พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่551 หมาป่าน้อยกลืนไฟอาฆาต

 

 

 

ทั้งสามคนเดินทางเป็นเวลากว่าครึ่งวันไปยังซากปรักหักพังของสำนักไป่ฮวา เห็นประตูใหญ่ซึ่งถูกระเบิดทำลายอย่างหนักด้วยวิชาเวทก็หยุดดูอยู่สักพัก   

 

 

“ดูท่าทาง พวกเขาจะจัดการปีศาจภูเขาไปแล้ว” นักพรตจื่อซีใช้จิตสัมผัสสำรวจไปรอบทิศ แล้วชำเลืองไปยังคราบที่เลอะอยู่บนสัตว์อสูรหินที่ตั้งอยู่ “มีคนได้รับบาดเจ็บ”  

 

 

เซี่ยหรันเดินเข้าไปก่อน “ปีศาจภูเขาเป็นอสูรประหลาดที่ไร้รูปร่าง ไม่ใช่อสูรปีศาจทั่วไป มีคนได้รับบาดเจ็บเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ พวกเรารีบไปกันเถิด”  

 

 

สำนักไป่ฮวาพังทลาย ด้านในคงไม่ได้มีของวิเศษเพียงแค่หม้อคืนสภาพเพียงอย่างเดียว   

 

 

พวกนักพรตจื้อจั้นมาก่อนทั้งสามคนไม่ถึงหนึ่งวัน ร่องรอยการต่อสู้ยังคงชัดเจน ทั้งสามคนเดินออกหาตามร่องรอยพลังวิชาวิญญาณที่ทิ้งเอาไว้  

 

 

ทั้งสามคนเดินทะลุผ่านตำหนักกลางสำนักไป่ฮวา อาคารอื่นที่เหลือต่างสร้างอยู่ข้างคูน้ำที่รายล้อมมัน กระจัดกระจายอยู่กลางป่าเขียวชอุ่ม ดูงดงามราวกับสรวงสวรรค์   

 

 

เมื่อหมื่นปีก่อน เกิดเหตุบางอย่างขึ้นมากะทันหันจนทำให้อาคารต่างๆ มีสภาพพังถล่มเช่นนี้ ดอกไม้ใบหญ้าขึ้นเขียวชอุ่ม บดบังเศษซากผนังกำแพงเอาไว้  

 

 

“สะพานขาดหรือ” ทั้งสามคนหยุดอยู่หน้าลำธารดอกไม้แห่งหนึ่ง  

 

 

ที่เรียกว่าลำธารดอกไม้ นั่นเป็นเพราะว่าต้นน้ำของลำธารแห่งนี้คงจะปลูกต้นท้อจำนวนมาก กลีบดอกท้อสีชมพูแดงขาวจึงลอยตามกระแสน้ำลงมา ซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ จนแทบจะขวางสายน้ำเอาไว้  

 

 

สะพานไม้แห่งหนึ่งขาดครึ่งอยู่ริมฝั่ง อีกครึ่งหนึ่งจมลงกลางสายน้ำ กลีบดอกท้อไหลตามกระแสน้ำมาแล้วหมุนวนอยู่รอบสะพานขาดไม่ไปไหน บางทีสายน้ำจากลำธารที่หอมละมุนคงจะดำรงอยู่มาเนิ่นนานเกินไป อีกด้านหนึ่งที่จมลงสู่น้ำนั้น ส่วนที่เป็นไม้ถูกย้อมจนเป็นสีแดงเข้ม  

 

 

สะพานขาดและลำธารดอกไม้ เช่นนี้ดูแล้วงดงามเงียบเหงา อย่างไรก็ไม่เหมือนว่าจะมีอันตราย แต่ทั้งสามคนกลับไม่ได้ประหมาด หยุดอยู่ชั่วครู่ นักพรตจื่อซีก็พูดขึ้นก่อนว่า “ลำธารแห่งนี้ใสจนเห็นก้นลำธาร ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ไม่สามารถบินก็ขวางเอาไว้ไม่ได้ แต่กลับสร้างสะพานขึ้นมา หากไม่ใช่เป็นเพราะว่าสำนักไป่ฮวาพิถีพิถันเรื่องความงาม ก็อาจจะมีปัญหาอื่น พวกเราระวังไว้ก่อนดีกว่า”  

