“แว้ดๆ อะไรเรียกว่าทะนุถนอมอิสตรี?” อีกาไฟสะบัดขนบนตัว ทำหยดน้ำกระเซ็นไปทั่ว
คุณชายหกมือชะงักทันที มองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งอย่างทุลักทุเลเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินกลับผูกเชือกเสื้อคลุมให้ดีอย่างสงบมาก แล้วยิ้มให้คุณชายหกว่า “ขอบคุณ”
จากนั้นยกคางแผ่วเบาอธิบายอย่างอดทนต่ออีกาไฟที่หยุดอยู่กลางอากาศว่า “ทะนุถนอมอิสตรี หมายถึงผู้ชายดูแลเอาใจใส่ต่อหญิงสาวที่รัก ดังนั้นคุณชายสี่พูดเช่นนี้ไม่ถูก” ท่าทางเป็นการเป็นงานก็เหมือนอาจารย์ที่สอนสั่งเด็กน้อยที่ไม่เดียงสา
อีกาไฟสางขนอย่างเอื่อยเฉื่อยทีหนึ่ง เหลือกตาขาวครึ่งหนึ่งเหลือบมองคุณชายสี่ปราดหนึ่งว่า “ที่แท้ความหมายเช่นนี้เองหรือนี่…”
อีกาลากเสียงยาวแล้วพูดเช่นนี้ ก็เหมือนกำลังเยาะเย้ยคุณชายสี่ที่โง่เขลาขนาดไหนอย่างไรอย่างนั้นแหละ
มั่วชิงเฉินกลับเหมือนไม่เห็นพยักหน้าว่า “เจ้าต้องจำไว้นะ ต่อไปอย่าใช้ส่งเดช คนอื่นจะได้ไม่หัวเราะเยาะข้าที่สอนเจ้าไม่ดี”
“แว้ดๆ รู้แล้วน่ะ ข้าโง่ปานนั้นเลยหรือ?” อีกาไฟพูดพลางยังบุ้ยปากไปทางคุณชายสี่ด้วยสีหน้าน่าอัด
“แค่กๆ” คุณชายหกรีบเอามือปิดปากไอเสียงต่ำ ปิดบังเสียงหัวเราะที่เกือบกลั้นไว้ไม่อยู่แล้ว ความอักอ่วนเล็กน้อยเมื่อสักครู่หายไปเป็นปลิดทิ้งทันที
เอ็นสีเขียวบนมือคุณชายสี่เต้นระริก อดกลั้นความหุนหันพลันแล่นที่จะเข้าไปถอนขนอีกาไฟไว้แล้วมองดูหน้าที่ไม่รู้สึกรู้สมของมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง ทันใดนั้นรู้สึกว่าแม่นางมั่วที่ประวัติความเป็นมาลึกลับคนนี้ช่างทำให้คนคาดเดาไม่ถูก จะให้นางเชื่อฟังเขาอย่างหมดจิตหมดใจเหมือนหญิงสาวที่ผ่านมาพวกนั้นเกรงว่าจะไม่ง่ายปานนั้น
เมื่อคิดดูอีกที ขอเพียงได้ตัวของนางแล้ว นางยังบินขึ้นฟ้าไปได้หรืออย่างไร ต่อให้จิตใจนางไม่อยู่ที่ตนแล้วเป็นเช่นไร สิ่งที่เขาต้องการก็เป็นเพียงนางที่สามารถนำผลประโยชน์มาให้การบำเพ็ญเพียรของตนเท่านั้น เขาไม่เหมือนสุภาพบุรุษจอมปลอมบางคนหรอกนะ ที่พูดอยู่ตลอดเวลาว่าต้องได้ใจของหญิงสาวอย่างโน้นอย่างนี้
คิดมาถึงตรงนี้ แสงเย็นเยียบในตาแวบขึ้น จึงหันสายตาไปทางอื่น
“พี่สี่ พวกเราจะสำเร็จแล้วใช่หรือไม่?” คุณชายสิบเจ็ดที่สำลักน้ำเข้าไปเต็มท้องรู้สึกเพียงว่าอวัยวะภายในเหมือนแข็งเป็นน้ำแข็ง หนาวเข้ากระดูก
มองดูสีหน้าที่ซีดเซียวจนน่าตกใจของคุณชายสิบเจ็ด คุณชายสี่แอบพูดในใจว่าครั้งนี้เกรงว่าน้องสิบเจ็ดต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะฟื้นคืนสภาพเดิมได้ ใบหน้ากลับไม่กระโตกกระตากว่า “ยี่สิบปีก่อนข้าเหยียบขึ้นเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่ง ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณนั่นจึงเสนอเงื่อนไขต่อข้าข้อหนึ่ง ว่าไปก็โชคดี สิ่งของที่ข้าพอดีพกติดตัวมาสามารถทำให้มันพอใจได้ จึงได้น้ำตาหยดหนึ่งอย่างราบรื่น”
“เช่นนี้แล้ว รออีกสักครู่ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณก็จะเสนอเงื่อนไขให้พวกเราเช่นนั้นหรือ?” คุณชายสิบเจ็ดถามอย่างอยากรู้อยากเห็น เขาเพิ่งรอดพ้นมาจากความตาย ไม่กล้าประมาทอีกแล้ว
คุณชายสี่กวาดสายตามองพวกคุณชายหกสองคนปราดหนึ่ง ส่ายศีรษะว่า “ข้าก็ไม่รู้ ข้าได้ยินท่านปรมาจารย์เคยพูดไว้ ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณที่คนที่มาตามหาน้ำตาพบไม่แน่ว่าจะเป็นตัวเดียวกันทุกครั้ง ดังนั้นตกลงต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นไรก็ไม่อาจรู้ได้ มีที่เสนอเงื่อนไข มีที่จะสู้กับคนที่มาตั้งหนึ่ง ยังมีที่เพียงแค่หยอกล้อคนที่มาเท่านั้น ทำให้เขาต้องกลับมือเปล่า…”
คุณชายหกฟังแล้วรู้สึกเศร้าใจ การตามหาน้ำตาของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณไม่ใช่เป็นเพียงการตัดสินการจัดสรรของโอสถทิพย์เท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้นคือเป็นการทดสอบที่มีต่อผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหวัง
ตระกูลหวังแผ่อำนาจในทะเลขนาบใจมามากกว่าพันปี ใหญ่อยู่ตระกูลเดียว หากในตระกูลขาดการแข่งขันขัดเกลา เช่นนั้นก็จะหยุดอยู่กับที่ไม่ก้าวหน้า กระทั่งถึงสุดท้ายจะมีความเสี่ยงในการแตกแยกเป็นเสี่ยงๆ
ดังนั้นการทดสอบตามหาน้ำตาปลาปีศาจเกี่ยววิญญาณผู้อาวุโสระดับสูงในตระกูลหวังให้ความสำคัญอย่างมากมาตลอด ในเวลาเดียวกันผู้บำเพ็ญเพียรที่ผ่านการทดสอบได้สำเร็จกลับถึงในตระกูลจะปิดปากเงียบไม่พูดถึงการทดสอบครั้งนั้นๆ สำหรับคนรุ่นต่อไปแล้ว การเดินทางสู่การทดสอบยังคงเต็มเปี่ยมด้วยความไม่รู้และลึกลับ ตนเคยเข้าร่วมการทดสอบมาครั้งหนึ่ง อีกทั้งเตรียมการสำหรับการนี้มาสิบปี นี่ถึงรู้สถานการณ์บางอย่าง ไม่คิดว่าปรมาจารย์ในตระกูลผู้นั้นกลับบอกข้อมูลที่ล้ำค่ามากมายแกหวังสี่ตั้งนานแล้ว
นึกถึงสิ่งที่ปรมาจารย์ผู้นั้นทำแล้ว คุณชายหกแอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สายตาที่มองไปที่คุณชายสี่แฝงด้วยความหมายบอกไม่ถูกขึ้นมา
มั่วชิงเฉินมาจากตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรเช่นกัน คำพูดคุณชายสี่สั้นๆ ไม่กี่ประโยคนี้ นางฟังออกทันทีถึงฐานะของเขาในตระกูลหวังที่ไม่เหมือนลูกหลานทั่วไป แอบคิดเองว่า ฐานะของเขาในตระกูลหวังอาจจะเหมือนพี่เก้ามั่วเฟยเยียนในตระกูลมั่วในปีนั้นกระมัง
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หากพี่สิบสี่อยู่อย่างไม่มีความสุข ตนคิดจะวางแผนเพื่อช่วยพี่สิบสี่ ก็ไม่ง่ายดายขนาดนั้นแล้ว?
มั่วชิงเฉินที่ตากลมที่พัดมาจากทะเลสาบเย็นไปทั้งตัว นางเก็บความคิดขึ้นแล้วมองไปที่เกาะเล็กที่เข้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เงาอันงดงามบนโขดหินที่หันหลังให้ทุกคนแหงนมองท้องฟ้าชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แล้วสามารถเห็น ผมดุจแพรไหมของนางตกลงมาถึงเอวได้รางๆ บดบังแผ่นหลังที่สะอาดหมดจดไว้ มองต่ำลงไปอีก กลับเป็นหางปลาที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีเขียวเส้นหนึ่ง กำลังตีคลื่นอย่างเอ้อระเหย
เสียงเพลงของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณไม่เคยหยุดมาก่อน เพียงแต่กลับไม่มีพลังล่อลวงใจคนเช่นนั้นแล้ว สิ่งที่นำมาให้ทุกคนคืองานเลี้ยงทางโสตประสาทที่ไพเราะดั่งเสียงสวรรค์แต่กลับเศร้าระทม
ใช่แล้ว ยิ่งมีสติ ยิ่งสามารถสัมผัสถึงความทุกข์ระทมที่ปิดบังไม่มิดในเสียงเพลงของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณ ความเศร้าโศกตรงเข้าไปถึงส่วนลึกของวิญญาณ กลับทำให้คนหลงใหลตราตรึงใจ
มั่วชิงเฉินตกใจโดยพลัน เห็นคุณชายสี่บังคับเรือเล็กเอียงออกจากทิศทางของเกาะเล็ก ทิศทางที่ไปเป็นที่ที่ห่างจากทุกคนไม่ถึงสิบจั้งไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรปรากฏหน้าผาขึ้นแห่งหนึ่ง!
มั่วชิงเฉินเหงื่อเย็นไหลโทรมกายทันที ถึงได้รู้ถึงความน่ากลัวของเสียงเพลงนี้
สิ่งนี้เปรียบเหมือนแผนในแผน ใช้เสียงเพลงสะกดจิตคนอยู่ก่อน หากผู้ที่มาได้สติขึ้นมาเดินทางมุ่งไปเกาะเล็ก หลงคิดว่าผ่านด่านนี้แล้วจึงผ่อนคลายจิตใจ ก็จะถูกเสียงเพลงสะกดจิตเป็นครั้งที่สองโดยไม่รู้ตัว และการสะกดจิตครั้งนี้ต่างจากความไม่มีสติสัมปชัญญะในครั้งที่หนึ่งโดยสิ้นเชิง แต่กลับทำให้คนรู้สึกว่าตนมีสติดีอยู่
ความน่ากลัวก็อยู่ที่ตรงนี้ หากผู้ที่มามีมากกว่าหนึ่งคน การสูญเสียสติสัมปชัญญะภายใต้สถานการณ์ที่ทุกคนต่างหลงคิดว่ามีสติอยู่ เช่นนั้นก็จะไม่มีใครสามารถเตือนสติกันได้แล้ว
มั่วชิงเฉินปล่อยเถาวัลย์ออกพันแขนของคุณชายสี่ไว้ มือออกแรงลากเขาออกห่าง แม้เรือเล็กนี้ตนไม่ได้เป็นคนหลอม บังคับขึ้นมาก็เปลืองแรงอยู่บ้าง ทว่าบังคับไม่ให้เดินหน้าต่อกลับเพียงพอแล้ว
ดีที่การกระทำที่ขัดขวางคุณชายสี่บังคับเรือในเวลาเดียวกันได้ตัดความลุ่มหลงที่เขามีต่อเสียงเพลง หลังจากนั้นคุณชายหกและคุณชายสิบเจ็ดก็ฟื้นขึ้นมาตามกัน
“เกือบไปแล้ว ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณร้ายกาจเสียจริง!” คุณชายสิบเจ็ดยังกลัวไม่หาย มองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ จากนั้นแอบส่งเสียงทางจิตว่า “พี่สี่ แม่นางมั่วคนนี้มีฝีมืออยู่บ้างจริงๆ แหะๆ มิน่าครั้งนี้พี่สี่ถึงคิดจะแต่งงานตามประเพณีแล้ว”
คุณชายสี่ตอบว่า “ยามนี้ไม่ใช่เวลาพูดเรื่องนี้ น้องสิบเจ็ด ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณในครั้งนี้เกรงว่าจะไม่ธรรมดา ครั้งที่แล้วข้าจำได้ว่าครั้งแรกที่ฟื้นคืนสติจากเสียงเพลง ก็ถึงบนเกาะโดยตรงเลย”
“ความหมายของท่านคือ…” คุณชายสิบเจ็ดหนักใจทันที
คุณชายสี่ถอนใจว่า “เอาเป็นว่าเจ้าเองก็ระวังหน่อย ตกลงเป็นเช่นไรกันแน่ข้าก็ยากจะคาดเดา เพียงแต่คาดว่าระดับชั้นของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณในครั้งนี้ต้องสูงกว่าครั้งที่แล้วแน่นอน!”
อีกทางหนึ่ง คุณชายหกส่งเสียงทางจิตให้มั่วชิงเฉินเช่นกัน “แม่นางมั่ว เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้อีกแล้ว ขอบคุณ”
มั่วชิงเฉินตอบว่า “คุณชายหกเกรงใจไปแล้ว พวกเราเพียงแต่ต่างคนต่างใช้ประโยชน์จากกันและกันเท่านั้น”
ในใจแอบคิดว่ามาเป็นเพื่อนเขาเที่ยวนี้แม้อันตรายค่อนข้างมาก ทว่าหนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร เดิมทีก็ยิ่งอันตรายโอกาสวาสนาก็ยิ่งมาก ยิ่งกว่านี้คุณชายหกผู้นี้ใจกว้างมาก ไม่เพียงรับปากว่าหลังจากทดสอบจบลงไม่ว่าสำเร็จหรือไม่ก็จะมอบถุงหอมให้ตนใบหนึ่ง หากกระสายยาที่ได้มีมาก สามารถได้โอสถทิพย์ของตระกูลหวังสองเม็ดขึ้นไปละก็ เขาก็จะมอบให้ตนเม็ดหนึ่ง
แล้วก็ได้ยินคุณชายหกส่งเสียงทางจิตอีกว่า “แม่นางมั่ว แม้จะเป็นเช่นนี้ ทว่าข้าน้อยยังคงซาบซึ้งยิ่งนัก”
เสียงมั่วชิงเฉินแฝงไว้ด้วยการยิ้ม “หากคุณชายหกเกรงใจจริงๆ ละก็ รอหลังจากกลับไปให้ข้าไปอาศัยบ้านท่านสักสองสามวัน ประหยัดค่าที่พักสักหน่อยก็แล้วกัน”
คุณชายหกชะงัก คิดอะไรได้ ความรู้สึกที่แม่นางมั่วผู้นี้ให้คนอื่นคือใจเย็นมีสติสัมปชัญญะ รักษาระยะห่างกับคนอื่น เหตุใดยามนี้กลับยื่นข้อเรียกร้องเช่นนี้?
หรือว่า…นางรู้สึกพิเศษกับตนอยู่บ้างจริงๆ?
ต่อให้คุณชายหกใจมีเจ้าของ เมื่อนึกถึงผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่เก่งกาจเช่นนี้คนหนึ่งรู้สึกกับตนต่างจากคนอื่นก็อย่างไรก็ดีใจตนพูดไม่ออกอยู่บ้าง
ที่จริงนี่ก็เป็นเรื่องปกติ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งแม้บอกว่าอย่างน้อยก็ต้องมีอายุหลายสิบปีแล้ว อยู่ในโลกฆราวาสก็มีครอบครัวหน้าที่การงานมั่นคงไปนานแล้ว ทว่าในโลกบำเพ็ญเพียร ในเรื่องความรักพวกเขาก็เหมือนชายหญิงวัยรุ่นในโลกฆราวาสที่เพิ่งจะรู้จักความรักเท่านั้น
และดูเด็กหนุ่มธรรมดาก็รู้ คนส่วนใหญ่ต่อให้มีคนที่รัก หากรู้ว่ามีหญิงสาวที่เก่งกาจมากมีใจให้เขา อย่างไรก็อดตัวลอยไม่ได้ นี่เป็นเพียงเรื่องความหลงตัวเองแผลงฤทธิ์เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับความรัก
ทว่ามั่วชิงเฉินไม่รู้หรอกนะว่าการที่ตนหาข้ออ้างส่งเดชเพื่อเข้าตระกูลหวังจะทำให้คุณชายหกคิดมาก รอยามที่เรือเล็กกำลังจะเข้าฝั่ง นางกำก้อนอิฐในมือไว้แน่ จ้องเงาที่งดงามนั้นไม่กะพริบตา
ทว่าท่ามกลางสายตาทุกคนนั่นเอง เงาที่งดงามนั้นไม่คิดเลยว่าจะหายไปกลางอากาศแล้ว
“พี่สี่?” คุณชายหกตกใจกลัว
คุณชายหกโบกมือว่า “อย่าเพิ่งรน ขึ้นเกาะก่อนค่อยว่ากัน”
คุณชายสี่พูดจบเก็บเรือเล็กขึ้นแล้วก้าวขึ้นเกาะ ในยามที่คนสุดท้ายก้าวขึ้นเกาะนั่นเอง มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าตรงหน้าแสงสีขาวเรืองรอง ในสมองโล่งไปหมด ทำได้เพียงทันเก็บอีกาไฟกลับเข้าถุงอสูรวิญญาณเท่านั้น
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง มั่วชิงเฉินมองอย่างงงงัน ยังคงเป็นเกาะเล็กแห่งนั้น ทว่าข้างกายกลับไม่มีเงาของคนอื่น
“เจ้าฟื้นแล้วหรือ?” เสียงที่อ่อนโยนเหมือนลมในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านอีกทั้งแฝงไว้ด้วยความโศกเศร้ารางๆ ลอยมา
โตจนขนาดนี้ ยังเป็นครั้งแรกที่มั่วชิงเฉินได้ยินเสียงที่ไพเราะเช่นนี้
“เสียงนี้มีได้เพียงบนฟ้าเท่านั้น ในโลกมนุษย์จะได้ฟังสักกี่ครากัน มิน่าคนธรรมดาอย่างพวกเราฟังแล้วถึงอายุสั้น” มั่วชิงเฉินสงบสติอารมณ์ รำพึงรำพันว่า
“หึๆๆ หลายปีขนาดนี้ ยังเป็นครั้งแรกที่ได้เจอนางหนูน้อยที่มีจิตวิญญาณถึงเพียงนี้” เสียงที่ไพเราะดังเสียงสวรรค์นั้นลอยมา มีชีวิตชีวากว่าก่อนหน้านี้ จากนั้นเงาร่างหนึ่งค่อยๆปรากฏขึ้นต่อหน้ามั่วชิงเฉิน
ใบหน้าที่หมดจด ผิวพรรณดังหยก คอยาวระหงแขวนสร้อยมุกกระจ่างใสพวงหนึ่งไว้ หน้าอกใช้เพียงเปลือกหอยสีขาวบริสุทธิ์สองอันบดบังไว้ ผมยาวหนาสยายออกอย่างตามสบาย บดบังความงดงามไปครึ่งใหญ่ เพียงแต่การตัดและขับกันของดำและขาว กลับทำให้เห็นถึงความงดงามที่ไม่ควรจะมีอยู่ในโลกมนุษย์
หางปลาสีทองและร่างคนต่อกันตามธรรมดา ยิ่งเติมความงามเย้ายวนที่น่าตระหนกตกใจ
ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณที่งดงามพิจารณามั่วชิงเฉินอย่างสงบ พลานุภาพที่แผ่ซ่านออกอย่างไม่ได้ตั้งใจกลับทำให้มั่วชิงเฉินพรั่นพรึง พลังอำนาจเช่นนี้ ต่อให้เป็นอาจารย์ก็ไม่เคยมี หรือว่ามันเป็นอสูรปีศาจชั้นแปดที่เทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์ระดับก่อกำเนิดระยะต้น? หรืออาจจะ ยิ่งสูงกว่านั้น?