มั่วชิงเฉินถูกบุรุษหน้าเขียวโจมตีโจมตีเต็มกำลัง จนหน้ามืดหมดสติไป ไม่ทันได้มองเห็นสถานการณ์เบื้องหน้าให้ชัดเจน กลับสัมผัสได้เพียงดวงวิญญาณสั่นคลอน สามารถแหลกสลายได้ตลอดเวลา
แต่ดวงวิญญาณก็เข้าสู่สภาวะอบอุ่นและเยือกเย็นได้อย่างรวดเร็ว ชั่วขณะนั้นสมองพลันแจ่มชัดขึ้น
นี่ถึงได้มองเห็นสภาพแวดล้อมได้อย่างชัดเจน
คาดไม่ถึงว่าตกลงมาในทะเลสาบ
เมื่อวักน้ำขึ้นมา กลิ่นหอมกลมกล่อมของสุราพลันโชยมา
มั่วชิงเฉินใจเต้น เงยหน้าขึ้นมอง
มองเห็นกลางอากาศทุกแห่งค่อยๆ แคบเล็กลงเรื่อยๆ แคบจนมีขนาดแค่เท่าคนคนหนึ่งแล้วเริ่มขยายใหญ่ขึ้น
นี่ ไม่ใช่รูปทรงน้ำเต้าหรือ
หรือว่าตนอยู่ในน้ำเต้า
ย้อนนึกถึงความมหัศจรรย์ของน้ำเต้า มั่วชิงเฉินย่อมมั่นใจการคาดเดาของตน
แต่เพียงแค่ใช้สมอง ก็รู้สึกวิงเวียน
สำหรับดวงวิญญาณแล้ว มั่วชิงเฉินนับว่าได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
นางรีบหลับตา จมเข้าไปในสายธารพลางพักผ่อนเล็กน้อย แล้วถึงได้เบิกตาขึ้นอีกครั้ง พลางตรวจสอบอย่างละเอียด
การพิจารณาครั้งนี้ก็พบว่าในสายธารเล็กๆ นี้มีทะเลสาบเล็กๆ เชื่อมต่อกัน เมื่อทั้งสองต่อเข้าด้วยกัน ก็เหมือนกับรูปทรงน้ำเต้า
ริมทะเลสาบเป็นกำแพงด้านใน ไม่มีฝั่ง
มั่วชิงเฉินจ้องเขม็งไปยังทะเลสาบเล็กอีกแห่ง
ทะเลสาบฝั่งนั้นเป็นสีเงินขาว ฝั่งนี้เป็นสีใส ราวกับสุราชั้นดีที่เทออกมาจากน้ำเต้าในยามปกติ
หรือว่าสุราชั้นดีในน้ำเต้า คือน้ำในทะเลสาบเล็ก
เช่นนั้นน้ำในทะเลสาบเล็กอีกแห่งคือสุราชั้นดีอีกรสสินะ หรือว่ามีผลด้านอื่น
ความลับของน้ำเต้า ทำให้นางสับสนเป็นเวลานาน เห็นความลี้ลับอยู่ตรงหน้า มั่วชิงเฉินก็เคลื่อนย้ายร่างที่ได้รับบาดเจ็บไปอย่างยากลำบาก
ผืนน้ำสีเงินขาวเป็นดังกระจกเงา สะท้อนให้เห็นใบหน้าของมั่วชิงเฉิน
นางไม่ได้บุ่มบ่ามเข้าไป แต่ยื่นมือออกไปวักน้ำขึ้นมา
ความรู้สึกสบายอย่างสุดๆ ส่งมาระหว่างนิ้ว มั่วชิงเฉินสัมผัสได้ว่าความเจ็บปวดลดลงไปหลายส่วน
ความคิดเคลื่อนไหว ร่างทั้งร่างจมลงไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ มั่วชิงเฉินยกศีรษะขึ้นมาถอนหายใจอย่างสบายใจ
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ทะเลสาบสีเงินนี้รักษาอาการบาดเจ็บของนางได้ มีผลมหัศจรรย์จริงๆ
หลังจากฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ น้ำในทะเลสาบก็บำรุงดวงวิญญาณของนาง พลังยุทธ์ก็เพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่ง
ร่างกายกระโจนออกไป มั่วชิงเฉินบินขึ้นไปกลางอากาศ มุ่งไปที่ปากของน้ำเต้าอย่างผ่อนคลาย แต่แล้วก็ย้อนกลับมา
