มั่วชิงเฉินลอยอยู่อีกสองสามวัน ตามพวกผีสองสามตนมายังย่านร้านค้าแห่งหนึ่ง
เมื่อเดินเข้าไป ก็พบว่าย่านร้านค้าในแดนผีไม่ต่างอะไรกับในแดนมนุษย์ แต่แค่ของที่ขายนั้นแบ่งออกเป็นหยินและหยาง
วิญญาณผีเป็นร่างเสมือน เสื้อผ้าที่สวมความจริงแล้วก็ยึดตามเสื้อผ้าที่จำแลงขึ้นก่อนตาย มั่วชิงเฉินเปลี่ยนไปสวมเสื้อสีขาวกระโปรงสีเขียว ผมกลายเป็นเปียสองข้างอยู่ที่ทรวงอก ตรงหน้าผากมีผมหน้าม้าที่ยาวลงมาบดบังดวงตากว่าครึ่งเอาไว้ ดูแล้วเป็นแม่นางน้อยผู้สวยสดงดงามและเงียบขรึมคนหนึ่ง
มั่วชิงเฉินพิจารณาร้านค้าแผงลอยแต่ละร้านอย่างจริงจัง ยิ่งดูก็ยิ่งประหลาดใจ สุดท้ายก็หยุดอยู่หน้าแผงขายเสื้อผ้าอาภรณ์
“น้องสาวตัวน้อย มีตัวที่ชอบหรือไม่” เจ้าของแผงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
มั่วชิงเฉินเม้มปาก เผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา “ซื้อเสื้อผ้าเหล่านี้ค่อนข้างสิ้นเปลือง ข้าชอบอย่างไร แค่คิดนิดหน่อยก็ได้แล้ว”
เห็นท่าทางบริสุทธิ์ของนาง เจ้าของแผงพลันหัวเราะร่า “น้องสาวตัวน้อย เจ้าเพิ่งจะมาได้ไม่กี่ปีสินะ หรือไม่รู้ว่าเสื้อผ้าเหล่านี้ไม่เหมือนกับเสื้อผ้าที่เจ้าจำแลงขึ้น”
“มีอะไรไม่เหมือนกันหรือ” มั่วชิงเฉินเอ่ยถาม
“เสื้อผ้าพวกนี้ ทำมาจากป่านยมโลกและไหมยมโลก เป็นผีวิญญาณระดับขุนพลผีขึ้นไปใช้พลังวิญญาณหลอมออกมาเลยนะ แม้ว่าจะเทียบกับศาสตราผีไม่ได้ แต่กลับมีพลังป้องกันแน่นอน เสื้อผ้าที่จำแลงออกมาไม่อาจเทียบเทียมได้” เจ้าของแผงเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็ป้องปากกระซิบ “น้องสาวตัวน้อย อย่าโทษว่าพี่หญิงไม่เตือนเจ้าเลย ในสายตาของเหล่าวิญญาณระดับผีขึ้นไป เสื้อผ้าที่จำแลงขึ้นเท่ากับไม่ได้ใส่ วิญญาณต่ำต้อยที่เข้ามาใหม่อย่างพวกเจ้าไม่เข้าใจก็ช่างเถิด พี่หญิงเห็นเจ้ามีร่างกายสมจริง คิดดูแล้วอีกไม่นานก็คงผนึกเป็นร่างผีได้แล้ว”
เจ้าของแผงเอ่ยจบก็มองมั่วชิงเฉินยิ้มๆ ขบคิดในใจ ขอแค่อยู่ในแดนผีนานพอ ไม่ว่าจะมีคุณสมบัติหรือไม่ล้วนกลายเป็นร่างผี แต่แม่นางน้อยผู้นี้กลับมีร่างกายสมจริงภายในระยะเวลาอันสั้น ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นร่างผีทิพย์ก็เป็นได้ วันนี้ตนเอ่ยขึ้น ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจจะมีวาสนาดีๆ ก็เป็นได้”
มั่วชิงเฉินกลับชะงักค้าง
ในสายตาของวิญญาณระดับผีขึ้นไปการสร้างเสื้อผ้าขึ้นมาก็เท่ากับไม่ใส่อะไรเลย ผู้ที่มีร่างผีในเมืองวั่งเซิงนี้ก็มีอยู่ไม่น้อย!
พูดเช่นนั้น หมายความว่านางเนื้อตัวเปลือยเปล่าหรือ
ทั้งยังมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เดินเปลือยเปล่าด้วยสีหน้าราบเรียบอยู่สองสามวันอีก
“น้องสาวตัวน้อย เสื้อผ้านี่ เจ้าอยากได้หรือไม่” เจ้าของแผงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มจนตาหยี
มั่วชิงเฉินอยากจะคำรามใส่ เดินเปลือยกาย! นางจะไม่อยากได้ได้อย่างไร!