 

 

พูดเสร็จก็ยกมือขึ้น ผืนไหมสีขาวแถบหนึ่งก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อสีขาวที่หลวมโครก พุ่งตรงไปพันต้นไม้ที่อยู่ตรงข้าม จากนั้นก็บิดเอว แล้วทะยานขึ้นสู่การอากาศ เสื้อผ้าอาภรณ์สีขาวดั่งหิมะสะบัดพลิ้ว เหมือนกับเซียนบัวหิมะ โบยบินไปยังฝั่งตรงข้าม   

 

 

มั่วชิงเฉินมองแล้วก็แอบยิ้ม ในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่สนิทคุ้นเคย นักพรตจื่อซีดูเหมือนจะเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติของเซียนโบยบินที่สุด แต่ก็ไม่อาจพูดมันออกมาได้ หากพูดมันออกมา ความแตกต่างเช่นนั้นทำให้อยากจะเอาหัวโขกกำแพง   

 

 

“พวกเจ้าข้ามมาสิ ดูถ้าข้าจะคิดมากเกินไป” นักพรตจื่อซีกวักมือเรียกทั้งสองคน   

 

 

มั่วชิงเฉินปลายเท้าลงบนพื้น แล้วทะยานบินข้ามไปอย่างไม่ได้อาศัยแรงจากสิ่งใด  

 

 

เซี่ยหรันไม่ได้มีความสามารถในการบินเหมือนอย่างมั่วชิงเฉิน ไม่ได้มีแถบไหมที่จะอาศัยแรงได้ สมบัติวิเศษเหินหาวไม่อาจใช้ได้จึงได้แต่ก้มหน้าลงมองกลีบดอกท้อที่เรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ อยู่กลางน้ำ สูดหายใจหนึ่งที แล้วใช้ปลายเท้าเหยียบไปบนกลีบดอกท้อ  

 

 

มีสิ่งให้เพราะอาศัยแรงได้บ้าง ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกขึ้นมาทันที ร่างกายทะยานขึ้นแล้วร่อนลงไปบนกลีบดอกไม้ที่ไหลมาตามน้ำด้านหน้า  

 

 

แต่ทันทีที่เหยียบลงสีหน้าของเซี่ยหรันก็เปลี่ยนไปทันที สูดหายใจอย่างแรงแล้วกระโดดขึ้นอีกครั้ง กลางฝ่าเท้ารู้สึกถึงความเจ็บปวดทิ่มแทงขึ้นมา   

 

 

ความรู้สึกเจ็บปวดที่ตรงขึ้นมาฉับพลันทำให้เขารู้สึกหนักอึ้งไปทั้งตัว ตัวเซเอียงจะล้มลงกลางน้ำ เขารีบใช้ดาบนกเป็ดน้ำแทงลงไปกลางดอกท้อดอกหนึ่งกลางน้ำ อาศัยแรงอันน้อยนิดจากปลายดาบที่สัมผัสกับกลีบดอกไม้จนแทบสัมผัสไม่ได้ถึงแรงสะท้อน ยกตัวขึ้น  

 

 

ทันใดนั้นก็รู้สึกแน่นที่เอว เซี่ยหรันก้มลงมอง ก็เห็นแถบไหมสีขาวแถบพันอยู่บนเอว ตามด้วยแรงดึง แล้วเขาก็ถูกดึงไปร่วงบนอีกฝั่งหนึ่ง   

 

 

“ขอบคุณนักพรตจื่อซีที่ช่วยพยุง” เซี่ยหรันประสานมือคำนับ  

 

 

