ห้องพักในสำนักไป่ฮวาไม่นับว่ามาก เพียงแต่สร้างไปตามภูเขาและลำน้ำ จึงกระจัดกระจายไปหน่อย
กลุ่มคนใช้เวลาสองวัน ทำลายค่ายกลมากมาย สังหารปีศาจนับหมื่นนับพัน พูดได้ว่าผ่านความยากลำบากและเสี่ยงอันตรายหลายรูปแบบ ถึงเข้าสู่กรุสมบัติของสำนักไป่ฮวาได้
ขณะมองดูตัวอักษรสามตัว ‘หอหลังเป่า’ แม้ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน แต่กลุ่มคนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น
นักพรตจื้อจั้นสังหารปีศาจดอกไม้ตนหนึ่งอย่างง่ายดาย ใช้ดาบฝันร้ายสีครามเปิดประตูหอหลังเป่า “สหายทุกท่าน เชิญ”
กลุ่มคนรักษาระยะห่างตามความเหมาะสม เดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง
พอก้าวเข้าประตู ก็เห็นทางเดินสายหนึ่ง ไม่รู้ใช้วัสดุอะไรปูพื้น ถึงได้แวววาวจนสะท้อนเห็นเงาคน อีกทั้งยังระบายอากาศที่อบอุ่นออกมา
สุดทางเดินมีทางเลี้ยว หลังจากกลุ่มคนเดินเลี้ยว ก็ต้องหยุดชะงัก ยืนมองประตูไม้สี่บานเรียงรายกันด้วยสายตากระตือรือร้น
ประตูไม้บานแรก สลักรูปเสือขาว เขียนอักษร ‘จู่โจม’ ตัวเดียวไว้บนหน้าผาก
ประตูไม้บานที่สอง สลักรูปเต่าดำ เขียนอักษร ‘ป้องกัน’ ตัวเดียวไว้บนกระดอง
ประตูไม้บานที่สาม สลักรูปหนูแดง เขียนอักษร ‘หลบหนี’ ตัวเดียวไว้บนร่าง
ประตูไม้บานสุดท้าย สลักรูปเถาวัลย์สีเขียว ล้อมรอบอักษร ‘เบ็ดเตล็ด’ ตัวเดียว
“ทุกท่าน เราเข้าประตูบานแรกกันก่อนเถิด” นักพรตจื้อจั้นเสนอ
นักพรตจื่อซีไม่เห็นด้วย “ภาระกิจแรกของเราคือตามหาหม้อคืนสภาพ ที่ข้าเคยเห็นมา หม้อคืนสภาพ น่าจะอยู่ในประตูที่สี่”
โจวจงอวี่พูดอย่างไม่ยี่หระ “ไม่เห็นมีอะไรต้องโต้เถียงกันเลย อย่างไรของก็อยู่ในนี้ ไม่หนีไปไหนหรอก ประตูพวกนี้ เราต้องเข้าให้ครบทุกบานอยู่แล้ว”
คำพูดนี้มีเหตุผลมาก กลุ่มคนจึงบรรลุข้อตกลงว่า เข้าประตูบานที่สี่ก่อน
นักพรตจื่อซีอยู่ใกล้ประตูบานที่สี่มากสุด จึงยื่นมือออกไปผลัก ประตูไม้ค่อยๆ เปิดออก เขาจึงเดินเข้าไป
หลายคนเดินตาม
คิดไม่ถึงว่า หลังจากก้าวผ่านประตูบานที่สี่แล้ว กำลังจะก้าวเข้าด้านใน มั่วชิงเฉินกลับรู้สึกว่ามีพลังงานไร้รูปสายหนึ่งกั้นขวางไว้
พอเห็นมั่วชิงเฉินถอยหลังมา เวยเซิงลิ่วที่เดินตามอยู่ด้านหลังก็ถามอย่างไม่เข้าใจ “สหายมั่ว ทำไมถึงถอยออกมาเล่า”
“ข้าไม่ได้อยากถอย แต่เข้าไปไม่ได้” มั่วชิงเฉินหลีกทางให้ “สหายเวยเซิง มิสู้ลองดูเองสิ”
“เข้าไปไม่ได้หรือ แล้วทำไมสี่คนนั่นเข้าไปได้ล่ะ” เวยเซิงลิ่วเกาศีรษะ ก่อนก้าวยาวๆ เข้าไป และแล้วก็ถูกพลังงานไร้รูปสกัดกลับมา
“เข้าไปไม่ได้จริงๆ ด้วย” เวยเซิงลิ่วอารมณ์ขึ้น ถูมือไปมา แล้วถีบเข้าที่ประตูไม้ทีหนึ่ง
“โอ๊ย!” เวยเซิงลิ่วจับเท้าตนเองพลางกระโดดไม่หยุด แล้วจึงข่มกลั้นความเจ็บปวด ถอดรองเท้าออก พบว่าฝ่าเท้าบวมราวกับหมั่นโถวอย่างไรอย่างนั้น
“ข้าไม่เชื่อสิ่งบัดซบนี้หรอก!” เวยเซิงลิ่วหันกลับ ยกหางขึ้น แต่แล้วก็พลันคำราม “ใครดึงหางข้า!”
