“อาจารย์อา” ศิษย์หญิงทั้งสองคนพากันคารวะ ก้มหน้าลงด้วยสีหน้าอีหลักอีเหลื่อ
ครั้นกวาดตามองผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐาน มั่วชิงเฉินยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม “คำว่า อาจารย์อา ข้าคงไม่อาจรับได้ เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งเล่า”
“ศิษย์พี่เหลียงเฉิงไปรับของโถงจัดหาเขาโฮ่วเต๋อแล้ว ส่วนเขาศิษย์พี่เหมยจิ่งดูแลสวนสมุนไพรอยู่” ศิษย์หญิงทั้งสองเดาความคิดมั่วชิงเฉินไม่ถูก ตอบด้วยความกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
ถึงแม้มั่วชิงเฉินจะกลายเป็นคนพิการไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้แล้ว แต่อย่างไรเสียก็ยังมีอำนาจอยู่บ้าง ทั้งเป็นศิษย์ของเหอกวงเจินจวิน และคู่บำเพ็ญเพียรของลั่วหยางเจินจวิน แอบนินทานางลับหลังก็ช่างเถิด ทว่าหาใช่คนที่ศิษย์ระดับสร้างรากฐานตัวเล็กๆ จะยั่วโทสะได้
มั่วชิงเฉินตวัดสายตาเย็นชามองทั้งสอง แล้วเดินจาก
“นี่ ศิษย์พี่ ท่านว่าหากอาจารย์อาชิงเฉิงได้ยินคำพูดนั้น จะลงโทษพวกเราหรือเปล่า” ศิษย์หญิงชุดเขียวใบหน้ากลมเอ่ยขึ้น
หากมิใช่รู้ว่านักพรตชิงเฉิงสูญเสียตบะบำเพ็ญเพียรจนกลายเป็นคนพิการ เสียความสามารถในการใช้จิตสัมผัสตรวจสอบไป นางก็ไม่มีขวัญกล้าปากยื่นปากยาวเช่นนี้แล้ว
ศิษย์หญิงรูปร่างสูงโปร่งอีกคนหนึ่งเอ่ยด้วยความงุนงง “ตอนนี้ค่อยรู้จักกลัวแล้ว ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าเภทภัยมาจากปาก ถึงแม้อาจารย์อาชิงเฉิงจะกลายเป็นเช่นนี้แล้ว แต่คนที่ผูกสัมพันธ์กับนางเป็นใครบ้าง นางคิดกำจัดพวกเรา พูดออกมาก็พอ พวกเราไม่มีจุดจบที่ดีแน่”
ศิษย์หญิงหน้ากลมสีหน้าเสียใจ พลันคิดอะไรขึ้นมาได้ เอ่ยหวาดๆ “ศิษย์พี่ ท่านว่านักพรตชิงเฉิงจะผูกสัมพันธ์กับคนพวกนั้นไปได้อีกนานแค่ไหน”
ศิษย์หญิงร่างสูงยกมุมปาก เอ่ยเสียงเบาเช่นกัน “นี่ก็พูดยาก คอยดูต่อไปก็แล้วกัน”
ในโลกของการบำเพ็ญเพียรเป็นโลกของพลังฝีมือ ที่สุดแล้วความสัมพันธ์ใกล้ชิดห่างเหินแปรเปลี่ยนล้วนหนีไม่พ้นพลังฝีมือของแต่ละคน
สตรีเย่อหยิ่งผู้สูญเสียพลังฝีมือไป บางทีอาจได้รับการปกป้องจากสหายสนิท ความสงสารจากคู่บำเพ็ญเพียร แต่อีกสิบปีเล่า อีกห้าสิบปีเล่า
ศิษย์หญิงทั้งสองเกิดความอึดอัดใจ ขณะเดียวกันก็มีความคิดอยากชมดูเรื่องสนุกในภายหน้า อาศัยอยู่ที่เขาลั่วเถานี้ต่อไป