นักพรตจื่อซีเผยอปาก “ไม่รู้จริงๆ ว่าอันดับต้นในการประลองจิงเทียนของสหายเซี่ยได้มาด้วยวิธีใด”  

 

 

เซี่ยหรันไม่ได้ใส่ใจคำเสียดสีของนักพรตจื่อซี เขานั่งลงกับพื้นแล้วถอดรองเท้า มองไปยังฝ่าเท้าของตน  

 

 

เมื่อเห็นฝ่าเท้าของตนอย่างชัดเจน ก็รู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาทันที   

 

 

แมลงประหลาดที่เต็มไปด้วยเกล็ดตัวโปร่งแสงตัวหนึ่งได้มุดเข้าไปกลางฝ่าเท้าเขาแล้วครึ่งตัว เหลือเพียงลำตัวช่วงล่างที่ยังอยู่ภายนอก เป็นเพราะร่างกายที่โปร่งแสง จึงมองเห็นเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของแมลงตัวนั้นอย่างชัดเจน   

 

 

ร่างกายแมลงพยายามที่จะมุดเข้าไปด้านใน สามารถเห็นเลือดที่ไหลออกจากร่างกายไปพร้อมกับการชอนไชของมัน  

 

 

นักพรตจื่อซีทันทีที่เห็นเซี่ยหรันถอดรองเท้า กำลังจะหัวเราะเยาะเย้ย เมื่อได้เห็นสภาพของแมลงนั้นก็รู้สึกคลื่นไส้ผะอืดผะอมขึ้นมา รีบหันหน้าหนีโดยพลัน  

 

 

ปลายนิ้วของเซี่ยหรันรวบรวมปราณสีดำ แล้วกดลงไปบนจุดชีพจรสองสามแห่งบนฝ่าเท้าอย่างรวดเร็ว ปราณสีดำแล่นผ่านเส้นเลือดบนฝ่าเท้าไปรวมกันอยู่บริเวณที่แมลงมุดเข้าไป ในขณะที่กดอยู่ก็เห็นเส้นเลือดปูดขึ้นเป็นสีดำ ทันใดนั้นก็น้ำสีดำทะลักพ่นออกมา แมลงตัวนั้นถูกซัดออกมา ร่วงลงบนพื้นเสียง  แปะ  ถูกกัดกร่อนด้วยปราณมารกลายเป็นกองหนังชั้นบางๆ อยู่บนพื้นอย่างรวดเร็ว  

 

 

“เสียมารยาทแล้ว” เซี่ยหรันสวมรองเท้าแล้วยืนขึ้น ผงกศีรษะเบาๆ ไปยังพวกมั่วชิงเฉิน แล้วเดินหน้าไป  

 

 

“ศิษย์พี่จื่อซี ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม” มั่วชิงเฉินเห็นสีหน้านักพรตจื่อซีดูไม่ดี จึงกุมมือนาง   

 

 

นักพรตจื่อซีเดินไปพลางพูดไปพลาง “ไม่เป็นไร ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ ก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา”  

 

 

หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่ลำธารดอกไม้ ทั้งสามคนก็เพิ่มความระมัดระวัง ขอให้พบสถานที่ซึ่งดูสงบนิ่งไม่มีความผิดปกติก็ยังระวังตัว  

 

 

เดินไปถึงด้านหน้าผาสูงแห่งหนึ่ง สัมผัสไม่ได้ถึงกลิ่นอายคลื่นพลังของวิชาเวทอีก  

 

 

หน้าผาที่อยู่ด้านหน้ากว้างถึงสิบจั้งได้ โน้มตัวมองลงไป คลื่นหมอกที่พวยพุ่งขึ้นมาบดบังวิสัยทัศน์ มองเห็นสภาพด้านล่างได้ไม่ชัดเจน   

 

 

“พวกเขาไปอีกฝั่ง หรือว่าลงไปกันนะ” นักพรตจื่อซีใช้จิตสัมผัสสำรวจ แต่ก็ถูกคลื่นหมอกที่ลอยวนสะท้อนออกมา   

