ตื่นตระหนก สิ้นหวัง กระทั่งสติแตก
ในระยะเวลาอันสั้น มั่วชิงเฉินก็ได้รู้สึกถึงอารมณ์เชิงลบที่สุดของมนุษย์
ที่ผ่านมา นางไม่เคยยอมจำนน เป็นคนยืนหยัดอย่างไม่ย่อท้อ และไปให้ถึงที่สุด เพราะนางเชื่อในความเพียรพยายามของตัวเอง ไม่ว่าสถานการณ์ย่ำแย่แค่ไหน ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ ก็สามารถเริ่มต้นใหม่ได้
แต่ถ้ารากวิญญาณถูกทำลาย จะเริ่มต้นใหม่ได้อย่างไร
รากวิญญาณ เป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างฟ้าดินกับปราณวิญญาณของผู้บำเพ็ญเพียร ถ้าไม่มีรากวิญญาณ นางจะก้าวข้ามหุบเหวหนทางเซียน สำเร็จเป็นเซียนได้อย่างไรกัน
มั่วชิงเฉินกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในชีวิต ตอนอารมณ์ใกล้จะพังทลายลงนั้น กลุ่มคนกลับไม่รู้ถึงหายนะ เพียงรู้สึกว่าพลังวิญญาณที่ส่งออกไปถูกดูดเร็วขึ้น ต่างแอบคิดกันไปว่า นี่ก็คือร่างฮุ่นตุ้นสินะ น่าทึ่งเช่นนี้นี่เอง สามารถรวบรวมทุกสรรพสิ่งเอาไว้
พอร่างของมั่วชิงเฉินเพิ่มความเร็วในการดูดพลังวิญญาณ กลุ่มคนก็อดไม่ได้ที่จะเพิ่มความเร็วในการแปลงพลังวิญญาณ ขณะเดียวกันก็เปลี่ยนตำแหน่งกันใหม่ตามรูปแบบค่ายกลบนหม้อคืนสภาพ ก่อนร่ายคาถาอันซับซ้อนเป็นหมื่นเป็นพันตามลำดับ
ทว่าคาถาในครั้งนี้มิได้ส่งเข้าร่างของมั่วชิงเฉิน แต่ส่งออกจากกลางฝ่ามือของผู้ร่ายคาถาคนแรก เข้ากลางฝ่ามือของคนข้างๆ ซึ่งมือของคนข้างๆ ก็ขยับไม่หยุด มือซ้ายเก็บคาถา มือขวาส่งคาถาใหม่เข้ากลางฝ่ามือของคนถัดไป
ทำตามลำดับเช่นนี้ จวบจนคนสุดท้าย ร่ายคาถาและส่งเข้ากลางฝ่ามือซ้ายของคนแรก
และในตอนนี้เอง ฝ่ามือที่ประกบกันเป็นจุดๆ ของกลุ่มคนก็เกิดแสงสว่างกะพริบ มองจากด้านบน เห็นเป็นวงกลมพอดี
เพียงแต่วงกลมนี้กลับซ่อนอยู่ในฝ่ามือของกลุ่มคน คล้ายจะส่งออก แต่ไม่ได้ส่ง
รอนานเข้า ก็เริ่มมีคนยืนหยัดไม่ไหว
“ท่าทางไม่ถูกต้องแล้ว ตามขั้นตอนรูปแบบค่ายกลบนหม้อคืนสภาพ พอรวบรวมแสงวงกลมจากพลังทั้งหมดของเราได้ ก็ควรส่งเข้าไปในหม้อคืนสภาพมิใช่หรือ” โจวจงอวี่ตะโกน
สื่ออิ่นขมวดคิ้วแน่น “ข้าว่า เป็นปัญหาของสหายมั่วกระมัง อย่างไรนางก็ไม่ใช่หม้อคืนสภาพ”
นักพรตจื่อซียิ้มเย็นชา “แต่ข้ากลับรู้สึกว่าไม่ใช่ปัญหาของชิงเฉิน หม้อคืนสภาพปลอมรับพลังได้แค่สิบก็สลายกลายเป็นฝุ่นควัน แต่ชิงเฉินรับพลังวิญญาณของพวกเรานานขนาดนี้ ยังไม่เห็นเป็นอะไรเลย!”