“ข้าเอง!” ซื่อเหนียงปรากฏตัวอย่างเคร่งขรึมตรงหน้าเวยเซิงลิ่ว ในมือยังจับหางที่มีแต่ขนของเวยซิงลิ่วอยู่ พลางพูดเย็นชา “ทำไม มีปัญหาหรือไร”
เวยซิงลิ่วพูดหน้าเศร้า “ข้า ข้าไหนเลยจะกล้า”
พอเห็นเวยเซิงลิ่วก้มหน้าลงอย่างเศร้าสลด แบบลูกสะใภ้คนเล็กที่ถูกกลั่นแกล้ง มั่วชิงเฉินก็แอบแปลกใจในความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง
ซื่อเหนียงใช้นิ้วจิ้มไปที่หน้าผากเวยเซิงลิ่ว “รู้จักไม่กล้าก็ดีแล้ว เจ้าทำไมยังบุ่มบ่ามเหมือนเดิม ถ้าหางนี่ฟาดลงไปละก็ เจ้าก็อย่าคิดเลยว่าจะมีหางอีก”
พอเห็นเวยเซิงลิ่วทำท่าไม่เชื่อ ก็ละเหี่ยใจ ตอนนั้นทำไมตนถึงทนคำวิงวอนไม่ได้ รับปากว่าจะดูแลเจ้าตัวโง่งมนี้หนอ หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ!
ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ลองเดินเข้าไปดู ทุกคนถูกขวางให้กลับออกมาหมดโดยไม่ยกเว้น
“เห็นทีประตูนี้เข้าไม่ได้แล้วล่ะ มิสู้ลองประตูอื่นดีกว่า” โจวจงอวี่ว่าแล้วก็หันเดินไปยังประตูที่อยู่ข้างๆ
“รอเดี๋ยว” มั่วชิงเฉินตะโกนเรียก
โจวจงอวี่หันมามองมั่วชิงเฉิน “ทำไมหรือ สหายมั่ว”
มั่วชิงเฉินมองไปยังกลุ่มคน พลางว่า “สหายทุกท่าน ข้าน้อยเดาว่า คนที่สามารถเข้าไปในประตูไม้ทั้งสี่ได้มีจำนวนจำกัด”
คำพูดนี้พอออกจากปาก กลุ่มคนก็หน้าเปลี่ยนสี
ผู้ที่เพิ่งเข้าไปในประตูบานที่สี่ มีทั้งสิ้นสี่คน ถ้าจำกัดจำนวนคน ให้เข้าได้ประตูละสี่คนแล้วละก็ คนที่เข้าได้ก็มีแค่สิบหกคนเท่านั้น แต่พวกเขามีกันสิบเก้าคน
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ที่เหลืออีกสามคนได้แต่รออยู่ด้านนอก
อย่าพูดว่าไม่มีโอกาสเข้าไปเลย ต่อให้สามารถเข้าไปกันทั้งหมด สมบัติในประตูทั้งสี่ที่ได้แก่ จู่โจม ป้องกัน หลบหนี เบ็ดเตล็ด ต่างชนิดกัน ใครๆ ก็อยากเข้าไปในประตูที่สามารถเลื่อนระดับความสามารถของตนได้มากสุดทั้งนั้น อย่างประตูที่มีคำว่า ‘จู่โจม’
ทุกคนก็คิดเรื่องเหล่านี้ได้ จึงเกิดบรรยากาศโต้เถียงเล็กๆ ขึ้นมา
กระทั่งความรู้สึกหลังจากที่ตนรู้เรื่องภัยพิบัติแล้วร่วมแรงร่วมใจกัน ทั้งหมดนี้กำลังจะสลายไปอย่างเงียบๆ
เนื่องจากต่างคนต่างเป็นพันธมิตรที่รวมตัวกันเพราะผลประโยชน์ ย่อมแยกวงเพราะผลประโยชน์ใหญ่กว่าที่อยู่ตรงหน้า