ไม่ได้ ในแดนผี ดูแล้วผู้ที่มีพลังยุทธ์ระดับแม่ทัพผีคงไม่อาจปกป้องตนเองได้ ในเมื่อน้ำในทะเลสาบสีเงินสามารถเร่งการฝึกฝนจิตวิญญาณให้เร็วขึ้นได้ ไม่สู้เพิ่มพลังยุทธ์ก่อนแล้วค่อยออกไป
เมื่อตัดสินใจมั่วชิงเฉินก็ตั้งอกตั้งใจฝึกบำเพ็ญเพียร
ในน้ำเต้าไม่มีปราณวิญญาณและไม่มีปราณมรณะ ปราณที่วนเวียนอยู่ทั้งไร้สีและโปร่งแสง ตามปกติแล้ว เมื่อเข้าไปในร่างก็จะกลายเป็นพลังบริสุทธิ์อย่างรวดเร็วจนทำให้มั่วชิงเฉินตกตะลึง
นางแทบจะเห็นพลังยุทธ์เพิ่มขึ้นดุจน้ำหลากอย่างชัดเจน เมื่อเพิ่มขึ้นถึงคอขวดก็เริ่มทะลวงระดับอาจารย์ผีอย่างรวดเร็ว
นี่มันฉีกกฎสวรรค์เกินไปแล้ว หรือว่าพอตนตายแล้ว ถึงได้เริ่มเสพสุขดุจนางเอกในนิยายได้แล้ว
ขณะที่กำลังครุ่นคิด สายฟ้าสีทองก็ฟาดลงมา
มั่วชิงเฉินกระอักโลหิตออกมา ครุ่นคิดด้วยสีหน้าดำคล้ำ ขบคิดอย่างไร้สาระว่าถูกฟ้าผ่าเข้าแล้วดังคาด
นางฝืนหยุดมือแล้วมองหาที่มาของสายฟ้า พบว่าด้านบนทะเลสาบทั้งสองมีหมอกสีทองอ่อนๆ ลอยวนเวียนอยู่ สีของมันจืดจางมาก หากไม่สังเกตก็ยากจะรู้สึก
นางระมัดระวังตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มั่วชิงเฉินไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามอีก เอาแต่จ้องมองสิ่งนั้น
ก็พบว่าทุกๆ สิบสองชั่วยาม หมอกสีทองจะรวมตัวกันกลายเป็นสายฟ้าสีทองฟาดลงมาครั้งหนึ่ง
มั่วชิงเฉินนึกถึงเส้นสีทองที่โจมตีเฟิงเหนียงจื่อและบุรุษหน้าเขียว ดูแล้วคงเป็นสิ่งนี้
เจ้าของเล่นชิ้นนี้โจมตีออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจสินะ
ยามนั้นมั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าควรจะพัฒนาระดับต่อหรือไม่ หากมันฟาดลงมาในจุดสำคัญของตนก็คงรับไม่ไหว
ช่างเถอะ ออกไปก่อนแล้วค่อยคิดก็แล้วกัน
มั่วชิงเฉินคิดเช่นนั้นก็บินขึ้นไปด้านบน
ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อไปถึงปากน้ำเต้า สายฟ้าสีทองสายหนึ่งจะฟาดลงมาที่นาง
เสียง จ๋อม ดังขึ้น ตกลงไปในทะเลสาบ มั่วชิงเฉินกระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง ลูบไปตรงจุดที่โดนฟาด เกือบจะด่ากราดออกมา
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ก่อนหน้านี้อยากจะออกไปก็ไม่เป็นไรไม่ใช่หรือ
ในเมื่อออกไปไม่ได้และไม่กล้าฝึกบำเพ็ญเพียรต่อ มั่วชิงเฉินที่แช่อยู่ในทะเลสาบจึงเริ่มครุ่นคิดถึงน้ำเต้าใบนี้
จะว่าไปแล้วก็น่าสนใจ ยามที่อยู่ในแดนมนุษย์ ตนฝึกฝนจนอยู่ในระดับก่อกำเนิดแล้ว น้ำเต้าผลนี้ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไร เหตุใดพอมาถึงแดนผี เพิ่งจะฝึกฝนอยู่ในระดับแม่ทัพผีก็เข้ามาด้านในได้แล้ว
และยิ่งไปกว่านั้นตอนที่มาถึงแดนผีครั้งแรกตนก็อยู่ในระดับผีธรรมดาเท่านั้น สายฟ้าสีทองก็ออกไปปกป้องเจ้าของได้แล้ว
และยังมีการฝึกฝนที่รวดเร็วเช่นนี้ ไม่มีทางเป็นเพราะคุณสมบัติของตนเองดีแน่
เหมือนกับที่ผู้บำเพ็ญเพียรรากวิญญาณสวรรค์ในแดนมนุษย์ ก็ไม่อาจพัฒนาจากระดับหลอมลมปราณมาอยู่ในระดับก่อกำเนิดได้ในระยะเวลาสองสามเดือน
ขณะมั่วชิงเฉินกำลังพิเคราะห์พิจารณา พลันวาบประกายความคิดหนึ่งขึ้น
ไม่ว่าน้ำเต้านี้จะอยู่ในแดนมนุษย์หรือแดนผี สุราชั้นดีก็สามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืชพรรณได้ และยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีปราณวิญญาณและปราณมรณะแฝงอยู่
หรือว่า การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเพราะตน
เป็นเช่นนี้หรือไม่ สิ่งที่เข้ามาในน้ำเต้านี้ได้ก็มีเพียงดวงวิญญาณเท่านั้น กายเนื้อไม่อาจเข้ามาได้
การคาดเดาของมั่วชิงเฉิน แม้ว่าจะไม่ถูกทั้งหมด แต่ก็พอจับทางได้ รอจนนางสามารถพิสูจน์ความจริง ก็เป็นเรื่องในอนาคตแล้ว
ยามนี้นางทำได้เพียงคาดเดาเท่านั้น
ขบคิดซี้ซั้วมาหนึ่งวัน สายฟ้าสีทองที่เพิ่งผนึกรวมตัวขึ้นใหม่ก็ฟาดลงมาอีกครั้ง
“จะให้ข้ามีชีวิตอยู่หรือไม่ ฝึกฝนก็ผ่าใส่ อยากไปก็ผ่าใส่ ไม่ทำอะไรก็ผ่าใส่!” มั่วชิงเฉินกระอักโลหิตออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว
สิ่งที่ตอบสนองนางมีเพียงเสียงสะท้อนของตนเอง
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เช่นนั้นก็ฝึกบำเพ็ญเพียรเถิด ไม่แน่ว่าหากพลังยุทธ์เพิ่มขึ้นก็อาจจะไม่เจ็บแล้ว
มั่วชิงเฉินกัดฟันนั่งสมาธิ เมื่อโคจรพลังบริสุทธิ์รอบหนึ่ง ก็อยู่ในสภาวะทะลวงจุดคอขวด
สิ่งที่ทำให้นางกลัดกลุ้มก็คือ ทุกครั้งที่ถึงเวลาสำคัญ ก็จะมีสายฟ้าฟาดลงมาจนทำให้นางตาลาย กระอักโลหิตออกมา ไม่ต้องพูดถึงการพัฒนาระดับขั้น ไม่ถูกธาตุไฟเข้าแทรกใจมารแว้งกัดก็เป็นบุญผีแล้ว
เป็นเช่นนี้ต่อเนื่องเจ็ดวัน มั่วชิงเฉินยืนขึ้นด้วยหน้าดำคล้ำพลางกระโดดเข้าไปในทะเลสาบ แล้วดื่มน้ำในทะเลสาบไปอึกใหญ่
เมื่อดื่มสุราชั้นดีจนอิ่ม จิตใจถึงได้ผ่อนคลายลง แล้วเริ่มฝึกบำเพ็ญเพียรอีกครั้ง
สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายก็คือ พอเปลี่ยนทะเลสาบ ยามที่สายฟ้ารวมตัว ก็ไม่ได้ฟาดลงมา
มั่วชิงเฉินผ่อนคลายลง ในที่สุดก็ไม่ต้องทนโดนฟ้าผ่าอีก
สามวันต่อมาในน้ำเต้านั้นเงียบสงบ ดูแล้วไม่มีความผิดปกติใดๆ มั่วชิงเฉินกลับบินขึ้นไปด้านบนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ระดับอาจารย์ผี ในที่สุด นางก็ออกไปตามหาท่านปู่ได้แล้วสินะ
สายฟ้าสีทองไม่ได้ปรากฏตัว ทัศนียภาพเบื้องหน้ามั่วชิงเฉินพลันเปลี่ยนไป
…
ห้องโถงหลักของพรรคเหยากวง บรรยากาศตึงเครียดมาก