“ถ้าปัญหาไม่ได้อยู่ที่สหายมั่ว แล้วอยู่ที่ใคร พวกเราปล่อยพลังอยู่ตั้งนาน ก็ไม่เห็นสหายมั่วแปลงเป็นพลังแหล่งกำเนิดเสียที” สื่ออิ่นโต้ตอบอย่างไม่ลดละ
นักพรตจื่อซีตะโกนอย่างเย็นชา “ข้าว่า ปัญหาอยู่ที่เจ้ามากกว่า! เพราะมีคนเจ้าเล่ห์อย่างเจ้า ถ้าไม่สงสัยคนนั้น ก็สงสัยคนนี้ ทำให้เราทำอะไรไม่สำเร็จเสียที!”
“นักพรตจื่อซีหมายความว่าอย่างไร” แววตาสื่ออิ่นมีความโกรธวาบผ่าน
การป่วนเช่นนี้ของเขา ทำให้แสงวิญญาณกลางฝ่ามือของผู้ที่นั่งประกบเขาทั้งซ้ายและขวาสลัวลง จนคล้ายเปลวไฟกลางพายุ สั่นไหวใกล้มอด พร้อมดับได้ทุกเมื่อ
ทำให้คนอื่นๆ พลอยใจสั่นตาม
นักพรตจื้อจั้นจึงส่งเสียง “ตามความเห็นข้าน้อย ที่นักพรตจื่อซีพูดมาก็มีเหตุผล สหายสื่ออิ่นยังจำได้ไหม ขั้นตอนสุดท้ายของหม้อคืนสภาพปลอมบอกว่า เส้นทางต่างคืนสู่จุดเดียวกัน หมื่นใจคืนปราณดั้งเดิม พูดอีกอย่างก็คือ พลังภายในของเราแต่ละคนแม้แตกต่างกัน แต่ขอเพียงเราสื่อใจถึงกันและรักษาให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ ก็จะประสบความสำเร็จในการแปลงให้เป็นพลังแหล่งกำเนิด”
สื่ออิ่นตาวาว “สื่อใจถึงกันหรือ นักพรตจื้อจั้นล้อเล่นหรือเปล่า ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าพวกเรามีกันทั้งนักพรต มาร ปีศาจ ขนาดผู้บำเพ็ญเพียรศิษย์สำนักเดียวกัน ยังไม่สามารถสื่อใจถึงกันได้เลย ข้าว่านะ อาจเป็นหม้อคืนสภาพปลอมนั่นแหละที่มีปัญหา ไม่แน่ว่า คาถารูปแบบค่ายกลบนนั้นอาจผิดทั้งหมด”
“เป็นไปไม่ได้!” นักพรตเฟยหยางที่ยืนดูอยู่ด้านข้างเพราะสูญเสียพลังจิตมากเกินไป ใช้สายตาเย็นชามองพลางปฏิเสธเสียงแข็ง “จริงคือเท็จ เท็จคือจริง ผู้บำเพ็ญเพียรสมัยโบราณฉลาดเฉลียว ถ้าต้องการใช้หม้อคืนสภาพปลอมหลอกผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ ก็ไม่มีทางเล่นตุกติกกับเปลือกนอกเป็นอันขาด”
กลุ่มคนลองคิดดูก็เห็นด้วย นึกถึงตอนกระตุ้นหม้อคืนสภาพปลอม ไม่เพียงแต่ละขั้นตอนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี กระทั่งยังรวบรวมเป็นพลังแหล่งกำเนิด รบกวนวงโคจรของสุริยันจันทราได้อีก
เพียงแต่มันเป็นของปลอม จึงรับพลังที่ซับซ้อนมากไม่ได้ และระเบิดแตกไป
เช่นนี้ดูไปแล้ว ถ้าจะบอกว่าหม้อคืนสภาพนั่นเป็นของปลอม มิสู้บอกว่า ปลอมได้เหมือนอย่างมาก
โจวจงอวี่พบว่า สีหน้าของมั่วชิงเฉินบัดเดี๋ยวเขียวบัดเดี๋ยวขาว คล้ายไม่สบายมาก จึงคำรามออกมา “พวกเจ้าอย่ามัวแต่พูดจาไร้สาระ นี่มันเวลามารดาอะไรแล้ว ยังเถียงกันอยู่ได้ ประเดี๋ยวถ้าสหายมั่วยืนหยัดไม่อยู่ ทุกคนก็จบสิ้นไปด้วยกันนี่แหละ จะได้ไม่ต้องถกเถียงกันอีก!”
คนผู้นี้ปกติดูสบายๆ ไร้กังวล แต่ครั้งนี้กลับพูดจาเตือนสติเสียงดังขึ้นมา ทำให้กลุ่มคนรู้สึกตื่นตัว ยิ่งเห็นสีหน้าที่ดูไม่ได้ของมั่วชิงเฉิน ในใจก็เต็มไปด้วยความเครียด
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีเล่า” เวยเซิงลิ่วกะพริบตาปริบๆ พลางสะบัดหางซึ่งเต็มไปด้วยขนที่อยู่ด้านหลังไปมาอย่างแรง
“หึๆๆ” ซื่อเหนียงหัวเราะขึ้นมา
เวยเซิงลิ่วถลึงตามองพร้อมท่าทีตำหนิ “ซื่อเหนียง ตอนนี้ท่านยังหัวเราะได้อีก!”
ซื่อเหนียงเอ็ดกลับ “หัวเราะบ้านเจ้าสิ ก็เพราะหางเจ้านั่นล่ะ เกาโดนจุดจักจี้ของข้าอยู่ได้”
กลุ่มคน…
นักพรตเฟยหยางลูบเส้นเอ็นบนหน้าผากที่เต้นไม่หยุด เขาควรยินดีที่ตนเองสูญเสียพลังจิตไป จึงไม่ได้เข้าร่วมสังฆกรรมด้วยหรือเปล่า คนเหล่านี้เป็นอะไรกันไปหมดเนี่ย!
นักพรตจื้อจั้นรู้ว่าผู้เชี่ยวชาญในการดูดาวและทำนายทายทักอย่างนักพรตเฟยหยาง ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีความคิดความอ่าน จึงพูดตรงๆ ออกมา “สหายเฟยหยาง สถานการณ์ตรงหน้า ไม่ทราบว่าท่านมีวิธีแก้ไขอย่างไร”
นักพรตเฟยหยางยกมุมปากขึ้น “สหายทุกท่าน ข้าน้อยคิดว่าสหายสื่ออิ่นพูดไม่ผิดอยู่คำหนึ่ง เราเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มีแนวทางไม่เหมือนกัน จึงไม่สามารถคบทุกคนเป็นสหายสนิท ไม่สามารถสื่อใจถึงใจกับทุกคนได้อย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นความหมายของเจ้าก็คือ พวกเราได้แต่รอความตายแล้ว” โจวจงอวี่ขมวดคิ้วแน่นพลางถาม
นักพรตเฟยหยางกวาดตามองทุกคน ก่อนมองมั่วชิงเฉินอย่างลึกซึ้งสักพัก แล้วจึงว่า “ในเมื่อสหายมั่วสามารถสละร่างต่างหม้อ เหตุใดเราจึงไม่พยายามสื่อจิตวิญญาณถึงกันและกันให้ได้เล่า”
“ความหมายของเจ้าคือ” หลายคนถามขึ้นพร้อมกัน
“ผสมโลหิตพิสุทธิ์ เชื่อมโยงจิตใจ!” นักพรตเฟยหยางพูดเน้นทีละคำ
“อะไรนะ!” ผู้คนไม่น้อยหน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน
โลหิตพิสุทธิ์ของผู้บำเพ็ญเพียรเป็นของล้ำค่า เชื่อมโยงอย่างแนบแน่นกับจิตดั้งเดิม ถ้านำมาผสมกับผู้อื่น ในช่วงแรกที่มีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถเชื่อมจิตถึงกันได้ชั่วคราวจริง
ซึ่งหลังจากนั้น ผู้บำเพ็ญเพียรก็สามารถตัดจิตเชื่อมโยงลักษณะนี้ออกได้ด้วยตนเอง แต่ผู้ที่เคยผสมโลหิตพิสุทธิ์เข้าด้วยกัน ต่อไปกลับไม่สามารถทำร้ายอีกฝ่ายก่อน มิฉะนั้นจะถูกใจมารแว้งกัด
เช่นนั้นก็หมายความว่า ผู้ที่อยู่ในที่นี้ ต่อไปแม้ไม่สามารถเป็นสหายที่ดีต่อกัน ก็ไม่สามารถลงมือทำร้ายอีกฝ่ายก่อนแล้ว
ดังนั้น พอได้ยินคำพูดที่น่าตกใจของนักพรตเฟยหยาง กลุ่มคนจึงตะลึงงัน รู้สึกว่าคนสิบเก้าคนผสมโลหิตพิสุทธิ์พร้อมกัน ช่างเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร
“สหายทุกท่าน ข้าน้อยคิดว่า เราไม่มีทางเลือก ขืนลังเลอีก สหายมั่วอาจยืนหยัดไม่อยู่” นักพรตเฟยหยางเหลือบมองสีหน้าของมั่วชิงเฉิน ก่อนพูดเสียงเรียบ
กลุ่มคนมีสีหน้าหลากหลายความรู้สึก
โจวจงอวี่พูดเสียงเข้ม “เมื่อเราทำดีที่สุดแล้ว ผสมโลหิตพิสุทธิ์ก็ผสมโลหิตพิสุทธิ์สิ อันที่จริงก็ไม่เสียเปรียบสักนิด ถ้ามีชีวิตรอดออกไป อย่างน้อยข้าก็มีศัตรูเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดน้อยลงสิบกว่าคน!”
วาจานี้พอหลุดออก กลุ่มคนประดุจได้ยินความคิดอันเฉียบคม ตระหนักรู้ในทันที
กลุ่มคนในที่นี้ล้วนบรรลุระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์แล้ว กระทั่งบางคนยังควบคุมการบรรลุสู่ระดับก่อกำเนิดด้วยตนเองไม่อยู่ด้วยซ้ำ ขอเพียงสามารถออกจากที่นี่ได้ อย่างน้อยสองสามคนในสิบเก้าคนนี้ ย่อมเลื่อนขั้นได้สำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย เช่นนี้เป็นอันว่า การผสมโลหิตพิสุทธิ์คล้ายไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
พอคิดตกในจุดนี้ ทุกคนก็บีบโลหิตหนึ่งหยดจากปลายนิ้ว ดีดไปยังกลางอากาศ กระทั่งนักพรตเฟยหยางที่ยืนดูอยู่ด้านข้างก็ไม่เว้น
“สหายมั่ว ขอโลหิตหนึ่งหยดด้วย” นักพรตเฟยหยางเกรงว่ามั่วชิงเฉินไม่รู้ จึงกล่าวเตือน
มั่วชิงเฉินเป็นคนขยันหมั่นเพียรกว่าคนปกติอยู่แล้ว หลายปีมานี้ยังผ่านการบำเพ็ญเพียรจิตใจมา ตอนนี้แม้ต้องพบกับภัยพิบัติชนิดทำลายล้างที่อาจทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ใจสลาย แต่นางกลับกลั้นใจยืนหยัดไว้ เมื่อคำพูดของกลุ่มคนดังเข้าไปในหู นางได้ยินก็ดีดนิ้ว โลหิตพิสุทธิ์หนึ่งหยดพุ่งออกมา
พอโลหิตพิสุทธิ์ของทั้งสิบเก้าคนพุ่งมาเจอกันกลางอากาศ ก็กระตุ้นให้เกิดแสงสีแตกต่างกันหลายสาย จากนั้นจึงกลายเป็นมุกโลหิตสิบเก้าเม็ด พุ่งเข้าสู่หว่างคิ้วของกลุ่มคน
ในใจของพวกเขาพลันเกิดความรู้สึกแปลกๆ จึงหันมองคนข้างๆ อีกครั้ง แต่พอสบตากัน ก็รีบละสายตาออก ความรู้สึกชนิดนี้พิลึกจริงๆ ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนที่เจ้าจงเกลียดจงชัง แต่เจ้ากลับเกิดความรู้สึกสนิทสนมกับเขาเป็นพิเศษ
“ทยาน!” กลุ่มคนตะโกนขึ้นพร้อมกัน
เห็นแสงวงแหวนจากการประกบฝ่ามือของกลุ่มคนพุ่งขึ้นด้านบน พอไปได้ครึ่งฟ้าก็ตกลงมา ครอบมั่วชิงเฉินไว้ตรงกลาง
พริบตานั้น แสงวงแหวนก็พุ่งเข้าสู่ร่างของมั่วชิงเฉิน
พลังขนาดมหึมาที่เข้ามาใหม่ ทำให้พายุแสงในร่างมั่วชิงเฉินหมุนเร็วขึ้น จนเกิดเป็นแรงดึงดูดมหาศาล ลูกปากว้าเทพมารที่อยู่นิ่งๆ ในร่างมาตลอด ที่สุดแล้วก็ถูกดูดเข้าไป
มั่วชิงเฉินตื่นตระหนก เมื่อพบว่า ภายในร่างเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว
พายุแสงห้าหกสีพลันถูกปราณสีขาวดำสองสายห้อหุ้มไว้ แล้วผลักดันให้ปราณเทพมารที่อยู่ในตันเถียนจู่โจมเข้าไป มั่วชิงเฉินรู้สึกได้ถึงพายุแสงกำราบที่เกิดจากความพยายามของปราณเทพมาร แต่ครั้งนี้มันกลับมีแรงไม่ได้ดั่งใจ
สักพัก พายุแสงพลันจู่โจมกลับ จนปราณเทพมารแตก กลายเป็นวงกลม
แต่ปราณเทพมารยังไม่ยอมปล่อยวาง พัวพันอยู่ด้านล่างพายุแสง
ในจุดตันเถียนเกิดลมพัดแรง ฝนตกหนัก
มั่วชิงเฉินหลับตาลง แล้วทอดถอนใจเบาๆ
แต่จู่ๆ พายุก็สงบลง เหนือตันเถียนมีสะพานวิญญาณสีสันสดใสลอยอยู่ พลางเปล่งแสงให้ความชุ่มชื่นแก่ตันเถียนที่บอบช้ำเต็มที
มั่วชิงเฉินอดไม่ได้ที่จะมองไปยังด้านล่างตันเถียน แล้วก็ต้องรีบหรี่ตามอง
รากวิญญาณเจ็ดสีสายหนึ่งกำลังดึงตันเถียนให้ตรง โดยมีแสงเจ็ดสีกะพริบเป็นพักๆ ด้านล่างของรากวิญญาณ มีลูกปากว้าเทพมารสีขาวดำที่แตกต่างนอนอยู่ ราวกับดินที่กำลังบ่มเพาะรากวิญญาณก็มิปาน
ความรู้สึกได้รับหลังจากสูญเสีย ปะทุขึ้นในใจ ไม่รอให้มั่วชิงเฉินซาบซึ้งใจ แก่นทองคำก็หมุน พลังบริสุทธิ์อย่างแท้จริงไร้สีสายหนึ่งพุ่งออกจากหว่างคิ้ว ขึ้นไปบนฟ้า
“พลังแหล่งกำเนิด!” กลุ่มคนอุทาน ต่างคนต่างได้ยินเสียงแห่งความปีติยินดี
พลังแหล่งกำเนิดพุ่งสู่จุดที่นักพรตเฟยหยางคำนวณไว้ วงโคจรไร้รูปของดวงดาวถูกชะล้างออก ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ถอยกลับไปในทิศทางตรงกันข้ามด้วยความเร็วที่น่าตกใจ
เสียงคร่ำครวญของดอกไม้ประหลาดดังมา “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้!”
“นี่ก็คือชะตาฟ้า” เสียงเด็กน้อยของส้มโอมือเก้าดวงใจดังก้องกลางเวหา
“กรี๊ดดด…” ดอกไม้ประหลาดร้องโหยหวน
ฝนตกลงมาจากฟากฟ้าอย่างรวดเร็ว กลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิดโชยมา
“น้ำค้างบุปผา” นักพรตหย่าอี้พึมพำ พลางยื่นมือออกไปรับน้ำฝนที่ตกลงมา
ขณะยืนอาบม่านน้ำค้างดอกไม้ กลุ่มคนพลันพบว่าแก่นทองคำในร่างโคจรอย่างคลุ้มคลั่งขึ้นมา
“ฮ่าๆๆ ข้าแพ้แล้วอย่างไร พวกเขาก็ออกไปไม่ได้อยู่ดี ต้องถูกฝังเป็นสหายข้าวันยังค่ำ กลายเป็นปุ๋ยให้ดอกไม้ ซึ่งไม่แน่ว่าอาจทำให้ข้ารากงอกแตกหน่อขึ้นมาใหม่อีกครั้งด้วยซ้ำ!” เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของดอกไม้ประหลาดสะท้อนก้องไปมาบนท้องฟ้า