มั่วชิงเฉินเดินออกไปช้าๆ มองเหม่ยจิ่งที่กำลังหันหลังให้เรือนไม้ไผ่ไกลออกไป เห็นนางก้มเอวเก็บสมุนไพร ก็ไม่เข้าไปรบกวน เดินเข้าห้องครัวตามลำพัง เด็ดเห็ดวิญญาณที่ตีนกำแพงตุ๋นน้ำแกงเห็ด
ตอนที่เหม่ยจิ่งเดินเข้าไปห้องครัว ก็เห็นมั่วชิงเฉินถือตะหลิว ค่อยๆ คนน้ำแกงเห็ด ไอร้อนระอุขึ้นมาปกคลุมใบหน้างามของนาง ดวงตาดอกท้อคู่นั้นพร่างด้วยประกายน้ำ ดูเลือนราง
เหมยจิ่งพลันรู้สึกปวดใจ ร้องเรียก “คุณหนู ท่านลงมือเองได้อย่างไรกัน!” พูดจบก็วิ่งเข้าไปแย่งตะหลิวในมือมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินอึ้งไปเล็กน้อย สักประเดี๋ยวค่อยคลี่ยิ้มออกมา “เหม่ยจิ่ง เจ้ามาได้อย่างไรกัน”
ความรู้สึกท้องหิว ชั่วชีวิตนี้นางแทบไม่เคยลิ้มรสมาก่อน อีกทั้งไม่ได้ลงมือทำน้ำแกงด้วยตัวเองมานานมากแล้ว
เหมยจิ่งคนน้ำแกงด้วยความคล่องแคล่ว หยิบเครื่องปรุงออกจากกระเป๋าเก็บของใส่ลงไป ไม่นานกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว นางตักน้ำแกงชามหนึ่งส่งให้มั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินรับไปดื่มคำหนึ่ง ร้องอุทานว่า “หอมมาก”
“คุณหนูว่าหอม ก็ดื่มเยอะๆ เจ้าค่ะ” กระบอกตาเหมยจิ่งแดงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
มั่วชิงเฉินทำเป็นไม่เห็น หัวเราะร่า “ต้องกินเยอะๆ อยู่แล้ว คิดไม่ถึงเลยว่ากลายเป็นคนสามัญชนคนธรรมดาก็มีข้อดีเหมือนกัน จะสัมผัสถึงถึงรสอร่อยของอาหาร”
เมื่อผู้บำเพ็ญเพียรละธัญพืชทั้งห้าประสาทรับรสจะยิ่งไวขึ้น และก็เป็นเช่นนี้เองยามที่อาหารธรรมดาเข้าปากจะไม่ได้รสชาติอร่อยเหมือนทั่วไป แต่กลับเป็นรสชาติแปลกประหลาด และก็เป็นเหตุผลที่ผู้บำเพ็ญไม่กินอาหารทั่วไป
ส่วนมั่วชิงเฉินที่ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา ลิ้มรสน้ำแกงเห็ดที่มีพลังวิญญาณอยู่ก็รับรู้ถึงความอร่อยไร้ที่ติ
เหมยจิ่งลนลานเกินเหตุ น้ำตาไหลลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่
มั่วชิงเฉินดื่มน้ำแกงไปสองถ้วย ตบบ่าเหมยจิ่ง “ร้องไห้ทำไมกัน ยังไม่หมดหนทางเสียหน่อย”
เหมยจิ่งพยักหน้ารัวๆ “เจ้าค่ะๆ เหอกวงเจินจวินและลั่วหยางเจินจวินเก่งกาจขนาดนี้ ต้องมีวิธีแน่ๆ”
มั่วชิงเฉินไม่รู้จะยิ้มดีหรือไม่ เดินจากไป
อาจารย์กับลั่วหยางเก่งการขนาดไหนก็หาใช่เทพเซียน ไม่มีทางทำให้คนที่รากวิญญาณถูกทำลายคนหนึ่งปลูกรากวิญญาณขึ้นมาใหม่ได้
สิ่งที่มั่วชิงเฉินคิดไว้ไม่มีผิด ผ่านไปครึ่งปี กู้หลีและเยี่ยเทียนหยวนก็มาหานางตามลำดับ ล้วนแล้วแต่สองมือว่างเปล่า
นับตั้งแต่นั้น ชั่วระยะหนึ่งกู้หลีและเยี่ยเทียนหยวนต่างออกไปข้างนอก หาทางช่วยรักษามั่วชิงเฉิน
เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า ยอดเขาลั่วเถายังคงเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้ร่วงโรยดังเดิม งดงามเป็นที่สุด ทว่าผู้ปกครองยอดเขาลั่วเถากลับชราลง ทว่าคนดูสงบมากขึ้น
ปีนี้ ในที่สุดยอดเขาลั่วเถาที่แสนเงียบสงบก็มีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น เหลียงเฉินเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณแล้ว
ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลายต่างพากันมาแสดงความยินดี เหลียงเฉินถูกคนห้อมล้อมไว้ ดวงตายิ้มแย้มเป็นประกาย เหมยจิ่งยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกเป็นเกียรติ กลับมีแต่ผู้ปกครองยอดเขาลั่วเถาอย่างมั่วชิงเฉินที่ยืนเงียบๆ ในมุมหนึ่ง ไม่เข้ากับสถานการณ์
ที่ยิ่งไม่เข้ากับบรรยากาศมากที่สุดก็คือ ผมขาวสีดอกเลาของนางทอประกายสีเงินภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง ดึงดูสายตาห่างเหินจากทุกคน
มั่วชิงเฉินคุ้นเคยกับสายตาเช่นนี้มานานแล้ว พยักหน้าให้กับเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งที่ส่งสายตาห่วงใยมาให้ แล้วก็หมุนตัวเดินไปในป่าท้อลึก
หลายปีที่ผ่านมา เหลียงเฉินและเหมยจิ่งยังคงเคารพนาง ต้วนชิงเกอและมั่วหลีลั่วรวมถึงสหายสนิทหลายคนยังคงห่วงใยนาง สายตาอาจารย์ที่มองนางแฝงไปด้วยความเอ็นดู สายตาศิษย์พี่ที่มองมาคือความรักและสงสาร ส่วนคนที่ไม่สลักสำคัญก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไปช้าๆ กระทั่งสหายที่เคยมีการคบหาอยู่บ้างก็ห่างเหินไป สำหรับนางแล้วกลับไม่คู่ควรให้เสียใจ
แต่ก็มีบางอย่างที่สุดท้ายแล้วต่างออกไป
เมื่ออยู่ต่อหน้านาง เหลียงเฉินไม่ร่ำร้องเสียงดังอีกแล้ว ท่าทีของสาวใช้ทั้งสองที่มีต่อนางคล้ายจะอ่อนโยนและถนอมสมบัติล้ำค่า ระแวดระวังอยู่ทุกขณะ
การสนทนากับสหายหลายๆ คน เมื่อห่างจากเรื่องวิชาสมบัติล้ำค่าพวกนั้นบทสนทนาก็เริ่มจืดชืดไป แต่พวกเขากลับยังแสดงท่าทีให้ความสนใจออกมา