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เผยแพร่คำสั่งเรียกรวมตัวระดับปฐพีออกไป เพื่อจัดพิธีศพให้นางหนูชิงเฉินอย่างลับๆ จื่อซียังกักตัวอยู่ หากบรรลุระดับก่อกำเนิด ค่อยประกาศความตายของนางหนูชิงเฉินออกไปแก่ใต้หล้า” ตรงตำแหน่งหลัก หลิวซางเจินจวินสวมชุดนักพรตสีดำเอ่ยอย่างแช่มช้า
คำสั่งเรียกรวมตัวของพรรคเหยากวง แบ่งออกเป็นระดับนภา ปฐพี ลี้ลับ อเวจี
คำสั่งรวมตัวระดับนภา มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขึ้นไปถึงจะได้รับ คำสั่งเรียกรวมตัวระดับปฐพี ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขึ้นไปถึงจะได้รับ และเป็นเช่นนี้ตามลำดับขั้นไปเรื่อยๆ
ลูกศิษย์เหยากวงทั่วไปล้วนมีแผ่นป้ายฐานะ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ขอแค่สอดคล้องกับคำสั่งรวมตัว แผ่นป้ายฐานะก็จะมีปฏิกิริยาตอบสนอง
เมื่อคำสั่งเรียกรวมตัวถ่ายทอดออกไป ก็หมายความว่าพรรคเกิดเรื่องใหญ่แล้ว นอกเสียจากว่าจะสุดวิสัยจำใจอย่างยิ่ง ผู้ที่ได้รับคำสั่งจะต้องกลับพรรค
เสวียนหั่วเจินจวินกำพัดแน่น ยันกายลุกขึ้นยืน “ไม่ได้!”
“ศิษย์น้องเสวียนหั่ว” หลิวซางเจินจวินตะโกนออกมาอีกครั้ง
เสวียนหั่วเจินจวินรีบร้อนเอ่ยว่า “ศิษย์พี่หัวหน้าพรรค ท่านเคยคิดหรือไม่ หากลั่วหยางรู้ข่าวว่านางหนูชิงเฉินตาย จะทำอย่างไร จากที่ข้ารู้จักเขา เจ้าเด็กนั่นไม่มีทางใช้ชีวิตคนเดียวได้แน่!”
หลิวซางเจินจวินมีสีหน้าเหนื่อยล้า ถอนหายใจ “ศิษย์น้องเสวียนหั่ว เจ้าคิดว่าจะปกปิดได้หรือ พวกเขาดื่มสุรามงคลกันแล้ว ผสานใจเป็นคู่บำเพ็ญกันแล้ว เกรงว่าลั่วหยางคงกำลังเร่งรีบกลับมาแล้ว”
พัดในมือของเสวียนหั่วเจินจวินตกลงสู่พื้นดัง ตุบ กลับไม่รู้ตัวเลย พลันเอ่ยพึมพำว่า “นางหนูชิงเฉินเอ๋ย ดูจากหน้าตาของเจ้า ชัดเจนนักว่าเป็นผู้มากวาสนา เหตุใด…เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้หนอ”
หลิวซางเจินจวินเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “ศิษย์น้องเสวียนหั่ว เจ้าจงจำเอาไว้ รอจนลั่วหยางกลับมา จะต้องตามติดตลอดเวลา ห้ามปล่อยให้เขาหายตัวไป เหยากวงของพวกเรา เสียหายอีกไม่ได้แล้ว…”
เสวียนหั่วเจินจวินกลับหัวเราะอย่างประหลาดใจ ไม่ได้ตอบรับ
เสวียนหั่วเจินจวินถอนหายใจอย่างเงียบๆ มองไปยังเหิงตั๋วเจินจวิน “ศิษย์น้องเหิงตั๋ว เหอกวงยังอยู่ในหอสะสมคัมภีร์ใช่หรือไม่”
เหิงตั๋วเจินจวินพยักหน้า “ขอรับ ศิษย์น้องเหอกวงศึกษากองม้วนคัมภีร์หยกในหอสะสมคัมภีร์อย่างมิพักมินอน ดูแล้ว…ไม่ค่อยดีนัก”
หอสะสมคัมภีร์ตั้งอยู่ชั้นสูงสุดของหอคอยคัมภีร์ ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระดับก่อกำเนิดไม่อาจเข้าไปได้ ม้วนคัมภีร์หยกที่สะสมอยู่ด้านในล้วนมีข้อมูลมากมาย ในยามปกติแล้วอ่านจบม้วนหนึ่ง อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งปี
กู้หลีกอดศพของมั่วชิงเฉินกลับมา แล้วก็เข้าไปในหอสะสมคัมภีร์ คิดจะหาเคล็ดวิชาลับพาคนกลับมาจากความตาย
หลิวซางเจินจวินขมวดคิ้วแน่น “ครึ่งปีถึงจะอ่านคัมภีร์จบม้วนหนึ่ง เหอกวงจะจุดตะเกียงน้ำมันจนหมดหรืออย่างไร ศิษย์น้องเหิงตั๋ว เจ้าเข้าไปในหอสะสมคัมภีร์ บังคับแปะยันต์สงบจิตกับเขา ให้เขาได้พักผ่อน”
“ขอรับ” เหิงตั๋วเจินจวินรับยันต์สงบจิตใจแล้วเดินออกไป
“ศิษย์หลาน ถ่ายทอดคำสั่งเถิด” หลิวซางเจินจวินเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ศิษย์รับคำสั่ง” นักพรตฟางเหยาเดินออกไป
ผู้คนต่างแยกย้ายกันไป หลิวซางเจินจวินนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างหดหู่ แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ
…
ที่ราบชื่อเจ่า
ในป่ารกทึบ ต้วนชิงเกอแบกตะกร้าไผ่ใบเล็กๆ ก้มตัวลงเด็ดเห็ดเจ็ดสี
“ชิงเกอ นี่คืออะไร” ถังมู่เฉินพุ่งออกมาจากที่ใดก็ไม่รู้ ยืนอยู่ตรงหน้าต้วนชิงเกอ
ต้วนชิงเกอเงยหน้าขึ้นอย่างจนปัญญา มองของในมือของถังมู่เฉินด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย “ดอกหลงใหลหรือ”
มองท่าทีดีใจของต้วนชิงเกอ ถังมู่เฉินก็จิตใจเบิกบาน ทว่าผู้ที่เพิ่งได้รับความดีความชอบจากผู้อื่นเวลานี้กลับเห็นต้วนชิงเกอหน้าเปลี่ยนสี
“ชิงเกอ เป็นอะไรหรือ”
ต้วนชิงเกอควักแผ่นป้ายฐานะสีเขียวออกมา แล้วเอ่ยพึมพำว่า “คำสั่งเรียกรวมตัวระดับปฐพี…”
ถังมู่เฉินเข้ามาใกล้อย่างแปลกใจ พลางเอ่ยถาม “หมายความว่าอย่างไร”
ต้วนชิงเกอมีสีหน้าฉงน “สหายถัง ข้าต้องกลับพรรคทันที ขอตัวลา” เอ่ยจบก็เหยียบสมบัติวิเศษเหินหาวแล้วทะยานไป
“นี่ รอข้าก่อน” ถังมู่เฉินรีบไล่ตามไป
…
นิกายเทียนเจิ้น อยู่ในเขตของเมืองเสวียนจี
“สหายมั่ว วันนี้เชิญเจ้ามาติดตั้งค่ายกลได้ นับเป็นเกียรติของพวกเราศิษย์พี่น้องจริงๆ พวกเราเริ่มกันเถิด” บุรุษสวมชุดนักพรตลายแผนผังแปดทิศเอ่ยพร้อมกับอมยิ้ม
“อืม” มั่วหลีลั่วพยักหน้าอย่างราบเรียบ ฉับพลันนั้นก็ขมวดคิ้ว ก้มหน้าลงมองแผ่นป้ายแสดงฐานะในแขนเสื้อ ฉับพลันนั้นก็ยืนขึ้น “ขอประทานโทษ ข้าน้อยมีธุระต้องขอตัวก่อน เรื่องการวางค่ายกล ค่อยว่ากันทีหลังก็แล้วกัน”
เอ่ยจบก็ไม่รอให้ทั้งสองตอบรับ ก็กระโดดออกมาจากหน้าต่างด้วยท่วงท่าสง่างาม
“หญิงผู้นี้ไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลย!” บุรุษอีกคนหนึ่งตบโต๊ะแล้วยืนขึ้น
บุรุษก่อนหน้าจ้องเขม็งไปยังหน้าต่าง “บางที สหายมั่วอาจจะมีธุระด่วนจริงๆ กระมัง”
วันที่สองหลังจากที่เหยากวงถ่ายทอดคำสั่งเรียกรวมตัวระดับปฐพีอย่างหาได้ยากออกไป ประตูพรรคก็มีบุรุษท่าทางจนตรอกผู้หนึ่งร่อนลงมา