พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 563 ล่องไปในโลกหล้า

ท้องนภาสีคราม ดาวดวงพร่างพราย เวลานี้สายลมกรรโชกแรง เสียงฟ้าผ่าดังสนั่น พัดเสียหมู่ดาวสั่นไหวราวกับทางช้างเผือกเคลื่อนตัวสาดแสงไกลออกไป

มวลเมฆสั่งสมเป็นกลุ่มก้อนหนาแน่นอยู่บนศีรษะมั่วชิงเฉิน แต่ละชั้นๆ ขยายไปถึงหมู่ดาว ยามที่กลุ่มเมฆหนาลดตัวลงคล้ายกับบันไดลงจากสรวงสวรรค์ปรากฏต่อหน้าทุกคน สัตว์เทพตัวหนึ่งก็ล่องลอยลงมาจากบันไดเมฆ

สัตว์เทพนี้มีขนาดเท่าลูกวัว ปีกเล็กๆ สองข้างกระพือบิน คล้ายกลับว่าไม่อาจพยุงร่างกายใหญ่ของมันไว้ได้ ท่าทางเชื่องช้าอย่างเห็นได้ชัด ที่น่าแปลกประหลาดกว่าก็คือไม่อาจมองชัดว่าดวงตาอยู่ตรงส่วนไหนบนใบหน้ามัน

ร่างกายกลมกลิ้ง ปีกป้อมสั้น เคลื่อนลงมาจากบันไดเมฆ เมื่อมองเช่นนี้แล้วคล้ายกับหมู…ที่มีปีก

ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรยอดฝีมือ ครั้นได้เห็นสัตว์เทพล้วนตะลึงงัน

เมื่อผู้บำเพ็ญเพียรเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดจะก่อให้เกิดปรากฏการณ์ฟ้าดิน สร้างเป็นสัตว์เทพหลายร้อยชนิดเพื่อประกาศพลังในการข้ามระดับ

ในบรรดาสัตว์เทพนี้มี สัตว์เทพโบราณอย่างมังกร หงส์ไฟ กิเลนเป็นใหญ่ ส่วนสัตว์เทพอื่นๆ อีกร้อยชนิดล้วนแตกต่างออกไป

แต่ใครบอกพวกเขาได้บ้างว่า เจ้าหมูที่บินได้ตัวนี้มันคืออะไรกันแน่

สัตว์อสูรทั้งสามในถุงอสูรวิญญาณของมั่วชิงเฉินสัมผัสได้ถึงการเลื่อนขั้นของนางจึงชะโงกหัวออกมาต่างก็สบตากัน

อีกาไฟใช้ปีกกุมหน้าไว้ “ขายหน้านัก ขายหน้าจริงๆ ข้าว่าข้าน่าเกลียดแล้วนะ ปรากฏการณณ์ของนายท่านน่าจะเป็นหงส์ไฟสิ ใครจะคิดว่ากลับเป็นหมูตัวหนึ่ง หากรู้แต่แรก พวกเราสามตัวก็ไปลองปลอมเป็นปรากฏการณ์ได้แล้ว ต้องแข็งแกร่งกว่านี้แน่นอน”

หมาป่าน้อยพยักหน้าหงึกหงัก เอ่ยหนักแน่นว่า “ไม่ผิด!” มันพูดพลางจับจ้องหมูที่บินโบยรอบๆ ด้วยแววตาเย็นชา แทบเข้าไปกัดอีกฝ่ายให้กระจุย

“พวกเจ้าจำได้ไหม ตอนที่ลั่วหยางเจินจวินฝ่าระดับก่อกำเนิด ใช้เวลาเท่าไรกว่ามังกรไฟตัวนั้นจะหายไป” อีกาไฟถามอย่างจนปัญญา

เขาน้อยรีบตอบว่า “เรื่องนี้ข้าจำได้ สามวันสามคืน”

อีกาไฟถอนใจ “สวรรค์ สามวันสามคืน นายท่าน ทำใจเถอะนะ”