ส่วนอาจารย์ก็มีท่าทีกับนางไม่ต่างไปจากเดิม เพียงแต่เขาลงจากเขาไปเพื่อเรื่องของนางหลายต่อหลายครั้ง ถึงกระทั่งพลาดโอกาสก้าวเข้าสู่แดนเสวียนเทียนประดิษฐ์อีกครั้งหนึ่ง ถูกประมุขอาวุโสสูงสุดหลิวซางเจินจวินยิบยกขึ้นมาตำหนิหลายครั้ง
มั่วชิงเฉินเข้าใจหลิวซางเจินจวินดี ไม่ใช่ว่าเขาไม่เป็นห่วงศิษย์หลานตัวน้อยๆ เพียงแต่ในฐานะประมุขอาวุโสสูงสุดของสำนักเหยากวง ก็ต้องคิดถึงสำนัก
ลั่วหยางเจินจวินเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของนาง ผู้อื่นไม่กล้าพูดมาก กู้หลีกลับเป็นอาจารย์ มีฐานะเป็นผู้บำเพ็ญอัจฉริยะแห่งเหยาหวง เพราะนางแล้วเขาเสียเวลาบำเพ็ญ ย่อมไม่ถูกต้อง
มั่วชิงเฉินเดินเข้าไปในส่วนลึกของป่าท้อ นั่งลงบนชิงช้าแกว่งเบาๆ คิดถึงเยี่ยเทียนหยวน ผู้สร้างชิงช้านี้ขึ้นมา ก้มหน้าถอนหายใจ
หากบอกว่าหลังจากกลายเป็นคนธรรมดาแล้ว คนที่นางเผชิญหน้าได้ยากที่สุดคือใคร นั่นก็คือเขา
ในฐานะคู่บำเพ็ญเพียร นางกลับถูกทิ้งมาไกลแสนไกล
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาก
มั่วชิงเฉินหันไปดู เอ่ยด้วยความตะลึง “เป็นเจ้าเองหรือ”
ผู้มาสวมอาภรณ์หรูหราสีแดงอมม่วง เกล้าผมเป็นชั้นๆ ผมเกล้าสูงเผยให้เป็นเรียวคอยาวระหง นางสำรวจมองมั่วชิงเฉินอย่างละเอียดอยู่นาน ยิ้มยกมุมปากแดงเรื่อเอ่ยว่า “มั่วชิงเฉิน เจ้าแก่ขนาดนี้แล้ว จิ๊ๆ ยังจะเล่นชิงช้าอีก ช่างไม่เข้ากันเอาเสียเลย”
“หร่วนหลิงซิ่ว ที่นี่คือยอดเขาลั่วเถา ไม่ต้อนรับเจ้า เชิญกลับไปเถิด” มั่วชิงเฉินเสียงเย็นชา
“จากไปหรือ” หร่วนหลิงซิ่วมุ่นคิ้ว สีหน้าแปลกใจ เดินเข้าไปเอ่ยว่า “เจ้ามีสิทธิ์อะไรไล่ข้าไป”
เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากมั่วชิงเฉิน ก็สืบเท้าเข้าไปอีก โน้มกายไปทางมั่วชิงเฉินบีบคั้นนาง “อาศัยที่เจ้าเป็นเจ้าของที่นี่หรือ เหอะๆ น่าขำนัก เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าคนธรรมดาคนหนึ่งจะเป็นผู้ปกครองยอดเขาได้จริงๆ”
พูดพลางยื่นมือออกมาบีบคางมั่วชิงเฉิน “ยังคิดว่า ตัวเองยังคงเป็นยอดคนคนงามแห่งยุคอยู่อีกหรือ เหอะๆ เจ้าเป็นยอดคนก็จริง แต่ว่าริ้วรอยบนใบหน้าเจ้าสามารถเป็นยอดคนที่หนีบยุงตายก็เท่านั้นแหละ”
หร่วนหลิงซิ่วออกแรงบีบ มั่วชิงเฉินถูกบีบคางจนส่งเสียงร้องอู้อี้ สองตาถลึงใส่อีกฝ่าย
เพลิงโทสะพลุ่งพล่าน หร่วนหลิงซิ่วยื่นมือฟาดลงไป ตบหน้ามั่วชิงเฉินฉาดหนึ่ง
เมื่อไร้พลังวิญญาณคุ้มครองกาย มั่วชิงเฉินรู้สึกอื้ออึง กระอักเลือดร้อนๆ ออกมาคำหนึ่ง ซ้ำยังมีฟันซี่หนึ่งด้วย
“เจ้าอาศัยอะไรมองข้าด้วยสายตาเช่นนี้ ยังหลงคิดว่าตัวเองคือมั่วชิงเฉินคนก่อนอีกหรือ นี่ เจ้าพูดสิ พูดสิ!” หร่วนหลิงซิ่วบีบบ่าไหล่มั่วชิงเฉินอย่างแรง อีกมือหนึ่งก็ตบหน้านางไม่หยุด
เมื่อตกอยู่ในห้วงความเจ็บปวด มั่วชิงเฉินพลันฉุกคิดถึงเรื่องเก่าในอดีตขึ้นมาได้
ในเวลานั้นนางยังเป็นวัยรุ่นสดใส ก็ถูกหร่วนหลิงซิ่วตบหน้าเช่นกัน ถึงจะอดทนมาได้ ทว่าหัวใจไม่มีความขมขื่นหรือสิ้นหวัง เพราะนางมั่นใจว่าต้องมีสักวันที่ได้ตบคืน แล้ววันนั้นก็มาถึงไวกว่าที่นางคิดไว้มาก
แต่ตอนนี้ ความอัปยศและเศร้าโศกโหมขึ้นมาในหัวใจอย่างไร้ที่สิ้นสุด
ต่อให้มีคนตบหน้าอีกฝ่ายแทนนาง ใช้มือคนอื่นๆ อย่างไรความโกรธแค้นก็ยากจะสงบลง
มั่วชิงเฉินร้อง เพ้ย คำหนึ่ง กระอักเลือดออกมา ตวัดสายตามองหร่วยหลิงซิ่ว ยิ้มยกมุมปากดูแคลน “เจ้าช่างเป็นหญิงที่น่าสงสารนัก”
“เจ้าพูดอะไร” หร่วนหลิงซิ่วเพิ่มแรง
มั่วชิงเฉินเริ่มหายใจยากขึ้นทุกที นางฝืนพยายามเอ่ยว่า “ข้าบอกว่าเจ้าน่าสงสาร ต่อให้ข้าแก่แล้ว น่าเกลียด ริ้วรอยบนหน้าสามารถหนีบยุงตายได้ แต่ศิษย์พี่ก็ไม่เคยเหลือบแลเจ้าเลยสักปราดหนึ่ง”
หร่วนหลิงซิ่วหอบหนัก จ้องมั่วชิงเฉินพลันหัวเราะ “มั่วชิงเฉิน เจ้าคิดว่าลั่วหยางเจินจวินรู้สึกกับเจ้าไม่เปลี่ยนแปลงอย่างนั้นหรือ หากข้าเดาไม่ผิดละก็ กระทั่งเรื่องระหว่างสามีภรรยาขั้นพื้นฐาน เจ้าก็ไม่อาจเติมเต็มให้เขาได้กระมัง”
เห็นมั่วชิงเฉินสีหน้าเย็นชา อดยิ้มเอ่ยไม่ได้ “ทำไมกัน ข้าพูดถูกใช่ไหม เหอะๆ ตอนนี้ เจ้ายังคิดว่าลั่วหยางเจินจวินยังรักมั่นต่อเจ้าอีกหรือ”
มั่วชิงเฉินหลับตา ไม่โต้ตอบสักครึ่งคำ
หร่วนหลิงซิ่วรู้สึกเบิกบานอย่างไร้ที่เปรียบ ปล่อยหัวเราะเสียงดัง
“หร่วนหลิงซิ่ว” มั่วชิงเฉินลืมตา น้ำเสียงสงบนิ่ง “ข้ารู้สึกว่า ชั่วชีวิตนี้เจ้าทำตัวเป็นหนอนน่าสงสารจมปลักอยู่กับความรัก ต่อให้ภายหน้าเทียนหยวนเปลี่ยนใจแล้วจะทำไมกัน ข้าบำเพ็ญไม่ได้อีกแล้ว ข้าก็จะแก่แล้วตายไป เมื่อถึงเวลานั้นก็แค่ธุลีดิน ข้าเคยครอบครองความรักของมนุษย์ หรือว่าจะพามันลงไปด้วยไม่ได้ เสียทีที่เจ้าบำเพ็ญเพียร กลับเชื่องช้านัก ทำให้คนรังเกียจ!”
“เจ้ายังกล้าหัวเราะเยาะข้าอีกหรือ ตกอยู่ในสภาพนี้แล้ว ยังกล้าหัวเราะเยาะข้าอีก” แววตาหร่วนหลิงซิ่วคลุ้มคลั่ง มือที่บีบคอมั่วชิงเฉินออกแรงมากขึ้น
ภาพเบื้องหน้ามั่วชิงเฉินค่อยๆ เลือนราง