 

 

มั่วชิงเฉินปล่อยจิตสัมผัสออกไปสองดวง กลายเป็นริ้วเรียวบางราวกับเส้นผมพุ่งออกไปสองทิศทาง ผ่านไปชั่วครู่ก็เรียกกลับมา นางชี้ไปด้านล่างแล้วพูดว่า “ด้านล่างมีความเคลื่อนไหว”  

 

 

เพราะใช้สมบัติวิเศษเหินหาวไม่ได้ มั่วชิงเฉินจึงจูงมือนักพรตจื่อซีแล้วลอยลงไปด้านล่างช้าๆ เซี่ยหรันเม้มมุมปาก มือทั้งสองกุมดาบข้างละด้าน สลับกันแทงลงบนหน้าผาไต่ลงไป ความเร็วช้าอย่างมาก   

 

 

นักพรตจื่อซีถึงแม้จะไม่รู้ว่าระหว่างทั้งสองเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รู้สึกได้ว่ามั่วชิงเฉินดูเย็นชากับเซี่ยหรัน เห็นเซี่ยหรันรีบตามลงมา ก็โค้งมุมปากขึ้นยิ้ม “อยู่ที่ดาวดวงน้อยสองสามปีไม่เพียงแต่ระดับบำเพ็ญเพียรสูงขึ้น แม้แต่ร่างกายของทุกคนก็แข็งแรงขึ้นไม่น้อย”  

 

 

“อืม” มั่วชิงเฉินไม่มีอารมณ์จะพูดต่อ สูดหายใจเข้าลึกหนึ่งทีแล้วเร่งความเร็วร่อนลงสู่ด้านล่าง  

 

 

เพราะได้กินผลตัวเบานางจึงสามารถบินกลางอากาศได้ แต่ก็มีจุดอ่อนอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือความเร็วช้า และไม่อาจใช้พลังวิญญาณเพื่อเร่งความเร็วได้  

 

 

เมื่อทั้งสามคนลงมาถึงตีนผาตามกันติดๆ ก็สามารถสัมผัสได้ถึงกระแสวิญญาณอันแรงกล้าแผ่มาจากที่ไม่ไกลจากที่นั่น พอเร่งความเร็วตามไปยังที่แห่งนั้น ก็พบกับถ้ำแห่งหนึ่ง ด้านบนของปากถ้ำมีอักษรสีทองสลักไว้ว่า “ผาซือกั้ว”   

 

 

ไม่รู้ด้วยเหตุใด ความคิดอย่างหนึ่งก็ผุดขึ้นกลางใจของคนทั้งสามพร้อมกัน ว่าที่แห่งนี้ดู้หมือนจะไม่เข้ากับสำนักไป่ฮวาที่ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับดอกไม้  

 

 

ความคิดนี้เพียงเกิดขึ้นแล้วผ่านไป ครั้นแล้วก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากด้านใน ทั้งสามคนจึงเดินเข้าไปในถ้ำอย่างระมัดระวัง   

 

 

ทันทีที่เข้าไป มั่วชิงเฉินก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกอย่างเห็นได้ชัดภายในถ้ำ พิษไอเย็นที่อยู่ในร่างกายทันใดนั้นก็ถูกกระตุ้นให้ออกฤทธิ์ขึ้นมา  

 

 

นางเคลื่อนย้ายพลังวิญญาณสะกดพิษไอเย็นลงไป พลางเดินสำรวจเข้าไปด้านใน   

 

 

ที่แห่งนี้เห็นได้ชัดว่าถูกขุดเจาะโดยมนุษย์ ผนังหินเรียบเนียน วาดประดับด้วยดอกไม้ประหลาดนานาพันธุ์ ทุกๆ สองสามจั้งจะมีมุกเรืองแสงเม็ดหนึ่งฝังเอาไว้  

 

 

มองเพียงปราดเดียว มั่วชิงเฉินก็พบว่ามุกเรืองแสงนี้คือของชั้นดี ผ่านมากว่าหมื่นปียังคงส่องสว่างเหมือนแรกเริ่ม  

 

 

นักพรตจื่อซีทำเสียงจุปาก “ไว้พวกเราออกไป ขุดเอามาได้สักเม็ดก็นับว่าไม่เสียเที่ยว”  

 

 

ทั้งสามคนเดินไปจนสุดทาง ก็พบประตูหินที่ปิดสนิทบานหนึ่ง คลื่นพลังก่อนหน้านั้นแผ่ออกมาจากด้านในประตูหินบานนี้  

 

 

เซี่ยหรันยื่นมือออกไปผลัก ก็พบว่าประตูไม่เคลื่อนไหวแม้สักนิด  

 

 

“ถอยไป ข้าเอง” มั่วชิงเฉินเดินเข้าไปด้านหน้า แล้วกระโดดใช้เท้าเตะไปที่ประตูหินโดยไม่เหลียวมองเซี่ยหรัน  

 

 

ได้ยินเพียงเสียงดังโครม บนประตูแตกเป็นหลุมรูปรอยเท้า รอยร้าวแตกเป็นทางรอบหลุม  

 

 

ในขณะที่ทั้งสองคนมองตาค้าง มั่วชิงเฉินก็ยกเท้าขวาถีบไปที่ประตูหินอีกครั้ง  

 

 

เศษหินกระเด็นไปรอบทิศ ประตูหินทั้งบานกลายเป็นกองหินไป  

 

 

คนที่อยู่ด้านในได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็หันมา บนใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ “สหายทั้งสามมาแล้ว เร็วเข้า รีบมาช่วยกันเร็ว!”  

 

 

ทันทีที่ประตูหินทลายลง ไอเย็นเยือกก็ปะทะเข้ามาจากด้านในจนมั่วชิงเฉินถึงกับล้ม นางตั้งหลักมั่นคงแล้วกระโดดเข้าไป ก็พบว่าผู้คนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด  

 

 

เป้าหมายที่พวกเขากำลังเข่นฆ่า คือลูกไฟสีเขียวที่มีหางหลายลูก  

 

 

“นี่มันอะไรกัน” นักพรตจื่อซีแทงหอกสีเขียวครามใส่ดวงไฟสีเขียวลูกหนึ่งจนแตกสลาย แล้วถามขึ้นอย่างร้อนใจ  

 

 

นักพรตปี้เหลยยกมือขึ้น สายฟ้าสีม่วงลูกหนึ่งก็ม้วนตัวร่วงลงมา ลูกไฟสีเขียวที่ถูกโจมตีก็กลายเป็นควันในพริบตา “เป็นไฟอาฆาตที่ก่อตัวขึ้นมาจากความแค้น พวกเจ้าระวัง หากสัมผัสถูกมันเข้าได้ลำบากแน่”  

 

 

พูดเสร็จใช้สายฟ้าสีม่วงสองสามสายฟาดไป กวาดราบไปเป็นแถบ “ไปอาฆาตพวกนี้ไม่ได้รับมือยาก แต่จำนวนมันมากเกินไป”  

 

 

“ไฟอาฆาตหรือ” เซี่ยหรันและนักพรตจื่อซีกระโดดเข้าสู่การต่อสู้ มั่วชิงเฉินกลับหลบลูกไฟสีเขียวไปด้านข้างพลางพูดขึ้นพึมพำ  

 

 

ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงรีบใช้จิตสัมผัสเรียกหมาป่าน้อยที่หลับไหลอยู่ในถุงอสูรวิญญาณออกมา “หมาป่าน้อย เจ้าตื่นขึ้นมาได้ไหม”  

 

 

หมาป่าน้อยที่หลับไหลมาโดยตลอดหลังจากได้กินไข่นกของนกยักษ์ไปแล้วก็ลืมตาขึ้น แววตาเป็นประกาย ไม่ได้ดูงัวเงียเหมือนเพิ่งตื่นแม้แต่น้อย “นายท่าน เรียกข้าหรือ”  