หมาป่าน้อยและเขาน้อยสีหน้าหมองมองมั่วชิงเฉินที่ห่อหุ้มด้วยแสงวิญญาณ

เยี่ยเทียนหยวนคลายใจ สายตาที่มองมั่วชิงเฉินเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอันยากปกปิดได้ สำหรับเขาแล้ว ขอเพียงมั่วชิงเฉินข้ามผ่านใจมารได้ก็พอ ส่วนปรากฏการณ์นี้จะเป็นมังกรหรือหมู ไม่สำคัญทั้งนั้น

สีหน้ากู้หลีผ่อนคลายมาตลอด ครั้นเห็นปรากฏการณ์นี้ มือในชายเสื้อหลวมโพรกก็คลายลง เพียงแต่มองเงียบๆ ไกลออกมา

ทุกคนมีสีหน้าแปลกประหลาด กลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรที่เพิ่งข้ามระดับได้กลั้นหัวเราะไม่ไหว มีเพียงหลวนถูเจินจวินจากนิกายเจิ้นโซ่วเท่านั้นที่มองอสูรประหลาดโบยบินท่ามกลางกลุ่มเมฆด้วยความครุ่นคิด

ผ่านไปหนึ่งวัน สองวัน…จนกระเจ็ดวันผ่านไปแล้ว อสูรประหลาดร่างหมูยังคนล่องลอยไปมาไม่ช้าไม่เร็ว จิตใจของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดไม่รู้จะสรรหาคำใดมาบรรยายแล้ว

อีกาไฟกระพือปีกแรงๆ เอ่ยเสียงร้ายกาจว่า “คนเราฆ่าได้หยามไม่ได้ เจ้าหมูนี่เมื่อไรจะหายไปสักที!”

“ให้ข้าไปตะปบมันลงมาดีหรือไม่” หมาป่าน้อยถามเสียงเย็น

“เจ้าคิดว่ามันมีชีวิตหรืออย่างไร ถ้าลากลงมาได้ ข้าทำไปนานแล้ว” อีกาไฟมองหมาป่าน้อย

บางทีอาจเพราะสัมผัสได้ถึงคำบ่นของสัตว์อสูรทั้งสาม บนฟ้าพลันเกิดการเปลี่ยนแปลง

อสูรประหลาดที่ลอยไปมาบนเมฆจู่ๆ ก็พุ่งเข้าไปในม่านเมฆ กลืนเมฆเข้าไปคำใหญ่ กลุ่มเมฆหนาถูกดูดกลืนเข้าไปในปาก

ทุกคนมองด้วยความอึ้งงัน

ไม่ทันรอให้ทุกคนได้สติ อสูรประหลาดนั้นก็หันมาทางคนทั้งหมด แก้มพองราวกลอง พ่นปราณไร้สีออกมา ส่วนตัวมันภายใต้ลมปราณไร้สีสันนี้ ร่างกายโบยบินสูงขึ้นไปอย่างรวดเร็ว พริบตาก็เล็กลงจนมองไม่เห็นอีกแล้ว

ปราณไร้สีนั้นกลายเป็นเม็ดฝนใส ตกเปาะแปะโปรยปรายลงมา

คนทั้งหมดที่อยู่ในขอบเขตของฝนไม่มีที่หลบ ยามที่น้ำฝนตกกระทบร่าง สีหน้าก็หนักอึ้งลง

เจ้าเม็ดฝนนี้กลับมีสรรพคุณเป็นปราณบริสุทธิ์

หลวนถูเจินจวินยื่นมือออกไป รับรู้ถึงเม็ดฝนไร้สีตกในฝ่ามือ คล้ายฉุกคิดขึ้นได้ สีหน้าแปรเปลี่ยน เอ่ยด้วยเสียงขาดห้วงว่า “ข้าคิดออกแล้ว เป็นสัตว์เทพฮุ่นตุ้น นั่นคือสัตว์เทพฮุ่นตุ้น!”