“ไม่ทราบว่ากระโปรงชุดนี้ขายอย่างไร” มั่วชิงเฉินกลัวจะเผยความลับออกมา จึงเอ่ยถามอย่างคลุมเครือ
เจ้าของแผงสะบัดอาภรณ์แล้วเอ่ยว่า “พี่หญิงรู้ว่าผู้ที่มาใหม่อย่างน้องคงมีเงินไม่มาก กระโปรงชุดนี้ขายให้เจ้าในราคาถูกก็แล้วกัน สิบมุกวิญญาณก็พอ”
“สิบไข่มุกวิญญาณหรือ” มั่วชิงเฉินมีสีหน้าลำบากใจ
ยามนี้มีเสียงดังขึ้นพอดี “กระโปรงตัวนี้ขายอย่างไร”
เจ้าของแผงรีบร้องตอบรับ กระโปรงสีทับทิมตัวนั้นถูกคนเข้ามาซื้อไปด้วยราคาหนึ่งหินวิญญาณ
กระโปรงสีทับทิมในสายตาของมั่วชิงเฉินตัวนั้น มีพลังวิญญาณแฝงอยู่มากกว่าตัวที่เจ้าของแผงแนะนำให้นางหลายเท่า
เจ้าของแผงหันมามองมั่วชิงเฉิน เห็นนางมีท่าทีลำบากใจ ก็ขบคิดในใจว่าแม่นางวัยเยาว์เหล่านี้ไม่รู้จักมัธยัสถ์จริงๆ ดูจากท่าทางของนางอย่างไรก็ต้องมาได้สองสามปีแล้ว คาดไม่ถึงว่าแม้แต่ไข่มุกวิญญาณสิบเม็ดก็ยังไม่มี
กลับไม่รู้เพราะเหตุใด พอมองมั่วชิงเฉินก็รู้สึกตกหลุมรัก จึงเอ่ยว่า “น้องสาวตัวน้อย พี่หญิงเห็นเจ้าน่าเอ็นดูนัก จึงขอพูดมากสักหน่อย เจ้ายอมมาเป็นผู้ช่วยแผงข้าหรือไม่”
“พี่หญิงอยากให้ช่วยหรือ” มั่วชิงเฉินทั้งตกตะลึงระคนดีใจ
เจ้าของแผงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “พูดไปก็บังเอิญนักเชียว สิบปีก่อนข้าปลูกป่านยมโลกเอาไว้ ถึงยามเก็บเกี่ยวแล้ว ต้องรีบเก็บเกี่ยว ข้ายุ่งอยู่ทั้งสองด้าน กำลังคิดจะหาผู้ช่วยอยู่พอดี บังเอิญได้พบกับน้องสาว น้องสาวคิดอย่างไรล่ะ”
มั่วชิงเฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นั่นย่อมดีมาก แต่แค่พี่หญิงกับข้าเพิ่งรู้จักกัน จะเชื่อได้อย่างไร…”
ไม่ทันได้เอ่ยจบก็ได้ยินเสียงเจ้าของแผงหัวเราะร่าออกมา “ช่างเป็นนางหนูน้อยเสียจริง รึข้ายังต้องกังวลว่าเจ้าจะขโมยของข้าหนีไปอย่างนั้นหรือ”
มั่วชิงเฉินเข้าใจแล้ว เจ้าของแผงมีวิธีอื่นในการป้องกันจุดนี้ แต่แค่ไม่อยากพูดเท่านั้น
แผงต่างๆ ในย่านร้านค้า ไม่ต้องสงสัยเลยนี่เป็นหนทางที่นางอยากเข้าใจแดนผีได้อย่างรวดเร็ว และสามารถซ่อนเร้นตนเองได้ มั่วชิงเฉินจึงตอบรับอย่างไม่ลังเล
หลังจากนั้น ในย่านร้านค้าก็มีเด็กสาวที่ไม่สะดุดตาเลยสักนิดเพิ่มขึ้นมาอีกคน
ในย่านร้านค้ามั่วชิงเฉินไม่ได้เป็นที่รู้จักนัก บางทีอาจเป็นเพราะอายุยังน้อย และมักจะยิ้มแย้มอยู่ตลอด มุมปากมีลักยิ้มน่ารัก ธุรกิจกลับดีอย่างน่าประหลาด
ไปๆ มาๆ ก็สนิทกับเจ้าของแผงอวิ๋นซานเหนียงแล้ว มั่วชิงเฉินเองก็ได้รับความรู้ต่างๆ ในแดนผีด้วยสีหน้าราบเรียบ
จะว่าไปแล้ว หากอยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว แต่เคล็ดวิชาของผีบำเพ็ญเพียรที่ธรรมดาที่สุดเล่มหนึ่งก็ต้องใช้หนึ่งร้อยหินวิญญาณ ในตัวของมั่วชิงเฉินมีแค่สองหินวิญญาณ นี่คือผลจากที่อวิ๋นซานเหนียงใจกว้าง
มิน่าเล่าผีวิญญาณผู้มีคุณสมบัติถึงเข้าร่วมกับบางเมือง หากคิดอยากอาศัยตนเองทุ่มเทกำลังฝึกฝน ก็ยากลำบากราวกับผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษในแดนมนุษย์
มั่วชิงเฉินไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกเงินทองขาดแคลนมานานแล้ว สถานการณ์นี้เหมือนกับย้อนกลับไปยามที่นางอายุยังน้อยเป็นคนขายสุราในเมืองเทียนเหยา
“ขายสุราหรือ” มั่วชิงเฉินที่ดูแลแผงอยู่ใจเต้น ลูบน้ำเต้าที่คอ
แม้ว่าน้ำเต้านี้จะเงียบสงัด แต่กลับเทสุราชั้นดีออกมาได้เหมือนในโลกมนุษย์ และไม่ผสมปราณวิญญาณ จะว่าไปแล้วก็สามารถนำมาขายที่นี่ได้
แต่ไม่ทันไร มั่วชิงเฉินก็ล้มเลิกความคิดนี้อย่างรวดเร็ว
แม้ว่าสุราดีนี้จะไม่มีปราณวิญญาณ แต่รสชาติกลับยังคงมหัศจรรย์ ไม่แน่ว่ามีประโยชน์ด้านอื่นอีก นางไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแล้ว บุ่มบ่ามเอาออกมาจะเกิดหายนะได้ง่ายๆ
“น้ำเต้าเอ๋ย ต้องบอกว่าเจ้าเป็นสิ่งมหัศจรรย์แล้ว ข้าทะลุมิติ เจ้าตามข้ามา ข้าตายแล้ว เจ้าก็ยังจะตามมา นอกจากสุราชั้นดีที่มีอย่างไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว ไม่แน่ใจจริงๆ ว่าเจ้ามีประโยชน์อะไรกันแน่” มั่วชิงเฉินครุ่นคิด ในหัวมีลำแสงสว่างวาบ
สุราชั้นดี!
เหตุใดความคิดของนางถึงเลอะเลือนขึ้นมากะทันหัน
สุราชั้นดีนี้ไม่ผสมปราณวิญญาณ หากสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของสมุนไพรในแดนมนุษย์ได้ เช่นนั้นแล้วแดนผีจะไม่ได้ได้อย่างไรเล่า
มั่วชิงเฉินซื้อเมล็ดป่านยมโลกมาทดลองเงียบๆ พิสูจน์การคาดเดาของนางได้ดังคาด
สุราชั้นดีในน้ำเต้ามีผลกับพืชพรรณในแดนผีเช่นกัน!
มั่วชิงเฉินกระตุ้นพืชวิญญาณเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว แล้วขายออกไปอย่างเงียบๆ จึงเริ่มมีเงินขึ้นมา
นางไม่รีบร้อนจากไป หยิบเคล็ดวิชาของผีบำเพ็ญเพียรที่ซ่อนไว้ในเรือนเช่าออกมาอ่าน ฉับพลันนั้นก็มีความคิดที่น่าตกตะลึงขึ้นอย่างหนึ่ง
หากกล่าวว่าแดนผีถูกควบคุมโดยสวรรค์ เช่นนั้นปราณมรณะที่วนเวียนอยู่ในแดนผี ก็เป็นพลังต้นกำเนิดของฟ้าดินเช่นกันสินะ
ต้องเข้าใจว่าฟ้าดินแบ่งออกเป็นหยินหยาง มีเกิดมีตาย หยินหยางสลับแทนที่กัน เวียนว่ายเกิดใหม่และดับสูญ ถึงจะเป็นหนทางที่ถูกต้อง
มั่วชิงเฉินยังตกตะลึงกับความคิดบ้าบิ่นที่ผุดขึ้นมาอย่างฉับพลันของตนเอง แต่นางฝึกฝนจนมาอยู่ในระดับก่อกำเนิดแล้ว แม้จะไม่มีกายเนื้อ แต่ระดับจิตใจกลับไม่เปลี่ยนแปลง จึงละทิ้งความคิดต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว แล้วตัดสินใจลองทดสอบดู
ทำตามวิธีในเคล็ดวิชาของผีบำเพ็ญเพียร ค่อยๆ ดูดซับปราณมรณะเข้าไปในร่าง
ในร่างที่ว่างเปล่านี้แน่นอนว่าย่อมไม่มีไฟจริงหรือรากวิญญาณใดๆ แต่กายเนื้อของมนุษย์ คือภาชนะบรรจุวิญญาณ มั่วชิงเฉินมีร่างฮุ้นตุ้น หากวิญญาณผสานกับศาสตรา ก็ต้องมีธาตุที่สอดคล้องกัน
ปราณฮุ้นตุ้น จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณนาง
ในตอนที่ดูดซับปราณมรณะเปลี่ยนไปเป็นพลังบริสุทธิ์แล้วปล่อยออกมานั้น ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ฉีกยิ้ม
หากไม่ได้เป็นเช่นนั้น นางใช้เคล็ดวิชาของผีบำเพ็ยเพียรดูดซับปราณมรณะ แม้ว่าวิญญาณจะแข็งแกร่งและมีร่างเสมือนจริง แต่กลับจะเปลี่ยนแปลงธาตุของเมื่อยามมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นแน่นอนว่าไม่อาจกลับคืนสู่กายเนื้อได้
เดี๋ยวก่อน เหตุใด นางถึงคิดว่าตนเองต้องกลับไปกันเล่า
มั่วชิงเฉินพลันตกตะลึง