 

 

มั่วชิงเฉินอึ้ง น้ำเสียงของหมาป่าน้อยเปลี่ยนจากเสียงของวัยรุ่นมาเป็นเสียงทุ้มต่ำแบบผู้ใหญ่ เมื่อคิดแล้ว ก็พบว่ามันได้เลื่อนระดับหกแล้ว  

 

 

ความเร็วในการเลื่อนระดับเช่นนี้ เร็วยิ่งกว่าอีกาไฟและเขาน้อยอย่างมาก!  

 

 

มั่วชิงเฉินสะกดความรู้สึกประหลาดใจไว้ แล้วพูดขึ้นว่า “หมาป่าน้อย เจ้าสามารถคืนกินความพยาบาทอาฆาตแค้นได้ไม่ใช่หรือ แล้วไฟอาฆาตสามารถกลืนกินได้ไหม”  

 

 

“ไฟอาฆาตหรือ” หมาป่าน้อยดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้โดยธรรมชาติ ได้ยินดังนั้นน้ำเสียงก็ยินดีขึ้นมา “นายท่าน รีบปล่อยข้าออกไป”  

 

 

ในขณะที่ผู้คนกำลังต่อสู้ตะลุมบอนอยู่ หางตากวาดมองมั่วชิงเฉินซึ่งยืนอยู่กับที่ไม่ขยับ ในขณะที่รู้สึกแปลกใจทั้งรู้สึกไม่พอใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคำรามเสียงหนึ่งดังขึ้น จากนั้นก็รู้สึกว่าในถ้ำมืดลงชั่ววูบ หมาป่าสีดำเงาตัวหนึ่งปรากฏขึ้น  

 

 

ทันทีที่หมาป่าน้อยออกมา ก็มองไปยังลูกไปอาฆาตแล้วคำรามขึ้นหนึ่งทีด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็อ้าปาก ราวกับเกิดแรงดึงดูดมหาศาล ลูกไฟอาฆาตจากทั่วทุกทิศถูกดูดเข้ามา   

 

 

เพียงครู่เดียว เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งต่อสู้พัวพันอยู่กับลูกไฟอาฆาตในตอนแรกก็วางมือ  

 

 

ผู้คนทั้งหลายหยุดชะงัก แล้วมองไปยังหมาป่าน้อยที่กำลังกลืนกินลูกไฟอาฆาตด้วยความประหลาดใจ  

 

 

“นี่มัน…” น้ำเสียงสื่ออิ่นสั่นเครือ  

 

 

มั่วชิงเฉินพูดเสียงเรียบ “อสูรวิญญาณของข้า”   

 

 

สื่ออิ่นมองไปยังมั่วชิงเฉินด้วยสายตาหวาดกังวลเป็นครั้งแรก แต่ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก  

 

 

ไม่นาน ไฟอาฆาตในถ้ำก็ถูกหมาป่าน้อยดูดเข้าปากจนหมด ท้องของมันป่องขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนกับกินอาหารเข้าไปจำนวนมาก   

 

 

เรอออกมาหนึ่งที หมาป่าน้อยก็กระโดดไปข้างตัวมั่วชิงเฉินอยากออดอ้อน “นายท่าน ข้าอิ่มแล้ว อยากกลับเข้าไปย่อยหน่อย”  

 

 

มั่วชิงเฉินกำลังจะเคลื่อนไหว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงประหลาดเสียงหนึ่งแว่วเข้ามา หมาป่าน้อยที่กำลังจะกลับเข้าสู่ถุงอสูรวิญญาณในตอนแรกพลันชูหางขึ้น หันหัวกลับมองไปยังทิศทางที่เสียงนั้นแว่วมา ขนบนตัวของมันลุกชันขึ้นมาทันที  

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี
Status: Ongoing
สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset