บุรุษผู้นี้สวมชุดที่แยกแยะสีสันไม่ออก ผิวพรรณไหม้เกรียม ดูแล้วเหมือนกับเพิ่งกระโดดออกมาจากทะเลเพลิงทั้งเป็นอย่างไรอย่างนั้น
เขาร่อนลงมาอยู่ตรงหน้าประตูพรรคเหยากวง แล้วล้มลงมาบนพื้น
ลูกศิษย์ที่คุ้มกันพรรคเข้าไปตรวจสอบอย่างประหลาดใจ พอเข้าใกล้ก็เห็นบุรุษผู้นี้ยกศีรษะขึ้น
“ลั่วหยางเจินจวิน!” ลูกศิษย์ที่คุ้มกันพรรคตกใจจนสะดุ้งโหยง “เกิด เกิดอะไรขึ้นกับท่าน”
เยี่ยเทียนหยวนขยับริมฝีปากอย่างยากลำบาก “ชิง…ชิงเฉิงเจินจวินกลับมาหรือยัง”
ลูกศิษย์ผู้คุ้มกันพรรคส่ายศีรษะ “ชิงเฉิงเจินจวินหรือ ดูเหมือนว่าศิษย์จะไม่เห็นนางกลับมาเลย”
การดับสูญของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด เป็นเรื่องใหญ่มากของพรรค แน่นอนว่าศิษย์ระดับต่ำเหล่านี้ย่อมไม่มีทางรู้ได้
“พาข้าเข้าไป พบผู้เฒ่าสูงสุดหัวหน้าพรรค” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ย
เขาฝ่าหุบเขาวิญญาณเพลิงซึ่งอยู่ในช่วงเวลาที่เปลวเพลิงร้อนแรงที่สุดออกมา ต่อให้มีวิญญาณเพลิงอยู่ร่าง ก็ทำได้เพียงปกป้องเขาไม่ให้ถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านเท่านั้น ร่างกายกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส หากไม่ได้อาศัยความเพียรพยายามอันน่าตกตะลึง คงล้มไประหว่างทางตั้งนานแล้ว
เห็นท่าทางเช่นนี้ของเยี่ยเทียนหยวน ศิษย์ผู้คุ้มกันพรรคพลันลนลาน รีบประคองเขาตรงไปยังยอดเขาโฮ่วเต๋อ
“ผู้เฒ่าสูงสุดหัวหน้าพรรค ลั่วหยางเจินจวินกลับมาแล้ว” นักพรตฟางเหยาที่พบเยี่ยเทียนหยวนระหว่างทางเป็นคนพาเขาเข้าไป
“ไปเชิญเสวียนหั่วเจินจวินมา” หลิวซางเจินจวินถ่ายทอดเสียงไปหานักพรตฟางเหยา สาวเท้ายาวๆ มาอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนหยวน
ขมวดคิ้วมอง สะบัดแขนเสื้อนั่งคุกเข่าลง กำข้อมือของเยี่ยเทียนหยวนและแทรกพลังวิญญาณเข้าไป
ชั่วครู่ เยี่ยเทียนหยวนก็ฟื้นฟูกำลังกลับมาเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองหลิวซางเจินจวิน “ศิษย์พี่หัวหน้าพรรค ชิงเฉินนาง นางกลับพรรคมาหรือยัง”
หลิวซางเจินจวินจิตใจหนักอึ้ง มองสายตาร้อนฉ่าของเยี่ยเทียนหยวนพลันพยักหน้าช้าๆ
การพยักหน้าเช่นนี้ ราวกับคนที่จมน้ำแล้วมองเห็นท่อนไม้สำหรับเยี่ยเทียนหยวน ความปีติยินดีล้นทะลักเข้ามาในหัวใจ “ลั่วหยาง…อยากพบนางสักหน่อย…”
“ได้” หลิวซางเจินจวินคิดเพียงว่าผู้ที่มีพลังยุทธ์และฐานะอย่างเขา ล้วนเฉยชากับเรื่องต่างๆ นานาแล้ว แต่กลับพบว่าคำว่า ‘ได้’ คำนี้ พูดออกไปยากลำบากนัก
เยี่ยเทียนหยวนมุมปากหยักขึ้น ดูแล้วกำลังฉีกยิ้ม
“ลั่วหยางกลับมาแล้วหรือ” ตามมาด้วยเสียงอุทาน เสวียนหั่วเจินจวินกระโจนเข้ามา
“ลั่วหยาง เหตุ เหตุใดเจ้าถึงเป็นเช่นนี้” เห็นสภาพของเยี่ยเทียนหยวน เสวียนหั่วเจินจวินพลันตกใจจนสะดุ้งโหยง
เยี่ยเทียนหยวนหยักมุมปาก “ท่านเทียด ลั่วหยางไม่เป็นอะไร เพียงอยากพบชิงเฉินสักหน่อย”
เสวียนหั่วเจินจวินอดที่จะเงยหน้าขึ้นไม่ได้ มองหลิวซางเจินจวินปราดหนึ่ง
หลิวซางเจินจวินพยักหน้า
เสวียนหั่วเจินจวินฝืนยิ้ม “ลั่วหยางเอ๋ย เจ้าดูสภาพของเจ้าสิ นางหนูชิงเฉินเห็นแล้วคงตกใจ จัดแจงสภาพให้ดีก่อนแล้วค่อยว่ากันเป็นอย่างไร”
แม้ว่าเยี่ยเทียนหยวนจะอยากพบมั่วชิงเฉินในทันที แต่กลับกลัวว่านางจะเป็นกังวล จึงพยักหน้า
เข้าไปในห้อง ฉีกเสื้อผ้าที่แนบติดร่างออกทีละน้อยๆ เกิดเสียงดัง แควกๆ เสื้อผ้าฉีกขาดกับกายเนื้อล้วนเป็นสีดำ
เขาไม่ได้ขมวดคิ้ว รีบจัดแจงตัวเองให้เหมาะสมแล้วเดินออกมา
หลิวซางเจินจวินและเสวียนหั่วเจินจวินนำทางไปพร้อมกัน
เยี่ยเทียนหยวนเม้มปาก “ท่านเทียด ชิงเฉินนางได้รับบาดเจ็บหนักใช่หรือไม่”
เสวียนหั่วเจินจวินหยุดชะงักฝีเท้า สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันกลับไป “ลั่วหยาง เจ้ามานี่สิ”
เยี่ยเทียนหยวนเดินไป
“ลั่วหยาง นางหนูชิงเฉินนาง…ดับสูญแล้ว” เสวียนหั่วเจินจวินเปล่งคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก พลางจ้องเยี่ยเทียนหยวนเขม็ง
เยี่ยเทียนหยวนร่างกายสั่นเทาแล้วกลับมามั่นคง ใบหน้าดูสีหน้าไม่ออก เอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “ท่านเทียด ท่านกำลังล้อลั่วหยางเล่นหรือ ข้าต้องการพบนาง”
เสวียนหั่วเจินจวินถอนหายใจยาวๆ ออกมา “เจ้าตามข้ามา”
ตั้งแต่มั่วชิงเฉินจากยอดเขาลั่วเถามา ยอดเขาแห่งนั้นก็ปิดผนึกไปแล้ว ไม่มีศิษย์คนใดเข้าพัก ศพของมั่วชิงเฉินอยู่ในนั้นอย่างสงบ
เมื่อเข้าไปในห้องลับของจวนพำนัก เยี่ยเทียนหยวนมองปราดเดียวก็เห็นมั่วชิงเฉินที่นอนอยู่ในโลงผลึกแก้ว
เขาแทบจะโผทะยานเข้าไปหา ใช้แรงทั้งหมดเปิดฝาโลงออก โอบกอดมั่วชิงเฉินเอาไว้
กายเนื้อของมั่วชิงเฉินยังคงนุ่มนิ่ม สีหน้าแม้กระทั่งแดงระเรื่อ ดูแล้วเหมือนกำลังหลับสนิท เพียงแต่เย็นเยียบจนไม่เหลือกลิ่นอายของคนเป็น
“ศิษย์น้อง…” เรียวนิ้วของเยี่ยเทียนหยวนลูบลงบนปรางแก้มของมั่วชิงเฉิน ไล้สัมผัสจากเนินคิ้วจรดลงริมฝีปาก
“ลั่วหยาง…” เสวียนหั่วเจินจวินทนไม่ไหวตะโกนออกมาเสียงหนึ่ง
หลิวซางเจินจวินตบบ่าของเสวียนหั่วเจินจวินแล้วส่ายศีรษะ ถ่ายทอดเสียงไปว่า “ศิษย์น้องเสวียนหั่ว พวกเราออกไปกันก่อนเถิด”
“แต่ลั่วหยางเขา…” เสวียนหั่วเจินจวินรู้สึกลังเลอยู่บ้าง
“ไม่หรอก อย่างน้อย เขาก็ต้องถามสาเหตุการตายของนางหนูชิงเฉิน ยามนี้ ให้เวลาพวกเขาทั้งสองคนสักหน่อยเถิด” หลิวซางเจินจวินถ่ายทอดเสียงไป
ทั้งสองจึงถอยออกไปอย่างเงียบๆ
“ศิษย์น้อง ข้ากลับมาแล้ว เหตุใดเจ้าถึงหลับไปเล่า” แววตาของเยี่ยเทียนหยวนเต็มไปด้วยความอ่อนโยน กอดมั่วชิงเฉินเอาไว้แนบแน่น
เผาะ เผาะ
หยาดน้ำตาแต่ละหยดตกกระทบลงบนร่างของมั่วชิงเฉิน ย้อมชุดคลุมสีเขียวจนกลายเป็นสีแดงฉานทั่วทั้งผืนอย่างรวดเร็ว
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นน้ำตาโลหิต!
เยี่ยเทียนหยวนกลับไม่รู้สภาวะของตนเอง ก้มหน้าลจุมพิตริมฝีปากของมั่วชิงเฉิน ถ่ายทอดไฟจริงเข้าไป
ในอดีต ขอแค่ทั้งสองเข้าใกล้กัน เพลิงวาสนาตะวันและเพลิงแก้วใจกระจ่างก็แทบจะพุ่งทะลักออกมาจากร่าง คิดอยากเข้าไปในร่างของอีกฝ่ายจนแทบทนไม่ไหว
แต่ครานี้ เพลิงวาสนาตะวันกลับไหลไปตามชีพจรอย่างเดียวดาย สุดท้ายก็เข้าสู่ตันเถียน
ในตันเถียน ทารกปราณตัวน้อยที่หน้าตาเหมือนมั่วชิงเฉินทุกกระเบียดนิ้วหลับตาทั้งสองข้างลงนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน
ทารกปราณของเยี่ยเทียนหยวนกระโจนเข้ามาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ โอบกอดทารกปราณของมั่วชิงเฉินเอาไว้ ไล่จุมพิตไปตามกายทีละชุ่นๆ อย่างแผ่วเบา อ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง ส่งพลังปราณมาให้นางผ่านริมฝีปาก
เนิ่นนาน ทารกปราณของมั่วชิงเฉินยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
ประกายแสงในแววตาของเยี่ยเทียนหยวนพลันหม่นลง สุดท้ายก็เหลือเพียงความเงียบสงัด ในที่สุดก็ยอมรับความจริงว่ามั่วชิงเฉินไม่อยู่แล้ว
ความจริงแล้ว วินาทีที่มั่วชิงเฉินเกิดเรื่อง ความรู้สึกเจ็บปวดที่ผุดขึ้นมาในขั้วใจก็อธิบายทุกอย่างได้แล้ว เพียงแต่เขาไม่กล้าจะเชื่อ และไม่ยินยอมจะเชื่อ
เยี่ยเทียนหยวนก้มหน้าลงจุมพิตหน้าผากมั่วชิงเฉิน แล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “ศิษย์น้อง เจ้าอย่าไปเร็วนักสิ รอลั่วหยางแก้แค้นแทนเจ้าเสียก่อน แล้วจะไปหาเจ้า”
เอ่ยจบก็ยืนขึ้น มองมั่วชิงเฉินอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง แล้วผลักประตูออกมา
“ลั่วหยาง?” หลิวซางเจินจวินและเสวียนหั่วเจินจวินร้องตะโกนออกมาพร้อมกัน
“ชิงเฉินนาง ดับสูญได้อย่างไร” น้ำเสียงของเยี่ยเทียนหยวนเย็นชาไร้ความรู้สึก ทำให้ผู้ที่ได้ฟังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่สะกดเอาไว้
“เจ้าปีศาจ ศิษย์ของชิงเฉินเป็นจิตดวงหนึ่งของเจ้าปีศาจกลับชาติมาเกิด เจ้าปีศาจคิดจะให้ดวงจิตกลับคืนร่าง ชิงเฉินยอมตายไม่ยอมสยบ เจ้าปีศาจจึงลงมือสังหาร” เสวียนหั่วเจินจวินอธิบายสถานการณ์รอบหนึ่ง
เยี่ยเทียนหยวนไม่ปริปากใดๆ สาวเท้ายาวๆ ก้าวเดินออกไป
ร่างของหลิวซางเจินจวินพลิ้วไหวไปต้านทานอยู่เบื้องหน้าเขา “ลั่วหยาง เจ้าจะไปที่ใด”
“ข้าจะไปหาเจ้าปีศาจ” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ลั่วหยาง เจ้าอยากแก้แค้นแทนนางหนูชิงเฉิน นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่ดี พลังยุทธ์ของเจ้ากับเจ้าปีศาจห่างชั้นกันมาก จะแก้แค้นแทนนางได้อย่างไร” หลิวซางเจินจวินเอ่ยถาม
เยี่ยเทียนหยวนมองหลิวซางเจินจวินโดยไม่ปริปาก
“หากเจ้าอยากสังหารศัตรูจริงๆ ก็พยายามฝึกบำเพ็ญเพียรเข้า รอจนมีกำลังค่อยไปแก้แค้น เช่นนั้น ถึงจะทำเพื่อชิงเฉินได้” หลิวซางเจินจวินเอ่ยชักจูง
ฉับพลันนั้นเยี่ยเทียนหยวนพลันหัวเราะออกมา ดูแล้วย่ำแย่เสียยิ่งกว่าการร้องไห้เสียอีก มองหลิวซางเจินจวินด้วยสีหน้าจริงจังไร้ที่เปรียบ “ศิษย์พี่หัวหน้าพรรค ข้าเข้าใจที่ท่านพูด เพียงแต่…ข้ารอนานขนาดนั้นไม่ได้ ข้ากลัวว่าจะสายเกินไป แล้วจะหานางไม่เจอ”
“ลั่วหยาง…”
หลิวซางเจินจวินยังคิดจะชักจูงอีก เสวียนหั่วเจินจวินกลับเอ่ยขึ้นว่า “ลั่วหยาง เทียดแนะนำให้เจ้าไปแก้แค้น”
เยี่ยเทียนหยวนเงยหน้าขึ้นมองเสวียนหั่วเจินจวิน แล้วค่อยๆ คุกเข่าลง “ลั่วหยางอกตัญญู ขอบพระคุณท่านเทียดที่สนับสนุน”
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นการก้มลงกราบ
เสวียนหั่วเจินจวินพยุงเขาขึ้นมา “ทว่า เจ้าอย่าใจร้อน ต้องรอให้งานศพของชิงเฉินเสร็จสิ้นก่อน เจ้าไม่อาจปล่อยให้นางกลับคืนสู่ธรณีเพียงลำพังได้”
ในที่สุดเยี่ยเทียนหยวนก็พยักหน้า เดินกลับไปทีละก้าวๆ “ลั่วหยางจะไปอยู่เป็นเพื่อนศิษย์น้อง”
ประตูห้องค่อยๆ ปิดลง
“ศิษย์น้องเสวียนหั่ว เจ้ายอมให้ลั่วหยางไปแก้แค้นจริงๆ หรือ” หลิวซางเจินจวินมีสีหน้าเคร่งขรึม
ในฐานะผู้เฒ่าสูงสุดหัวหน้าพรรคของเหยากวง แน่นอนว่าเขาต้องขบคิดถึงปัญหาของพรรค สูญเสียผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสองคนต่อเนื่องกัน อนาคตเขาจะมีหน้าไปพบบรรพชนรุ่นก่อนได้อย่างไร
เสวียนหั่วเจินจวินหัวเราะอย่างจนปัญญา “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ยื้อเวลาไปก่อนสักสองสามวันแล้วค่อยว่ากัน บางทีเขาอาจจะเข้าใจขึ้น”
“หากเขาจะไปให้ได้ล่ะ”
เสวียนหั่วเจินจวินโบกพัด “เช่นนั้นข้าก็จะตบเขาให้สลบ ให้เขานอนหลับไปสักสามเดือนห้าเดือน แล้วถือโอกาสหนีไปตามหาหญ้าลืมกังวล”
วิธีที่จะคลายกังวลได้ มีเพียงแค่ต้องลืมเลือนเรื่องราวและผู้ที่ทำให้โศกเศร้าไปเท่านั้น
หญ้าลืมกังวลเป็นหญ้าอัศจรรย์ชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นทางใต้ของที่ราบชื่อเจ่า มีอานุภาพมหัศจรรย์
เนิ่นนาน หลิวซางเจินจวินพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ “ก็มีเพียงต้องทำเช่นนี้”
งานศพของมั่วชิงเฉินถูกกำหนดไว้อีกหนึ่งเดือนให้หลัง
ช่วงเวลานี้ มีศิษย์ระดับก่อแก่นปราณขึ้นไปของเหยากวงกลับมาอย่างต่อเนื่อง แต่แค่ยังไม่ถึงเวลา พวกเขาก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
“ท่านผู้เฒ่าสูงสุดหัวหน้าพรรค นักพรตซู่เหยียนกลับมาแล้ว” ผู้ดูแลพรรคเหยากวงเข้ามารายงาน
แม้ว่าต้วนชิงเกอจะเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ แต่ในด้านการแพทย์กลับมีพรสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง ยามนี้ทั้งเหยากวง เคล็ดวิชาแพทย์ไม่มีผู้ใดเกินหน้านางแล้ว
หลิวซางเจินจวินเงียบขรึมไปชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “นักพรตซู่เหยียนและชิงเฉิงเจินจวินมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน บอกเรื่องที่ชิงเฉิงเจินจวินดับสูญกับนางเถิด และให้นางรักษาอสูรวิญญาณสองตัวของชิงเฉิงเจินจวิน”
“ขอรับ” นักพรตฟางเหยาถอยออกไป
ต้วนชิงเกอรีบร้อนมาฝุ่นตลบ แต่กลับปกปิดความงดงามเอาไว้ไม่ได้ เห็นนักพรตฟางเหยาออกมาก็แสดงความเคารพครึ่งหนึ่ง “ศิษย์พี่ผู้ดูแล ในพรรคเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดถึงออกคำสั่งเรียกรวมตัวระดับปฐพี”
นักพรตฟางเหยาเงียบขรึมไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ชิงเฉิงเจินจวินดับสูญแล้ว”
“อะไรนะ” ต้วนชิงเกอพลันหน้าซีดขาว ชั่วพริบตานั้นน้ำตาพลันล้นทะลักออกมา กัดริมฝีปากแน่นพลางเอ่ยว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร!”
“เป็นความจริง หลิวซางเจินจวินอยากให้ศิษย์น้องรักษาอสูรวิญญาณของชิงเฉิงเจินจวินสักหน่อย” นักพรตฟางเหยาเอ่ย
ต้วนชิงเกอสั่นศีรษะ “ไม่ ข้าจะไปดูชิงเฉินก่อน”
“เรื่องนี้…” นักพรตฟางเหยาลังเลเล็กน้อย “ลั่วหยางเจินจวินเฝ้าอยู่ข้างกายชิงเฉิงเจินจวินตลอด ศิษย์น้องซู่เหยียน พวกเราอย่าไปรบกวนจะดีกว่า”
“แม้แต่พบหน้าสักคราก็ไม่ได้หรือ” ต้วนชิงเกอเดินออกมาอย่างใจลอย หยดน้ำตาดุจไข่มุกดูเหมือนว่าจะไหลลงมาเป็นสาย
ถังมู่เฉินที่คุ้มกันอยู่นอกประตูพลันตกใจ รีบร้อนเข้ามาซักถาม “ชิงเกอ เป็นอะไร เจ้าร้องไห้ทำไมกัน”
ถังมู่เฉินหมกหมุ่นอยู่กับต้วนชิงเกอมาตั้งหลายปี แม้ว่าสีหน้าของต้วนชิงเกอจะไม่ไยดี แต่นานวันเข้า กลับแยกแยะได้เล็กน้อย ยามนี้สติเลื่อนลอย จึงเอ่ยออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว “สหายถัง ชิงเฉินนางตายแล้ว”
เอ่ยจบก็อดไม่ไหวอีก โผเข้าหาหัวไหล่ของถังมู่เฉินแล้วร่ำไห้ออกมาอย่างทุกข์ระทม