มั่วชิงเฉินทอดถอนใจเบาๆ ก่อนพูดเสียงสูง “สหายทุกท่าน ถ้าลบคนทั้งสี่ที่เพิ่งเข้าไปออก พวกเราก็มีกันสิบห้าคน ตามความคิดข้าน้อย มิสู้จับไม้เซียมซีเป็นอย่างไร สามประตูที่เหลือ นับสี่คนต่อหนึ่งประตู จับได้ประตูไหนก็เข้าประตูนั้น สามคนที่จับได้ไม้ว่างเปล่า ก็รออยู่ด้านนอก”
โจวจงอวี่ปรบมือ “ความคิดของสหายมั่วนี้ดี เช่นนี้ใครๆ ก็ไม่เสียเปรียบ”
แม้ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรมีคำกล่าวว่า โชคเป็นส่วนหนึ่งของความสามารถ แต่สมบัติวิเศษอยู่ใกล้แค่เอื้อม การนำโอกาสทั้งหมดฝากไว้กับโชค ให้โชคตัดสิน ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนยอมรับ
ทว่าผู้ที่อยู่ในที่นี้ล้วนไม่มีใครอ่อนแอ จึงไม่มีใครยอมใคร พวกเขาครุ่นคิดสักพักก็เห็นด้วยกับความคิดนี้อย่างรวดเร็ว
“ข้าน้อยขอสละสิทธิ์” นักพรตเฟยหยางกล่าวเสียงเรียบ
ทุกคนจึงหันมามองเขาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
นักพรตเฟยหยางพูดด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ขอบคุณในความเมตตาของทุกๆ ท่าน ข้าน้อยได้ผังคำนวณเวหาทมิฬมาก็นับว่าพึงพอใจแล้ว จึงขอสละสิทธิ์จากการจับไม้เซียมซี มาเป็นผู้ดำเนินการให้”
มีคู่แข่งน้อยลงคนหนึ่ง กลุ่มคนย่อมยินดี และการได้นักพรตเฟยหยางมาดำเนินการ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนแอบเล่นตุกติกแล้ว จึงพยักหน้าตามๆ กัน
นักพรตเฟยหยางใช้จานดาราคำนวณจิตสัมผัสทั้งหมด เนื่องจากเมื่อหลายวันก่อนเขาได้ทานโอสถหล่อเลี้ยงดวงจิตชั้นยอดที่มั่วชิงเฉินมอบให้ ร่างกายจึงฟื้นฟูขึ้นมาก ใบหน้าซีดขาวมีเลือดฝาดบ้างแล้ว
จึงนำหยกอุ่นๆ ก้อนหนึ่งออกมา ใช้พลังวิญญาณแบ่งออกเป็นสิบสี่ส่วน ทำเป็นหยกเซียมซีแล้วเสร็จก็วางลงไปในกระบอกไม้กั้นจิต ที่สามารถขัดขวางจิตสัมผัสได้ จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้กลุ่มคนขึ้นมาจับ
กลุ่มคนเรียงลำดับเข้ามา แต่ละคนไม่ว่าคิดอย่างไร มองจากภายนอกก็ล้วนสงบนิ่ง
มั่วชิงเฉินจับหยกเซียมซีออกมาแท่งหนึ่ง ค่อยๆ ใช้นิ้วเลื่อนขึ้น ค่อยเห็นชัดว่าด้านบนมีตัวอักษร ‘หลบหนี’ หนึ่งตัว จึงอดไม่ได้ที่จะโล่งอก
นางมิใช่นักปราชญ์ที่ไร้ความปรารถนาไร้ความต้องการ ผ่านความยากลำบากมากมายมาถึงที่นี่ ย่อมไม่คิดกลับไปมือเปล่า
‘หลบหนี’ เป็นตัวอักษรที่แย่ที่สุดในประตูทั้งสามบาน แต่อย่างไรก็ยังดีกว่ารออยู่ด้านนอกมาก
อีกอย่าง ถ้าจับได้หยกเซียมซีว่างเปล่าหนึ่งในสองแท่งนั้นจริงๆ ก็จะทำให้ถูกสงสัยในคุณสมบัติได้
คนอื่นๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน พอมองดูหยกเซียมซีในมือ บ้างก็ดีใจ บ้างก็นิ่ง มีคนสบถออกมาคำหนึ่ง มั่วชิงเฉินกวาดตามองไป ผู้ที่สบถออกมาคือ หนึ่งในมารบำเพ็ญเพียรฝาแฝด นักพรตหว่านซิง
ปีศาจบำเพ็ญเพียรสื่ออิ่นก็มีสีหน้าไม่สู้ดีเช่นกัน เห็นชัดว่าเป็นอีกหนึ่งคนที่โชคไม่ดี
กลุ่มคนต่างถือหยกเซียมซีเดินเข้าไปในประตูไม้ที่มีตัวอักษรสอดคล้องกัน
เหลือเพียงนักพรตหว่านซิงกับสื่ออิ่นที่สบตากันพร้อมใบหน้าซังกะตาย ไม่มีใครส่งเสียง ต่างคนต่างรู้กัน เดินไปกลางประตูพร้อมกัน
เป็นไปตามคาด ทั้งสองถูกขวางให้กลับออกมา
เช่นนี้ทั้งสองจึงตายใจ ทำตาโตจ้องตาเล็กอย่างแค้นเคือง
มั่วชิงเฉินเดินเข้าไปในประตูไม้บานที่สาม และสะดุดตาชั้นไม้เป็นแถวๆ ที่อยู่ด้านในทันที
ชั้นไม้เหล่านี้สูงต่ำเท่ากันหมด แต่กลับถูกแบ่งเป็นสองชั้นบ้าง ห้าชั้นบ้าง อีกทั้งแต่ละช่องก็กว้างยาวไม่เท่ากัน โดยทุกๆ ช่องล้วนมีสมบัติวิเศษวางอยู่หนึ่งชิ้น
ผู้ที่เข้ามาด้วยกัน อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย
ในเมื่อจำกัดจำนวนผู้ที่เข้ามาในห้อง ก็ไม่แน่ว่าจะจำกัดเวลาด้วย ทั้งสี่ล้วนไม่ใช่คนโง่ ล้วนคิดถึงจุดนี้ จึงรีบก้าวเข้าไปยังชั้นไม้เหล่านั้น
มั่วชิงเฉินหยิบสมบัติวิเศษที่รูปร่างคล้ายจานหยกขึ้นมาอันหนึ่ง ใช้จิตสัมผัสสำรวจดู ส่ายหน้าไปมาแล้ววางกลับที่เดิม
สมบัติวิเศษนี้อาจถูกเก็บไว้นานจนเกินไป ปลุกจิตวิญญาณไม่ขึ้นแม้แต่น้อย
และพอหยิบสมบัติวิเศษขึ้นอีกหลายชิ้น ก็ล้วนเป็นเช่นเดียวกัน แต่ก็ยังไม่ตายใจ ทำการสำรวจพลังวิญญาณ พบว่าพลังวิญญาณภายในดุจทะเลโคลน ไม่ตอบสนองแต่อย่างใด
อีกสามคนก็พบปัญหาเช่นนี้ สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีใครยอมหยุด ยังคงตรวจสอบดูสมบัติวิเศษทีละอัน
มั่วชิงเฉินไปตรวจดูชั้นไม้ที่สอง และหยิบกระสวยทอผ้าขนาดเท่าฝ่ามืออันหนึ่งขึ้นมาจากมุมสุดของชั้น
กระสวยไม้นี้ดูๆ ไปก็เป็นของที่พบเห็นทั่วไป ทึบตันไม่มีแสง ตรงมุมมีอักษร ‘กระสวยผสมปราณดั้งเดิม’
เดิมทีมั่วชิงเฉินไม่หวังอะไรแล้ว แต่ด้วยความเคยชินที่ต้องสำรวจพลังวิญญาณ กลับพบว่า กระสวยไม้อันนี้มีการตอบสนองเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินเอะใจ จึงตีหน้าตาย นำกระสวยไม้ใส่ลงไปในแขนเสื้อ แสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วสำรวจชั้นไม้ลำดับต่อไป
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ทั้งสี่ก็สำรวจชั้นไม้ทั้งหมดเสร็จสิ้น ต่างมองตากัน ด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“เฮ้อ ในที่สุดก็หลงดีใจไปเปล่าๆ” เวยเซิงลิ่วแยกเขี้ยวอย่างอดไม่ได้
มั่วชิงเฉินทำเป็นไม่ได้ยิน ไอเบาๆ ออกมาคำหนึ่ง “สหายทั้งสาม เราออกไปกันเถอะ”
ทั้งสี่เดินเข้ามาอย่างปีติยินดี แต่ต้องเดินก้มหน้ากลับออกไป
แน่นอน มั่วชิงเฉินจงใจทำท่าทางเช่นนี้ ด้วยไม่ต้องการให้เป็นจุดสนใจ
แม้นางไม่ใช่คนทำอะไรหลบๆ ซ่อนๆ แต่ถ้าอีกสิบกว่าคนล้วนเข้าไปในภูเขาสมบัติแล้วกลับออกมามือเปล่า มีแต่นางคนเดียวที่ได้กระสวยผสมปราณดั้งเดิมมา คนเหล่านั้นก็อาจกินนางทั้งเป็นก็ได้
คนทั้งสี่ที่เดินเข้าประตูที่มีตัวอักษรคำว่า ‘เบ็ดเตล็ด’ แต่แรก ได้รออยู่ด้านนอกแล้ว
พอนักพรตจื่อซีเห็นมั่วชิงเฉิน ก็รีบเข้ามาทักทาย “ชิงเฉิน พวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง โชคร้ายจริงๆ พวกเราหาของอยู่ในนั้นครึ่งค่อนวัน สมบัติวิเศษเหล่านั้นล้วนเป็นขยะหมด”
มั่วชิงเฉินย่อมส่ายหน้าแล้วว่า “ที่ที่เราเข้าไปก็เป็นแบบเดียวกัน”
“ไม่รู้ว่าประตูอีกสองบานเป็นอย่างไรบ้าง” นักพรตจื่อซีจ้องมองประตูที่มีตัวอักษร ‘จู่โจม’ และ ‘ป้องกัน’
“หึๆ แปดถึงเก้าในสิบส่วนน่าจะเป็นเช่นเดียวกัน” สื่ออิ่นว่าพลางยิ้มตาหยี
นักพรตจื่อซีค้อนขวัก “เจ้านี่มัน ตัวเองไม่ได้ ก็หวังไม่ให้ผู้อื่นได้ด้วย”
สื่ออิ่นหัวเราะ “ข้าก็แค่พูดความจริง สมบัติวิเศษเหล่านี้ล้วนอยู่ในยุคสมัยเดียวกัน ประตูสองบานของพวกเจ้าล้วนมีแต่ขยะ อีกสองบานที่เหลือจะมีข้อยกเว้นรึ!”
ขณะพูด ประตูที่มีตัวอักษรคำว่า ‘จู่โจม’ ก็มีคนเดินออกมา ดูจากสีหน้า ก็รู้แล้วว่ากลับออกมามือเปล่า
“ด้านในของพวกเจ้าก็ล้วนมีแต่ขยะใช่ไหม” เวยเซิงลิ่วถาม
นักพรตจื้อจั้นที่เดินอยู่ด้านหน้าส่ายหน้า “ข้าน้อยกลับคิดว่า ของวิเศษเหล่านั้นไม่ใช่ขยะ แต่เป็นสมบัติโบราณที่ทำขึ้นด้วยวิธีพิเศษ ซึ่งวิธีบำเพ็ญเพียรในสมัยก่อนไม่เหมือนสมัยนี้ พลังวิญญาณที่เปลี่ยนแปลงไปจึงผิดแผกแตกต่าง เกรงว่าพลังวิญญาณที่เรามีกันอยู่ ไม่สามารถปลุกสมบัติโบราณเหล่านี้แล้ว”
ขณะพูด ผู้ซึ่งเข้าประตูที่มีตัวอักษรคำว่า ‘ป้องกัน’ ทั้งสามก็เดินออกมา
ด้านหลังทั้งสาม มีโล่ป้องกันขนาดมหึมาอันหนึ่งเคลื่อนที่ตามมา