุมปากขึ้นยิ้ม “อยู่ที่ดาวดวงน้อยสองสามปีไม่เพียงแต่ระดับบำเพ็ญเพียรสูงขึ้น แม้แต่ร่างกายของทุกคนก็แข็งแรงขึ้นไม่น้อย”
“อืม” มั่วชิงเฉินไม่มีอารมณ์จะพูดต่อ สูดหายใจเข้าลึกหนึ่งทีแล้วเร่งความเร็วร่อนลงสู่ด้านล่าง
เพราะได้กินผลตัวเบานางจึงสามารถบินกลางอากาศได้ แต่ก็มีจุดอ่อนอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือความเร็วช้า และไม่อาจใช้พลังวิญญาณเพื่อเร่งความเร็วได้
เมื่อทั้งสามคนลงมาถึงตีนผาตามกันติดๆ ก็สามารถสัมผัสได้ถึงกระแสวิญญาณอันแรงกล้าแผ่มาจากที่ไม่ไกลจากที่นั่น พอเร่งความเร็วตามไปยังที่แห่งนั้น ก็พบกับถ้ำแห่งหนึ่ง ด้านบนของปากถ้ำมีอักษรสีทองสลักไว้ว่า “ผาซือกั้ว”
ไม่รู้ด้วยเหตุใด ความคิดอย่างหนึ่งก็ผุดขึ้นกลางใจของคนทั้งสามพร้อมกัน ว่าที่แห่งนี้ดู้หมือนจะไม่เข้ากับสำนักไป่ฮวาที่ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับดอกไม้
ความคิดนี้เพียงเกิดขึ้นแล้วผ่านไป ครั้นแล้วก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากด้านใน ทั้งสามคนจึงเดินเข้าไปในถ้ำอย่างระมัดระวัง
ทันทีที่เข้าไป มั่วชิงเฉินก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกอย่างเห็นได้ชัดภายในถ้ำ พิษไอเย็นที่อยู่ในร่างกายทันใดนั้นก็ถูกกระตุ้นให้ออกฤทธิ์ขึ้นมา
นางเคลื่อนย้ายพลังวิญญาณสะกดพิษไอเย็นลงไป พลางเดินสำรวจเข้าไปด้านใน
ที่แห่งนี้เห็นได้ชัดว่าถูกขุดเจาะโดยมนุษย์ ผนังหินเรียบเนียน วาดประดับด้วยดอกไม้ประหลาดนานาพันธุ์ ทุกๆ สองสามจั้งจะมีมุกเรืองแสงเม็ดหนึ่งฝังเอาไว้
มองเพียงปราดเดียว มั่วชิงเฉินก็พบว่ามุกเรืองแสงนี้คือของชั้นดี ผ่านมากว่าหมื่นปียังคงส่องสว่างเหมือนแรกเริ่ม
นักพรตจื่อซีทำเสียงจุปาก “ไว้พวกเราออกไป ขุดเอามาได้สักเม็ดก็นับว่าไม่เสียเที่ยว”
ทั้งสามคนเดินไปจนสุดทาง ก็พบประตูหินที่ปิดสนิทบานหนึ่ง คลื่นพลังก่อนหน้านั้นแผ่ออกมาจากด้านในประตูหินบานนี้
เซี่ยหรันยื่นมือออกไปผลัก ก็พบว่าประตูไม่เคลื่อนไหวแม้สักนิด
“ถอยไป ข้าเอง” มั่วชิงเฉินเดินเข้าไปด้านหน้า แล้วกระโดดใช้เท้าเตะไปที่ประตูหินโดยไม่เหลียวมองเซี่ยหรัน
ได้ยินเพียงเสียงดังโครม บนประตูแตกเป็นหลุมรูปรอยเท้า รอยร้าวแตกเป็นทางรอบหลุม
ในขณะที่ทั้งสองคนมองตาค้าง มั่วชิงเฉินก็ยกเท้าขวาถีบไปที่ประตูหินอีกครั้ง
เศษหินกระเด็นไปรอบทิศ ประตูหินทั้งบานกลายเป็นกองหินไป
คนที่อยู่ด้านในได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็หันมา บนใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ “สหายทั้งสามมาแล้ว เร็วเข้า รีบมาช่วยกันเร็ว!”
ทันทีที่ประตูหินทลายลง ไอเย็นเยือกก็ปะทะเข้ามาจากด้านในจนมั่วชิงเฉินถึงกับล้ม นางตั้งหลักมั่นคงแล้วกระโดดเข้าไป ก็พบว่าผู้คนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด
เป้าหมายที่พวกเขากำลังเข่นฆ่า คือลูกไฟสีเขียวที่มีหางหลายลูก
“นี่มันอะไรกัน” นักพรตจื่อซีแทงหอกสีเขียวครามใส่ดวงไฟสีเขียวลูกหนึ่งจนแตกสลาย แล้วถามขึ้นอย่างร้อนใจ
นักพรตปี้เหลยยกมือขึ้น สายฟ้าสีม่วงลูกหนึ่งก็ม้วนตัวร่วงลงมา ลูกไฟสีเขียวที่ถูกโจมตีก็กลายเป็นควันในพริบตา “เป็นไฟอาฆาตที่ก่อตัวขึ้นมาจากความแค้น พวกเจ้าระวัง หากสัมผัสถูกมันเข้าได้ลำบากแน่”
พูดเสร็จใช้สายฟ้าสีม่วงสองสามสายฟาดไป กวาดราบไปเป็นแถบ “ไปอาฆาตพวกนี้ไม่ได้รับมือยาก แต่จำนวนมันมากเกินไป”
“ไฟอาฆาตหรือ” เซี่ยหรันและนักพรตจื่อซีกระโดดเข้าสู่การต่อสู้ มั่วชิงเฉินกลับหลบลูกไฟสีเขียวไปด้านข้างพลางพูดขึ้นพึมพำ
ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงรีบใช้จิตสัมผัสเรียกหมาป่าน้อยที่หลับไหลอยู่ในถุงอสูรวิญญาณออกมา “หมาป่าน้อย เจ้าตื่นขึ้นมาได้ไหม”
หมาป่าน้อยที่หลับไหลมาโดยตลอดหลังจากได้กินไข่นกของนกยักษ์ไปแล้วก็ลืมตาขึ้น แววตาเป็นประกาย ไม่ได้ดูงัวเงียเหมือนเพิ่งตื่นแม้แต่น้อย “นายท่าน เรียกข้าหรือ”
มั่วชิงเฉินอึ้ง น้ำเสียงของหมาป่าน้อยเปลี่ยนจากเสียงของวัยรุ่นมาเป็นเสียงทุ้มต่ำแบบผู้ใหญ่ เมื่อคิดแล้ว ก็พบว่ามันได้เลื่อนระดับหกแล้ว
ความเร็วในการเลื่อนระดับเช่นนี้ เร็วยิ่งกว่าอีกาไฟและเขาน้อยอย่างมาก!
มั่วชิงเฉินสะกดความรู้สึกประหลาดใจไว้ แล้วพูดขึ้นว่า “หมาป่าน้อย เจ้าสามารถคืนกินความพยาบาทอาฆาตแค้นได้ไม่ใช่หรือ แล้วไฟอาฆาตสามารถกลืนกินได้ไหม”
“ไฟอาฆาตหรือ” หมาป่าน้อยดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้โดยธรรมชาติ ได้ยินดังนั้นน้ำเสียงก็ยินดีขึ้นมา “นายท่าน รีบปล่อยข้าออกไป”
ในขณะที่ผู้คนกำลังต่อสู้ตะลุมบอนอยู่ หางตากวาดมองมั่วชิงเฉินซึ่งยืนอยู่กับที่ไม่ขยับ ในขณะที่รู้สึกแปลกใจทั้งรู้สึกไม่พอใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคำรามเสียงหนึ่งดังขึ้น จากนั้นก็รู้สึกว่าในถ้ำมืดลงชั่ววูบ หมาป่าสีดำเงาตัวหนึ่งปรากฏขึ้น
ทันทีที่หมาป่าน้อยออกมา ก็มองไปยังลูกไปอาฆาตแล้วคำรามขึ้นหนึ่งทีด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็อ้าปาก ราวกับเกิดแรงดึงดูดมหาศาล ลูกไฟอาฆาตจากทั่วทุกทิศถูกดูดเข้ามา
เพียงครู่เดียว เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งต่อสู้พัวพันอยู่กับลูกไฟอาฆาตในตอนแรกก็วางมือ
ผู้คนทั้งหลายหยุดชะงัก แล้วมองไปยังหมาป่าน้อยที่กำลังกลืนกินลูกไฟอาฆาตด้วยความประหลาดใจ
“นี่มัน…” น้ำเสียงสื่ออิ่นสั่นเครือ
มั่วชิงเฉินพูดเสียงเรียบ “อสูรวิญญาณของข้า”
สื่ออิ่นมองไปยังมั่วชิงเฉินด้วยสายตาหวาดกังวลเป็นครั้งแรก แต่ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
ไม่นาน ไฟอาฆาตในถ้ำก็ถูกหมาป่าน้อยดูดเข้าปากจนหมด ท้องของมันป่องขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนกับกินอาหารเข้าไปจำนวนมาก
เรอออกมาหนึ่งที หมาป่าน้อยก็กระโดดไปข้างตัวมั่วชิงเฉินอยากออดอ้อน “นายท่าน ข้าอิ่มแล้ว อยากกลับเข้าไปย่อยหน่อย”
มั่วชิงเฉินกำลังจะเคลื่อนไหว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงประหลาดเสียงหนึ่งแว่วเข้ามา หมาป่าน้อยที่กำลังจะกลับเข้าสู่ถุงอสูรวิญญาณในตอนแรกพลันชูหางขึ้น หันหัวกลับมองไปยังทิศทางที่เสียงนั้นแว่วมา ขนบนตัวของมันลุกชันขึ้นมาทันที