เขามองทิศที่สัตว์เทพหายไปอย่างล่องลอย ได้แต่แค้นเคืองที่ตัวเองไม่คิดให้ไวกว่านี้

“สัตว์เทพฮุ่นตุ้นหรือ” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องสัตว์เทพถามขึ้น

หลวนถูเจินหวินมองทุกคน ถอนใจเอ่ยว่า “สหายทุกท่านน่าจะทราบว่า มาถึงบัดนี้โลกของการบำเพ็ญแบ่งออกเป็นสามช่วง หนึ่งคือยุคของพวกเรา ก่อนหน้าคือยุคโบราณ ก่อนหน้ายุคโบราณก็คือ ยุคบรรพกาล สัตว์เทพฮุ่นตุ้นเป็นสัตว์เทพยุคบรรพกาล!”

“อะไรนะ สัตว์เทพบรรพกาล! นั่นไม่เท่ากับว่าแข็งแกร่งกว่ามังกร หงส์ไฟ และกิเลนอีกหรือ” คนจำนวนไม่น้อยถามขึ้น

หลวนถูเจินจวินส่ายหน้าตอบ “อาศัยด้านพลังสามารถไม่อาจเปรียบกันได้ เพียงแต่สัตว์เทพบรรพกาลต้องมีความพิเศษอย่างแน่นอน ข้าเคยอ่านเรื่องสัตว์เทพบรรพาลจากตำราโบราณเพียงเล็กน้อย หากมิใช่ฝนไร้สี ก็คงไม่คิดถึงสัตว์เทพฮุ่นตุ้นแน่”

ทุกคนต่างมีข้อถกเถียงกัน ลมฝนสงบลงแล้ว สะพานวิญญาณปรากฏอยู่ข้างกายมั่วชิงเฉิน นกยูงวิญญาณหงส์วิญญาณต่างร่ายรำ มีเสียงดนตรีเบาๆ ดังขึ้น

ในยามที่บรรยากาศนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ เมื่อมั่วชิงเฉินลืมตาขึ้น ภาพลวงตาทั้งหลายล้วนหายไปจนหมดสิ้น

มั่วชิงเฉินลุกขึ้น แววตาสุกสกาวมองทุกคน สองเท้าเยียบย่ำความว่างเปล่าเดินเข้ามาทีละก้าว

ทุกคนตกใจเมื่อไม่ได้เห็นภาพพลังวิญญาณแผ่พุ่งยามผู้บำเพ็ญเพียรเพิ่งทะลวงเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดได้ หญิงสาวที่เดินเหยียบผ่านอากาศว่างเปล่ามานั้นดูเหมือนสามัญชนคนธรรมดาก็มิปาน

“กูเย่ว์หมัวจวิน ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนางนี้ไม่ใช่ธรรมดา ดูท่าผู้บำเพ็ญเพียรฝั่งพวกเขาได้ผู้ช่วยฝีมือดีเพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว” หมัวจวินระดับก่อกำเนิดผู้หนึ่งแอบส่งเสียงให้กูเย่ว์หมัวจวิน

กูเย่ว์หมัวจวินสีหน้าเย็นชา ตอบกลับไปว่า “ภายหน้าคอยจับตาไว้ให้ดี สตรีนางนี้ฐานะไม่ธรรมดา ไม่อาจแตะต้องได้ง่าย”

ใครก็รู้ว่าพรต มาร และปีศาจสามฝ่ายนี้ไม่มีทางสามัคคีกันได้เป็นเวลานาน ผูกพันธมิตรชั่วคราว เมื่อแตกแยกเพราะหมดผลประโยชน์แล้ว ถึงเวลานั้น ผู้บำเพ็ญเพียรฝีมือดีของต่างฝ่ายล้วนเป็นอุปสรรคขวางเท้าทั้งสิ้น

เพียงแต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดมิใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำต้อย หากคิดสังหารให้สิ้นซากก่อน ทันทีที่เรื่องแดงออกไป สองสำนักต้องฆ่าฟันกันถึงขั้นไม่ตายไม่เลิกราอย่างแน่นอน

กูเย่ว์หมัวจวินมองหญิงสาวเดินยิ้มเข้ามาก็สั่นไหว สีหน้ากลับไม่แปรเปลี่ยน เพียงคิดถึงเฮ่ออีหลังศิษย์ที่โดดเด่นของสำนักกลับไม่อยู่ในสิบเก้าคนนี้ ก็ถอนใจเบาๆ

มารขาดผู้นำ หรือนี่เป็นลิขิตสวรรค์กัน

เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่า เฮ่ออีหลังนั้นติดตามโลกดวงดาวที่หลุดออกจากวงโคจรไปสู่ดาวที่ไม่รู้จักดวงอื่นแล้ว ทั้งได้พบประสบการณ์ชวนให้คนตกตะลึง ภายหน้าได้พบมั่วชิงเฉินโดยบังเอิญอีกครั้ง ก็เป็นเรื่องของวันหน้าแล้ว

ครั้นเห็นคนเดินล่องนภามา เยี่ยเทียนหยวนก็ทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เขาเข้าไปรับ กุมมือมั่วชิงเฉินไว้ “ชิงเฉิน”

มั่วชิงเฉินกับเยี่ยเทียนหยวนสบตากันอยู่นาน แววตาเต็มไปด้วยความยินดี ตื่นเต้น และมีความสุข สุดท้ายก็คือความเบิกบาน เรียกเสียงโห่ร้องหวานแหววจากบรรดาศิษย์พี่ได้

เมื่อผ่านพ้นการเกิดแก่เจ็บตายของมนุษย์ นางกลับรู้สึกว่าความสูงส่งความโด่ดเด่นเหนือหน้าอะไรนั่น ล้วนไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ

อยากร้องไห้ก็ร้อง อยากหัวเราะก็หัวเราะ ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและเป็นจริง ท่องไปอย่างเสรี นี่ถึงจะไม่ผิดต่อการบำเพ็ญเซียน

สองคนเดินจูงมือกันไปทางที่ทุกคนอยู่ ครั้นอยู่ต่อหน้าเสวียนหั่วเจินจวิน มั่วชิงเฉินก็ยอบกาย “คารวะเจินจวิน”

เสวียนหั่วเจินจวินยิ้มหน้าบ้าน โบกพัดในมือเอ่ยว่า “เรียกท่านเทียด เรียกท่านเทียด”

ทุกคนต่างกลอกตา คิดจะบอกอะไรหรือ ใครไม่รู้ว่าสองคนนี้เป็นคนรุ่นหลังของเจ้ากัน ช่างโอ้อวดนักเชียว ไม่เก็บศักดิ์ศรีของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเสียบ้าง

นี่ๆ พวกเจ้าอิจฉาล่ะสิ

ในใจเกิดเสียงดังแย้งขึ้น ทุกคนได้แต่ปล่อยผ่านไป

มั่วชิงเฉินลุกขึ้นมองกู้หลี

กลุ่มคนขวางคนทั้งสองไว้ ทว่ารอยยิ้มสุกสกาวคล้ายแสงจันทร์ของอีกฝ่ายกลับอยู่ในใจนาง

มั่วชิงเฉินเดินเข้าไปคารวะ “อาจารย์…”

เมื่อเงยหน้ามองกู้หลี ดวงตาของนางอัดแน่นไปด้วยความยินดีและความเคารพอย่างบริสุทธิ์ใจ

กู้หลีเอื้อมมือพยุงมั่วชิงเฉิน แย้มยิ้มดังเดิม “ชิงเฉิน ยินดีกับเจ้าด้วย”

“อาจารย์ ศิษย์ไม่ทำให้ท่านขายหน้ากระมัง รอถึงงานเลี้ยงฉลองข้าเลื่อนระดับก่อกำเนิดได้ ท่านต้องมอบรางวัลใหญ่ให้ข้านะ ชดเชยของขวัญกราบอาจารย์ในปีนั้นไปด้วย” มั่วชิงเฉินลุกขึ้นไปยืนข้างกายกู้หลี แอบส่งเสียงกล่าว

กู้หลียิ้มอย่างสง่างาม ไม่เจือมลทินเลยสักน้อย เขาหลุบตาลงปิดบังความเหงาน้อยๆ ในแววตา  “แน่นอน”

ในที่สุดศิษย์คนเล็กของเขาก็บรรลุถึงระดับก่อกำเนิด กลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรขั้นเดียวกับเขา ภายหน้าอาจไปได้ไกลกว่าเขาอีก เช่นนี้ก็ดี เช่นนี้ก็ดีแล้ว

เพียงแต่ด้านหลังมั่วชิงเฉินยังมีอีกหลายคนที่ยังฝ่าระดับก่อกำเนิดไม่สำเร็จ หนึ่งในนั้นคือนักพรตจื่อซี

ผ่านไปอีกครึ่งปี ในบรรดาคนที่เหลืออยู่มีคนผู้หนึ่งดับสูญไป นอกจากนักพรตจื่อซีที่ยังกักตัว คนอื่นๆ ล้วนฝ่าระดับสำเร็จแล้ว

ก่อนหน้าเคยบอกแล้วว่า ผู้บำเพ็ญเพียรทะลวงระดับก่อกำเนิดต้องฝ่าด่านทั้งสามด่าน ได้แก่คำถามมรรคา สลายแก่นก่อกำเนิด และใจมารกัดกิน

คนที่จิตใจไม่มั่นคง ไม่อาจผ่านด่านแรกได้ ร่างกายแจะจิตวิญญาณจะไม่เสียหาย รอภายหน้าเมื่อจิตใจมั่นคงแล้วก็สามารถทะลวงระดับก่อกำเนิดได้อีก

คนที่จิตใจมั่นคงทว่าการบำเพ็ญไม่แข็งแกร่งพอก็จะพ่ายแพ้ในด่านที่สอง

ในด่านนี้จะแบ่งออกเป็นสองสถานการณ์ หนึ่งคือระดับการบำเพ็ญไม่พอ ไม่มีมากเพียงพอเพื่อสลายแก่น เช่นนี้ก็รอจนการบำเพ็ญถึงขั้นสมบูรณ์แล้วค่อยกลับมาทะลวงระดับใหม่

ส่วนอีกสถานการณ์ก็คือการบำเพ็ญขาดไปเล็กน้อย แก่นทองคำแตกสลาย ก่อกำเนิดไม่สำเร็จ เช่นนี้ปัญหาจะใหญ่โตแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรจะสูญเสียตบะบำเพ็ญทั้งหมด กลับไปเริ่มต้นบำเพ็ญใหม่

แต่ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้จะบำเพ็ญได้เร็วกว่าผู้บำเพ็ญเพียรอื่นๆ มาก ไม่ต้องใช้เวลาถึงร้อยปี ก็จะอยู่ในระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์ได้

ที่ร้ายกาจที่สุดคือด่านใจมารกัดกิน ฝ่าด่านไปได้จะเลื่อนสู่ระดับก่อกำเนิดสำเร็จ หากไม่อาจผ่านได้ก็จะดับสูญ

ในบรรดาคนทั้งสิบเก้านี้ เพราะประสบการณ์พิเศษ ทุกคนถึงได้อยู่ในสภาวะสมบูรณ์พร้อม ทะลวงระดับก่อกำเนิดด้วยตัวเอง สองด่านแรกนั้นไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดๆ สัดส่วนผู้ฝ่าด่านทั้งสามไปได้สูงจนชวนให้คนตกใจ

ไม่นับนักพรตจื่อซี อีกสิบแปดคนที่เหลือมีเพียงห้าคนที่ดับสูญ กลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสิบสามคน เมื่อได้ออกไปก็จะกลายเป็นข่าวที่ชวนให้ทั่วหล้าตกตะลึง

สายตาคนทั้งหลายตกอยู่บนร่างนักพรตจื่อซีที่ยังไม่ทะลวงระดับสำเร็จ

“ชิงเฉิน จื่อซีเป็นอะไรไป” กู้หลีถาม

ตอนอยู่ในสำนักเหยากวง นักพรตจื่อซีทะลวงระดับก่อกำเนิดถึงสองครั้งแล้ว ถึงจะล้มเหลวแต่ก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์ หลังจากบำเพ็ญเพียรคู่สภาวะจิตก็เต็มเปี่ยม ไม่มีเหตุผลที่จะทะลวงระดับก่อกำเนิดได้ช้าขนาดนี้

นี่น่าแปลกประหลาดก็คือ นางถึงกับติดอยู่ในด่านที่สอง ชวนให้คนขบคิดไม่ตกเสียจริง

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี
Status: Ongoing
สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset