เสื้อเขียวดุจต้นหลิว แก้มแดงตาคม มักมีท่าทีสูงส่งโดดเด่น ผู้มาก็คือ คุณหนูใหญ่หร่วนหลิงซิ่วแห่งสำนักลั่วสยา
หร่วนหลิงซิ่วหลงใหลเยี่ยเทียนหยวน และเกลียดชังมั่วชิงเฉิน เขาน้อยที่ติดตามมั่วชิงเฉินมาหลายปีย่อมรู้ในจุดนี้ดี พอเห็นใบหน้าผู้มาชัดเจน เขาน้อยก็ตาโตทันที เตรียมปกป้องนายเต็มที่
หร่วนหลิงซิ่วจ้องมองเขาน้อย รูปลักษณ์ของอสูรเขาเดี่ยวทำให้คนชื่นชอบได้อย่างไม่ต้องสงสัย นางชื่นชมเขาน้อยโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็หันมองอีกด้าน กลับอึ้ง “ชิงเฉิงเจินจวิน?”
ว่าแล้วก็อดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
“เจ้า เจ้าจะทำอะไรน่ะ” เขาน้อยจ้องหร่วนหลิงซิ่วเขม็ง พยายามยืนหยัดไม่ถอย
หร่วนหลิงซิ่วขมวดคิ้ว “ชิงเฉิงเจินจวินเป็นอะไรหรือ”
เขาน้อยไม่ตอบ คล้ายมองหร่วนหลิงซิ่วอย่างระแวดระวัง
หร่วนหลิงซิ่วสงสัยอยู่บ้าง จึงกวาดตามองมั่วชิงเฉินให้ถ้วนถี่อีกครั้ง แล้วจึงอุทาน “ชิงเฉินเจินจวินนาง นางดับสูญแล้วหรือ”
เขาน้อยอย่างไรก็มีนิสัยบริสุทธิ์ พอได้ยินหร่วนหลิงซิ่วพูดเช่นนี้ สีหน้าพลันเปลี่ยน “เจ้าอย่าเข้ามานะ ไม่อนุญาตให้เข้าใกล้ร่างนายข้า!”
พอรู้ว่ามั่วชิงเฉินเสียชีวิตอย่างแน่นอนแล้ว หร่วนหลิงซิ่วก็รู้สึกไม่เชื่อขึ้นวาบหนึ่ง ก่อนพึมพำ “เป็นไปได้อย่างไร”
หลายปีก่อน นางทะลุมิติมายังโลกอันอัศจรรย์นี้ ครอบครองร่างกายนี้ และรับรู้ความทรงจำกระจัดกระจายของเจ้าของร่างเดิม แต่ที่ประทับอยู่ในความทรงจำมากสุดมีสามคนด้วยกัน คนหนึ่งคือบิดาเจ้าของร่างเดิม เจ้าสำนักลั่วสยาจิ้งเหยียนเจินจวิน ส่วนอีกสองคนก็คือเยี่ยเทียนหยวนกับมั่วชิงเฉิน
อาจเป็นความรู้สึกที่ยังหลงเหลืออยู่ของเจ้าของร่างเดิม ทำให้ทุกครั้งที่นึกถึงสองคนนี้ อารมณ์ทั้งรักทั้งชังถึงส่งผลต่อความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลของนาง กระทั่งบางครั้งนางยังสงสัยว่า จิตสำนึกของเจ้าของร่างเดิมไม่ได้หายไป แต่หลับใหลอยู่ในมุมใดมุมหนึ่ง
ทุกครั้งที่ความคิดเช่นนี้วาบขึ้น มักทำให้นางสั่นสะท้าน
หร่วนหลิงซิ่วเหลือบมองมั่วชิงเฉิน แล้วคิดในใจ ช่างเถอะ ชิงเฉิงเจินจวินผู้นี้ส่งผลกระทบต่อเจ้าของร่างเดิมมากขนาดนี้ ยังคงเข้าไปยุ่งเกี่ยวให้น้อยจะดีกว่า
พอคิดถึงตรงนี้ ก็หันกายหมายจากไป แต่สมองพลันมีเสียง เปรี้ยง ดังมา ตลอดทั้งร่างจึงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
เสียงที่เกือบจะคลุ้มคลั่งเสียงหนึ่งแหกปากร้องอยู่ในสมองนาง ‘กลับไป เจ้าต้องกลับไปเดี๋ยวนี้!’
หร่วนหลิงซิ่วตัวแข็งมากขึ้น จึงใช้จิตสำนึกถามอย่างตื่นกลัว ‘เจ้าเป็นใคร’
เสียงในสมองหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง ‘ฮ่าๆๆ เจ้ายังมีหน้ามาถามว่าข้าเป็นใครอีกรึ เจ้าโจรขโมยร่าง!’
“เจ้า เจ้าคือหร่วนหลิงซิ่ว?” ในความตื่นกลัว หร่วนหลิงซิ่วเผลอโพล่งออกมา
เขาน้อยที่กำลังยืนเผชิญหน้ากับหร่วนหลิงซิ่ว เห็นว่าจู่ๆ นางก็ยืนนิ่งไม่ขยับ และแสดงออกทางสีหน้าหลายความรู้สึก ตามด้วยการพูดเช่นนี้ออกมา พลันรู้สึกสับสน จึงทำปากยื่นอย่างไม่พอใจ “เจ้านั่นแหละคือหร่วนหลิงซิ่ว!”
หร่วนหลิงซิ่วกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองคำพูดของเขาน้อย ด้วยกำลังสนทนากับเสียงในสมอง
‘ไม่ ไม่ ข้าไม่ได้ขโมยร่าง ตอนข้าฟื้นขึ้นมา เจ้าก็ตายไปนานแล้ว’ หร่วนหลิงซิ่วอธิบาย
ตอนนางเข้าสู่ร่างนี้ ระดับบำเพ็ญเพียรของผู้บำเพ็ญเพียรก่อแก่นปราณยังคงอยู่ ความทรงจำแม้กระจัดกระจาย แต่การเสริมความรู้ทั่วไปของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรในหลายปีมานี้ ก็ทำให้รู้พอประมาณอยู่ ย่อมรู้ว่าการขโมยร่างคืออะไร
การขโมยร่าง ก็คือการบีบบังคับ ด้วยการไล่วิญญาณของร่างกายที่ได้เลือกไว้ออกไป แล้วเข้าแทนที่ ซึ่งนาง นางไม่ทำเช่นนั้นหรอก
ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเย็นชาในสมอง ‘เฮอะ แสร้งทำเป็นคนดีจริงๆ ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ฉวยโอกาสตอนที่จิตวิญญาณข้าบังเอิญออกจากร่าง ครอบครองร่างกายข้า พอจิตวิญญาณข้ากลับร่างไม่ได้แล้วเป็นอย่างไร ข้ายอมให้ร่างนี้เน่าเปื่อย กลายเป็นธุลี ก็ไม่ยอมให้หัวขโมยคนหนึ่ง นำผิวหนังข้ามาคลุมแล้วเที่ยวหลอกลวงไปทั่ว!’
วาจาเหล่านี้แต่ละคำดุจคมมีด เสียงของหร่วนหลิงซิ่วสั่นน้อยๆ ‘ข้า ข้าไม่ได้หลอกลวงไปทั่ว แม้ข้าครอบครองร่างเจ้า แต่หลายปีมานี้ก็มุมานะบำเพ็ญเพียร เคารพนับถือบิดา เป็นสหายที่ดี ชื่อเสียงและความนิยมดีขึ้นมาก หรือเจ้าไม่ดีใจ’
เสียงในสมองโกรธจนเสียงสั่น ‘ไสหัวไป ไปให้พ้นๆ โจรไร้ยางอายอย่างเจ้า เอาเปรียบแล้วยังมาทำเป็นพูดสวยหรูอีก!’
เสียงแหลมเล็กดุจนางมารเสียดแก้วหู ดึงเส้นสมองเส้นแล้วเส้นเล่าของนางจนขาด เจ็บปวดสุดจะเปรียบ
หร่วนหลิงซิ่วเหงื่อกาฬหลั่งไหล กุมศีรษะพลางร้องเสียงดัง “ไม่ต้องพูดแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว!”
เขาน้อยถลึงตามองหร่วนหลิงซิ่ว รู้สึกแปลกใจในแววตา จึงพึมพำ “หรือหญิงสาวนางนี้บ้าไปแล้ว แม้การเอาเปรียบผู้อื่นเป็นเรื่องไม่ดี แต่เพื่อนายท่านแล้ว ช่างมันเถอะ”
นึกถึงตรงนี้ก็ก้มศีรษะลง หันเขาเดี่ยวสีทองใส่หร่วนหลิงซิ่ว
“ฮี้…” เขาน้อยขู่เสียงเย็นชา
ทว่าเขาเดี่ยวกลับถูกสองมือของหร่วนหลิงซิ่วจับไว้ได้ ยากจะไปต่อ
เขาน้อยเงยศีรษะขึ้นอย่างยากเย็น ขณะมองดูแววตาที่วาบแสงประหลาดของหร่วนหลิงซิ่ว พลังสายหนึ่งก็พุ่งมา ผลักมันออกไป
แววตาของหร่วนหลิงซิ่วกลับไปงุนงงเช่นเดิม
เสียงในสมองหัวเราะ ‘เป็นอย่างไร เจ้านึกว่ามีเพียงเจ้าที่ควบคุมร่างนี้ได้รึ อย่าลืมสิว่าร่างนี้เดิมทีเป็นของข้า’
สีหน้าหร่วนหลิงซิ่วบัดเดี๋ยวเขียวบัดเดี๋ยวขาว แต่กลับไม่ใช่คนโง่ เงียบไปพักหนึ่งจึงว่า ‘ถ้าเจ้าควบคุมร่างนี้ได้ ก็ไล่ข้าไปนานแล้ว ไม่รอให้ถึงตอนนี้หรอก เกรงว่ามีก็แต่ตอนบังเอิญถูกกระตุ้น เจ้าถึงออกมาได้’
เสียงในสมองเดือดดาลขึ้นมา ‘เจ้ารู้ได้อย่างไร!’
หร่วนหลิงซิ่วยิ้มน้อยๆ
เงียบไปสักพัก เสียงในสมองก็ยิ้มอีก ‘ใช่ เจ้ายังไม่นับว่าโง่ เป็นไปตามที่เจ้าคาดแล้วอย่างไร ในหลายร้อยปีที่เจ้ามีชีวิตอยู่ อย่างไรข้าก็ออกมาได้สามถึงห้าครั้ง ถ้าบอกว่า รอตอนข้าออกมา แล้วไปหลับนอนกับลุงที่เฝ้าประตูสำนักลั่วสยานั่น หรือ ออกไปเที่ยวเตร็ดเตร่โดยไม่สวมเสื้อผ้าล่ะ? หลังจากตื่นขึ้นแล้ว คนอ่อนโยนใจดีอย่างเจ้าจะทำให้เรื่องเหล่านี้จบลงอย่างไรมิทราบ’
สีหน้าของหร่วนหลิงซิ่วขาวโพลน ‘เจ้า เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่’
เสียงในสมองเปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นเล็กน้อย ‘ง่ายมาก ข้าต้องการร่างของมั่วชิงเฉิน เจ้าต้องช่วยข้า!’
‘ว่าไงนะ’ หร่วนหลิงซิ่วอุทาน
เสียงในสมองเยือกเย็นลง ‘ทำไม แค่อยากให้เจ้าเข้าครอบครองร่างนาง อย่างที่เจ้าว่า นี่ไม่เรียกว่าขโมยร่าง เพราะอย่างไรนางก็ตายแล้ว’
‘นี่…’ หร่วนหลิงซิ่วลังเลใจขึ้นมา
ถ้านางให้ตนบีบบังคับเอาร่างจากคนเป็นๆ แทนนาง ตนไม่มีทางรับปากเด็ดขาด แต่ชิงเฉิงเจินจวินท่านนี้ได้ดับสูญไปแล้ว…
เทวดาในใจของหร่วนหลิงซิ่วกำลังต่อสู้กัน
เสียงในสมองเร่งรัด ‘เจ้ายังลังเลอะไรอีก อย่าลืมนะว่า เจ้าติดค้างข้า หาไม่แล้ว เจ้าก็จงรอเวลาที่ต้องขายหน้าไป ข้าพูดได้ ก็ทำได้!’
พอนึกถึงเรื่องที่เสียงในสมองพูด ใจของหร่วนหลิงซิ่วก็เย็นวาบ จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วว่า ‘ได้ ข้ารับปากเจ้า’
การสนทนาของหร่วนหลิงซิ่วสองคนในสมอง พูดแล้วยาว แต่ความเป็นจริง แค่ชั่วขณะหนึ่ง
พอเขาน้อยถูกผลักออก หลังจากลุกขึ้นยืนได้ ก็เห็นแววตาของหญิงสาวฝั่งตรงข้ามใสกระจ่างตามเดิม ขณะก้าวเข้ามาทีละก้าว
“เจ้า เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!” เขาน้อยรีบพูด ครั้งแรกที่รู้สึกว่าการเป็นอสูรเขาเดี่ยว ไม่ใช่เรื่องน่าภาคภูมิใจเลย
“อสูรน้อย เจ้าหลีกไปจะดีกว่า วางใจ ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก” หร่วนหลิงซิ่วพูดอย่างอ่อนโยน
เขาน้อยความคิดจิตใจบริสุทธิ์ แต่ก็อ่อนไหวสุดเช่นกัน ตอนหร่วนหลิงซิ่วเพิ่งปรากฏ แม้มันเตรียมป้องกัน แต่กลับไม่รู้สึกถึงอันตรายร้ายแรงแบบนั้น ทว่าขณะมองหญิงสาวก้าวเข้ามาใกล้ มันก็รู้สึกว่าความคิดของนางเปลี่ยนไป
“ข้าไม่มีทางให้เจ้าเข้าใกล้ร่างนายท่านหรอก เว้นแต่เจ้าจะข้ามศพข้าไป!” เขาน้อยพูดพลางเชิดศีรษะขึ้น
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ได้แต่ล่วงเกินแล้ว” หร่วนหลิงซิ่วถอนหายใจอย่างอ่อนโยน แววตามีความรู้สึกสงสารกับทิฐิวาบผ่าน แต่แส้ยาวสีทองกลับม้วนออก
เขาน้อยกระโดดหลบไปด้านข้างอย่างปราดเปรียว
หร่วนหลิงซิ่วเม้มริมฝีปาก
ความรู้สึกที่อสูรน้อยเขาเดี่ยวตัวนี้มีให้นางก็คือ ไม่มีศักยภาพใดๆ ในการต่อสู้ คิดไม่ถึงว่ากลับหลบได้อย่างปราดเปรียว
เสียงในสมองเร่งรัดไม่หยุด ศีรษะจึงปวดเป็นพักๆ หร่วนหลิงซิ่วไม่ลังเลใจอีก สะบัดแส้ยาวสีทองอย่างรวดเร็ว
เงาแส้แต่ละสายราวกับอสูรทองคำแต่ละตัว ตามติดเขาน้อยเป็นเงาตามตัว
เสียง เพียะ ในที่สุดแส้ทองก็ฟาดถูกร่างเขาน้อย พร้อมหยดโลหิตสาดออก
เขาน้อยแค่นเสียงทรมานออกมาคำหนึ่ง การหยุดกะทันหันเช่นนี้ ทำให้ถูกแส้ฟาดอีกหนึ่งที
“อสูรน้อย เจ้าหลีกไปเถิด ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้า” หร่วนหลิงซิ่วพูดเสียงสูง
ลูกตาดำใสของเขาน้อยมีเมฆหมอกปกคลุมชั้นหนึ่ง แต่กลับฝืนไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
แส้ที่ฟาดลงบนร่างครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เกิดรอยโลหิตครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงชั่วขณะ บนร่างก็ไม่มีที่ใดสมบูรณ์พร้อมอีก
เขาน้อยคลับคล้ายไม่รู้สึกเจ็บปวดอย่างไรอย่างนั้น ยังคงขยับร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลถี่ยิบ หลบเลี่ยงแส้ที่ฟาดมา ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว
แววตาหร่วนหลิงซิ่วสุดจะทน แต่แส้ยาวในมือกลับฟาดเร็วขึ้นเรื่อยๆ
‘เสแสร้ง ข้าชอบก็บอกว่าชอบ เกลียดก็บอกว่าเกลียด คิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ไม่หน้าไหว้หลังหลอกเช่นนี้หรอก’ เสียงในสมองแดกดันอย่างเลือดเย็น ’เจ้ารีบจัดการสังหารสัตว์เดรัจฉานนี่ให้ตายๆ ไปเสีย ข้าเห็นมันไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่เลย!’
หร่วนหลิงซิ่วสะดุ้ง มองดูเขาน้อยที่ถูกแส้ฟาดจนเลือดเนื้อพร่ามัว ก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมา จากนั้นจึงถ่ายทอดพลังวิญญาณกว่าครึ่งไปยังส่วนกลางของแส้
แส้ยาวสีทองเปล่งแสงเจิดจรัสตลอดเส้น กลายเป็นงูหลามยักษ์ท่าทางดุร้ายตัวหนึ่ง อ้าปากใหญ่ดุจอ่างโลหิต พุ่งเข้าหาเขาน้อย
“นายท่าน เขาน้อยไม่เอาไหนจริงๆ” เขาน้อยพึมพำ เมื่อเห็นงูหลามยักษ์พุ่งเข้ามา
ในที่สุดน้ำตาหยดหนึ่งก็หยดลงจากหางตา เขาน้อยก้มศีรษะ แล้วพุ่งเข้าใส่งูหลามยักษ์
“โอ๊ย” เสียงร้องโหยหวนดังมา
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ทำให้เขาน้อยชะงักฝีเท้าฉับพลัน แต่เพราะพุ่งมาอย่างเร็ว จึงล้มลงกับพื้น เสียงดัง กึก
มันเงยศีรษะขึ้นอย่างยากเย็น เห็นร่างทั้งร่างของหร่วนหลิงซิ่วปลิวออกไป แล้วร่วงลงกับพื้น
ไม่ไกลกันนัก ปรากฏร่างบุรุษสวมชุดยาวสีดำคนหนึ่ง เดินเข้ามาพร้อมใบหน้าเยือกเย็น
“เจ้า…เจ้าเป็นใคร” หร่วนหลิงซิ่วพยายามยันกายขึ้นนั่ง มองหน้าผู้มาพลางถามอย่างงุนงง
บุรุษชุดดำเดินมาหยุดตรงหน้า แล้วมองหร่วนหลิงซิ่วแบบมุมมองผู้เหนือกว่า “คุณหนูใหญ่แห่งสำนักลั่วสยา?”
“เจ้ารู้จักข้า?” หร่วนหลิงซิ่วถลึงตามอง รู้สึกว่าคนผู้นี้คุ้นๆ อยู่บ้าง คลับคล้ายเข้าใจว่าเจ้าของร่างเดิมเคยพบเห็นคนผู้นี้มาก่อน เสียดายที่ความทรงจำกระจัดกระจาย จึงนึกไม่ออก
บุรุษชุดดำยกมุมปากขึ้นอย่างใจเย็น “เจ้าไสหัวไปซะ กลับไปบอกพ่อเจ้าว่า ข้าอวี้เฉิงเจินจวิน ถ้าพบเจอเจ้าทำร้ายสหายมั่วอีก อย่าหาว่าข้าไร้ความปรานีล่ะ!”
พลังข่มขวัญของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดถูกเปล่งออก สีหน้าหร่วนหลิงซิ่วซีดขาว แข็งใจกระอักโลหิตออกมาสองสามคำ กลับเข้าใจว่าคนผู้นี้มิได้พูดข่มขู่ จึงยันกายลุกขึ้นยืน แล้วเหยียบสมบัติวิเศษเหินหาวหนีไป
หลัวอวี้เฉิงหรี่ตา
ถ้ามิใช่กังวลว่า พอสังหารนางแล้ว จะถูกเจ้าสำนักลั่วสยาตามล่าอย่างไม่ลดละ ส่งผลให้รักษาชิงเฉินได้ล่าช้าแล้วละก็ เขาไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ เช่นนี้หรอก
อีกทั้งนางยังทำร้ายอสูรวิญญาณของชิงเฉินจนเป็นเช่นนี้ด้วย
หลัวอวี้เฉิงหันไปมองมั่วชิงเฉินที่นอนแน่นิ่ง สีหน้าพลันเปลี่ยน “สหายมั่ว?”
“อวี้เฉินเจินจวิน นายท่านนาง นางตายแล้ว” เสียงละล่ำละลักของเขาน้อยดังมา