มั่วชิงเฉินเดินไปข้างหน้าทีละก้าว แต่กลับรู้สึกมึนงง
นี่ราวกับเป็นทางที่ไม่มีที่สิ้นสุดสายหนึ่ง ความมืดปกคลุมรอบทิศ มีเพียงทางสายนี้สายเดียวที่ปลายทางมีแสงสว่างริบหรี่ ในที่มืดมนอนธกาลแห่งนี้ คล้ายมีสิ่งล่อใจลึกล้ำ นำทางนางให้เดินไปข้างหน้า
ทว่า แสงสว่างนั่นกลับรักษาระยะห่างเช่นนี้ไว้ตลอด ไกลสุดจะไขว่คว้า
“ที่นี่คือที่ไหน” มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว
นางรู้สึกว่าตนเองมีบางอย่างไม่ถูกต้อง คล้ายหัวสมองมีปฏิกิริยาตอบสนองช้าลงไปมาก มีหลายเรื่องที่คิดไม่ออก จึงได้แต่พึ่งพาความสามารถที่มี เดินเข้าหาแสงสว่างนั่น
ทางน้อยทั้งมืดและแคบ มีนางเดินอยู่เพียงคนเดียว
ไม่รู้ว่าเดินมานานแค่ไหน ในที่สุดแสงริบหรี่นั่นก็ไม่ไกลอีกต่อไป หยุดอยู่ตรงนั้น
มั่วชิงเฉินสุขใจยิ่ง แต่ความสุขมาจากไหนกันแน่ กลับนึกไม่ออก จึงเดินเร็วขึ้นกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว
สุดท้าย ก็เดินมาถึงปลายเส้นทางสายน้อย
ตรงหน้าคล้ายมีกระจกยาวเท่าตัวคนเปล่งรัศมีแสงอยู่บานหนึ่ง แสงนี้ไร้อุณหภูมิ และไม่แสบตา แต่กลับทำให้มั่วชิงเฉินรู้สึกสนิทสนมอย่างไม่มีเหตุผล เสียงไร้รูปกระตุ้นให้นางเดินเข้าไป
แม้สมองช้าลงไปบ้าง แต่สัญญาณเตือนให้ระมัดระวังจากจิตใต้สำนึกที่ตกค้าง ทำให้นางลังเลใจขึ้นมา
“เข้ามาเถิด เข้ามาเถิด ที่นี่คือที่ที่เจ้าควรมา…” เสียงนั่น คล้ายเสียงกระซิบของมารดา เรียกให้ลูกวิ่งเข้าสู่อ้อมอก
ตอนนี้มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าเสียงนี้คือเพลงเรียกวิญญาณในแดนผี และทางน้อยสายนี้ คือทางนำวิญญาณที่เพลงเรียกวิญญาณสร้างขึ้น ส่วนกระจกแสงนั่น ก็คือทางเข้าที่เชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับแดนผี
ทว่าเมื่อร่างกายตายลง ไม่ว่าท่านเป็นคนธรรมดาก็ดี ผู้บำเพ็ญเพียรก็ดี จิตวิญญาณล้วนได้รับผลกระทบจากบทเพลงเรียกวิญญาณ ภาพมายาตรงหน้าจะปรากฏทางน้อยของตัวท่านเอง
รอจนเดินไปสุดปลายทาง ขอเพียงก้าวเข้าไปในกระจกแสง จึงจะนับว่าเข้าสู่แดนผีแล้วจริงๆ และนับแต่นี้ก็จะไม่มีความผูกพันกับชาติที่แล้วอีก
เพลงเรียกวิญญาณ ประการแรก มีไว้เพื่อนำทางแทนวิญญาณที่เสียชีวิต ประการที่สอง เพื่อป้องกันการก่อกวนจากโลกต่างๆ โดยการใช้วิชาลับเรียกจิตวิญญาณที่เพิ่งออกจากร่างกลับคืน
มั่วชิงเฉินต้านทานอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ต้านทานสัญชาตญาณไม่ไหว ก้าวเบาๆ เข้าไป
พริบตานั้น นางก็ถูกลมหายใจสายหนึ่งโอบล้อม ทั้งๆ ที่ไร้อุณหภูมิ แต่กลับรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น
ภาพตรงหน้าพลันสว่างไสว
มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้นมองตามจิตใต้สำนึก เห็นดวงอาทิตย์สีขาวซีด แขวนอยู่บนท้องฟ้าสีเทาเข้ม
เปล่งแสงไร้ซึ่งอุณหภูมิออกมา
ยามนี้ สติพลันแจ่มใส แววตางุนงงของมั่วชิงเฉินกระจ่างใสดังเดิม
“ที่นี่ที่ไหน” ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของมั่วชิงเฉินยังคงถามคำถามนี้ แต่ครั้งนี้นางมิได้สับสน กลับอยากสืบค้น ก่อนกวาดตามองรอบด้านอย่างรวดเร็ว
นี่เป็นถนนที่กว้างใหญ่ไพศาลสายหนึ่ง บนถนนมีคนเดินไปมาขวักไขว่ แต่ละคนสวมใส่เสื้อผ้าคนละอย่าง ดูๆ ไปก็ไม่ต่างอะไรกับเมืองที่มีความคึกคักตามปกติ ทว่าถ้าดูให้ดีๆ กลับรู้สึกหนาวเหน็บ
คนเดินถนนเหล่านี้ ครึ่งท่อนบนไม่ต่างอะไรกับคนปกติ แต่ครึ่งท่อนล่างตั้งแต่เข่าลงไปกลับพร่ามัว ไม่มีเท้า พวกเขามิได้กำลังเดิน แต่กำลังลอย
ไม่ไกลกัน พลันมีคนปรากฏตัวออกมาจากหมอกควันเป็นระยะ สีหน้าของพวกเขา ถ้าไม่งุนงงก็ตื่นตระหนก แสดงออกไม่เหมือนกัน
“แดนผี!” มั่วชิงเฉินนึกคำนี้ได้ในทันที จึงก้มลงดูตัวเอง กลับพบว่าเท้าทั้งสองข้างยังอยู่ ดูไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากเมื่อก่อน
การต่อสู้กับเจ้าปีศาจ และสุดท้าย ความรู้สึกที่ถูกหอกเขียวแทงเข้าที่หัวใจ นางล้วนนึกขึ้นได้ มั่วชิงเฉินยกมือซ้ายขึ้นดู ก่อนยกนิ้วชี้ขวา จิ้มไปที่กลางฝ่ามือซ้าย
จากนั้น นางก็เห็นกับตาว่า นิ้วชี้ที่มือขวาแทงทะลุกลางฝ่ามือซ้ายได้อย่างไม่มีปัญหา จึงชักนิ้วชี้กลับ ฝ่ามือซ้ายคืนสู่สภาพเดิม
มั่วชิงเฉินยิ้มเยาะตัวเอง ดูๆ ไป ตนเสียชีวิตแล้วจริงๆ ถือว่าสวรรค์ยังปรานีหรือเปล่า ที่ให้ตนเข้าสู่ขั้นตอนของการเป็นผีได้โดยตรง
เนื่องด้วยเรื่องของบิดา ทำให้มั่วชิงเฉินสนใจเรื่องของผีบำเพ็ญเพียรเป็นพิเศษ แม้ในม้วนคัมภีร์หยกมีบันทึกเกี่ยวกับผีบำเพ็ญเพียรน้อยมากก็ตาม นานวันเข้า จะมากน้อยก็พอจะรู้อยู่บ้าง
เมื่อมนุษย์เสียชีวิต ไม่ว่าท่านเป็นคนธรรมดาหรือผู้บำเพ็ญเพียร ล้วนต้องกลายเป็นอีกรูปลักษณ์หนึ่ง ซึ่งก็คือ วิญญาณผี ระดับล่างสุดของรูปลักษณ์ และแน่นอนว่า เป็นรูปลักษณ์ที่ดำรงอยู่หลังความตายของคนส่วนใหญ่
วิญญาณผีเข้าสู่แดนผี ส่วนใหญ่รอคอยโอกาสกลับชาติมาเกิดใหม่ มีเพียงส่วนน้อยที่อยู่ต่อ การอยู่ในแดนผีนานๆ จะค่อยๆ ถูกปราณมรณะบ่มเพาะ จนเข้าสู่ระดับถัดไปอีก หรือที่เรียกกันว่า…ผี
การกลายเป็นผี เท้าทั้งสองข้างดูไปแล้วไม่ต่างจากคนธรรมดา เพียงแต่ร่างกายยังคงพร่ามัว เช่นเดียวกับมั่วชิงเฉินในตอนนี้
ผี เทียบได้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณในโลกมนุษย์ เพียงแต่อยู่ในแดนผี โดยขอแค่อยู่ยาวนานพอก็จะเข้าสู่รูปลักษณ์นี้
แต่ถ้าผีอยากเข้าสู่สภาวะขุนผลผี ที่อยู่ระดับถัดไปอีก จะอาศัยปราณมรณะอย่างเดียวบ่มเพาะย่อมไม่ได้ ต้องมีคุณสมบัติพิเศษ คล้ายคนธรรมดามีรากวิญญาณแบบนั้น และคุณสมบัติชนิดนี้ ก็คือเงื่อนไขจำเป็นที่ทำให้กลายเป็นผีบำเพ็ญเพียรได้
แต่เรื่องที่มั่วชิงเฉินรู้ในแดนผีนั้น เปรียบได้แค่หางอึ่ง กลับไม่รู้ว่า คนในรูปลักษณ์ผีที่นางกลายร่างมาตรงๆ เช่นนี้ แน่นอนว่ามีคุณสมบัติเป็นผีบำเพ็ญเพียร
โดยนางในตอนนี้นึกว่า เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญเพียรในชาติที่แล้ว
อาจเป็นเพราะมั่วชิงเฉินเป็นคนเรียบๆ ง่ายๆ จึงยอมรับความจริงได้อย่างรวดเร็วว่าตนเองได้ตายไปแล้ว พอสมองแจ่มใส ใจกลับเครียด ตู้รั่ว…เขาเป็นอย่างไรไปแล้ว
เมื่อตนตาย เจ้าปีศาจต้องไม่ปล่อยเขาไว้แน่ เขาที่เพิ่งก่อแก่นปราณได้ ย่อมไม่สามารถหนีไปไหน แย่ไปกว่านั้น นางจำได้ว่า ภาพในช่วงท้ายที่เห็นคือ ตู้รั่วพุ่งเข้าหาเจ้าปีศาจ
เช่นนี้เป็นอันว่า เขาก็ตายแล้วหรือ
ไม่สิ ตู้รั่วเป็นจิตดวงหนึ่งของเจ้าปีศาจลั่วเฟิง ถ้าถูกเจ้าปีศาจหยิบเอาจิตวิญญาณไป แล้วผสานร่างกลับเข้าที่เดิม เขาย่อมไม่ได้ตาย เพียงแต่…หายไป!
ใจของมั่วชิงเฉินเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง
นางเห็นตู้รั่วมาแต่เด็ก จวบจนเติบใหญ่ กับลูกศิษย์คนนี้ นางทุ่มเทชีวิตจิตใจอบรมสั่งสอนชนิดไม่ด้อยไปกว่าอาจารย์ท่านอื่นๆ แน่นอน
แต่ศิษย์เพียงคนเดียวของนาง กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าปีศาจ โดยไม่มีแม้กระทั่งโอกาสกลับชาติไปเกิดใหม่
พอนึกถึงความเป็นไปเช่นนี้ ใจของมั่วชิงเฉินก็เหมือนถูกมีดกรีด พลันนึกถึงอาจารย์ของตนขึ้นมา
ความตายของตน ต้องทำให้อาจารย์เสียใจแน่
ยังมีศิษย์พี่ ถ้าเขารู้ข่าวการตายของตน จะรู้สึกเช่นไร
มั่วชิงเฉินพลันไม่กล้านึกต่อ ความทรงจำหลากหลายทยอยกันประทุขึ้น เจ็บปวดจนนางหายใจไม่ออก
“ที่แท้ ผีก็รู้สึกเจ็บปวดเหมือนกัน” มั่วชิงเฉินพึมพำ
ขณะที่นางเหม่อลอย คนสองคนก็กำลังเดินมาทางนี้
“เอ๋ นั่นพี่เฮยหรือเปล่า บังเอิญอะไรเช่นนี้” ชายสวมชุดยาวสีขาวพูด
อีกคนสวมชุดยาวสีดำ สีหน้าเย็นชาอยู่บ้าง “พี่ไป๋ บังเอิญจริง”
พอทั้งสองสบตากัน สายตาก็ปะทะกัน ก่อนเก็บสายตากลับคืนหน้าตาเฉย ในใจล้วนมีแผน จึงลอบก่นด่าพร้อมกัน เฮอะ ต้องแย่งกันอีกแล้ว!
ทั้งสองเร่งฝีเท้าขึ้นพร้อมกัน วิ่งมาทางมั่วชิงเฉิน
แม้มั่วชิงเฉินเพิ่งยอมรับความจริงที่ตนตายไปแล้ว จิตใจกำลังถูกความทรงจำหลากหลายพัวพัน แต่สัญชาตญาณการระวังภัยที่ควรมีก็ยังมีอยู่ จึงรู้สึกได้ในทันที เงยหน้ามองไป
ซึ่งการเงยหน้าของนางในครั้งนี้ ก็ทำให้ชายทั้งสองที่วิ่งเข้ามาตกตะลึงไปเหมือนกัน
แววตาของชายชุดดำมีความทึ่งวาบผ่าน ก่อนคืนสู่ท่าทีสงบนิ่ง ส่วนดวงตาของชายชุดขาวกลับหรี่ลง
เผยให้เห็นความลุ่มหลงในหญิงสาว โดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
คิ้วของมั่วชิงเฉินขมวดเข้าหากัน คลับคล้ายรู้สึกว่าคนทั้งสองวิ่งเข้ามาหาตนโดยเฉพาะ
ตามคาด ทั้งสองหยุดลงตรงหน้านาง
“แม่นาง เจ้ามาใหม่ล่ะสิ ยินดีต้อนรับๆ” ชายชุดขาวยิ้มหน้าบาน
จิตใต้สำนึกของมั่วชิงเฉินบอกว่า อยากจับก้อนอิฐขึ้นมาโยนขึ้นลง
พูดเช่นนี้ได้ด้วยหรือ นางตายแล้วถึงได้มาที่นี่ ไม่ใช่มาท่องเที่ยวชมทิวทัศน์เสียหน่อย ยินดีต้อนรับบ้านเจ้าสิ!
ไม่คาดว่า กลับจับได้แต่ความว่างเปล่า มั่วชิงเฉินอึ้ง
แต่คนทั้งสองตรงหน้ากลับเข้าใจดี ชายชุดขาวยิ้ม “ดูไปแล้ว ชาติก่อนแม่นางเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสินะ เสียดายที่นำอะไรติดตัวมาไม่ได้”
มั่วชิงเฉินตกตะลึง ในใจแจ่มชัดแล้ว แค่ดวงวิญญาณเท่านั้นที่เข้าสู่แดนผี จะสามารถนำสิ่งของในโลกมนุษย์มาได้อย่างไรกัน
สีหน้าแสดงความตกใจของมั่วชิงเฉินคล้ายโดนใจ ชายชุดขาวจึงกระหายที่จะพูดต่อ “แต่จะว่าไปแล้ว ก็ใช่ว่าจะนำอะไรมาไม่ได้เลย เช่นผู้บำเพ็ญเพียรอย่างพวกเจ้า ถ้าบำเพ็ญถึงระดับก่อแก่นปราณ ก็เอาสมบัติวิเศษเจ้าชะตามาได้ หรือวัตถุวิญญาณต่างๆ แต่ผีเช่นนี้ ใช่ว่าไม่มีแม้หนึ่งในหมื่น ไม่มีแม้หนึ่งในแสนชัดๆ แม่นาง เจ้าว่าจริงไหม”
ชายชุดขาวดูเหมือนถามไปเช่นนั้นเอง สายตากลับจับจ้องใบหน้ามั่วชิงเฉิน
ซึ่งมั่วชิงเฉินก็ไม่เผยให้เห็นท่าทีผิดปกติแต่อย่างใด ถอนหายใจแล้วว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง ขอบคุณสหายท่านนี้ที่ไขข้อข้องใจ”
ชายชุดขาวแย้มยิ้ม “แม่นางเกรงใจไปแล้ว เรียกข้าว่าพี่ไป๋ก็ได้”
มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก ท่านเองก็ไม่ค่อยเกรงใจกันเลย
ก่อนหันมองชายชุดดำที่นิ่งเงียบ
“ข้าแซ่เฮย” ชายชุดดำพูดสั้นๆ
มั่วชิงเฉินไตร่ตรองในใจ
ถ้าบอกว่าคนแซ่ไป๋เป็นคนอยู่ไม่สุข อัธยาศัยดีกับผู้คนโดยกำเนิด พี่เฮยท่านนี้ ก็เป็นคนไม่ชอบพูดมากอย่างเห็นได้ชัด แต่เหตุใดตนแค่มองไปปราดเดียว เขาก็แนะนำตัวมาทันที
เห็นที คนทั้งสองต้องมีเรื่องมาขอร้องตนแน่
พอในใจมีวิจารณญาณ อารมณ์ก็สงบลง
จึงคุยสรรพเพเหระด้วยสักพัก และในที่สุดชายชุดขาวก็ทนไม่ไหว “แม่นาง เจ้าเพิ่งมาถึง เกรงว่ายังไม่รู้เรื่อง ที่นี่ก็เป็นเช่นเดียวกับโลกมนุษย์ แบ่งเป็นสำนักและพรรคต่างๆ แต่มีไม่มากเท่าไหร่ แดนผีแห่งนี้ มีใต้เท้าราชันผีทั้งสิ้นสิบท่านด้วยกัน แบ่งกันปกครองเมืองผีใหญ่ๆ สิบเมือง”
“เอ๋ เช่นนั้นที่นี่ ไม่ทราบว่าเป็นเมืองปกครองของใต้เท้าราชันผีท่านใด” มั่วชิงเฉินทำท่าทางของคำชี้แนะ
ชายชุดขาวหัวเราะ “ที่นี่น่ะ คือเมืองวั่งเซิง เป็นที่แรกที่วิญญาณผู้ตายมา ไม่อยู่ในอำนาจการปกครองของใต้เท้าราชันผีท่านใด”
พอเห็นว่ามั่วชิงเฉินยังคงไม่แยแสสนใจ ชายชุดขาวจึงว่า “แม่นาง ข้าขอพูดชัดๆ ก็แล้วกัน เจ้าเพิ่งมาถึง ร่างก็เป็นผีแล้ว และเป็นผีบำเพ็ญเพียรที่สวยมากจริงๆ มิสู้มาอยู่กับเราในเมืองเซียวเหยาดีกว่า”
“ข้าคิดว่าแม่นางเหมาะกับเมืองหันปิงมากกว่า” ชายชุดดำสวนทันควัน
ชายชุดขาวเขม่นมองชายชุดดำแวบหนึ่ง ก่อนหันมายิ้มให้มั่วชิงเฉิน “แม่นาง เจ้าอย่าไปฟังเขา เมืองหันปิงอากาศหนาวเย็น พื้นก็เป็นน้ำแข็ง เจ้าทนไม่ไหวหรอก ยังคงเป็นเมืองเซียวเหยาของเราดีสุด กฎเกณฑ์ก็น้อย อิสระที่สุด…”
ยังไม่ทันพูดจบ ก็ได้ยินชายชุดดำแค่นเสียงเย็นชาออกมา แล้วว่า “พี่ไป๋ พล่ามให้น้อยๆ หน่อยดีกว่า เรามาสู้กันสักตั้ง ใครชนะ นางก็เป็นของคนนั้น!”
ชายชุดขาวหัวเราะเย็นชา “เจ้านึกว่าข้ากลัวเจ้ารึ สู้ก็สู้สิ อย่างไรก็สู้กันมาหลายร้อยปีแล้ว ใครชนะใครแพ้ ก็ยังไม่แน่หรอก!”
สองคนนี้ ที่สุดแล้วก็ไม่มีใครสนใจมั่วชิงเฉินอีก เข้าต่อสู้กันทันที
บนถนนมีผู้คนเดินกันขวักไขว่ นอกจากที่เพิ่งปรากฏตัวแล้วมองมาทางนี้อย่างงุนงง คนที่เหลือก็ล้วนมีท่าทีเฉยเมย เห็นเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
ขณะมั่วชิงเฉินกำลังคิดว่าจะอยู่หรือไปดี พลันมีสายลมพัดมาเบาๆ ควบคู่กับเสียงหัวเราะดุจกระดิ่งเงิน “เจ้าทึ่มดำขาว พวกเจ้าสู้กันต่อไปเถิด แม่นางคนนี้ ข้าพาไปล่ะ”