“นางหนูน้อย เจ้าคิดอะไรอยู่?” ดวงตาสีฟ้าของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณผู้งามหยาดฟ้ามาดินเหมือนไพลินส่องประกายแวววับ พิจารณามั่วชิงเฉินอยู่
“ข้ากำลังคิด ว่าท่านต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่เก่งกาจที่สุดที่ข้าเคยพบมาแน่นอน” มั่วชิงเฉินตอบด้วยความสัตย์จริง
ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณหัวเราะขึ้นมาเบาๆ เหมือนเสียงกระดิ่งที่ทำจากวัสดุชั้นเลิศดังกุ๊งกิ๊ง “สิ่งมีชีวิต? หึๆ เจ้าพูดเก่งมาก เช่นนั้นเจ้ารู้สึกว่าข้าเป็นอสูรปีศาจชั้นใดที่พวกเจ้ามนุษย์เรียกกันล่ะ?”
มั่วชิงเฉินลองเชิงว่า “อย่างน้อยชั้นเก้ากระมัง?”
“ชั้นเก้า?” ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณหัวเราะนิ่งเรียบ
ไม่รู้เพราะเหตุใด มั่วชิงเฉินรู้สึกได้ถึงความอ้างว้างและโศกเศร้า ในรอยยิ้มที่ไม่รู้ความหมายนี้
“เจ้าเป็นคนของตระกูลหวังหรือ?” ทันใดนั้นปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณถามขึ้น
มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรจากที่อื่น มาถึงที่นี่โดยบังเอิญ”
“มิน่าล่ะ” ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณพึมพำว่า
มั่วชิงเฉินรู้สึกแปลกใจ ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณนี้เวลาพูดจาดูเหมือนมักแฝงไว้ด้วยความหมายลึกซึ้ง
ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งว่า “ไม่ว่าเช่นไร เจ้ามาที่นี่ก็เพื่อเอาน้ำตาของเผ่าพันธุ์ข้าสินะ?”
แม้จะบอกว่ามั่วชิงเฉินได้น้ำตาของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณไปก็ไม่มีวัตถุดิบและเทียบโอสถที่จะหลอมโอสถทิพย์ชนิดนั้นของตระกูลหวังได้ ทว่าหากนางมอบน้ำตาให้คุณชายหกละก็ยังเป็นไปได้ว่าจะได้โอสถทิพย์เม็ดหนึ่ง จึงไม่ได้ปฏิเสธว่า “ใช่เจ้าค่ะ”
ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณกระดกมุมปากยิ้มขึ้นว่า “นางหนูน้อย เจ้าก็ซื่อสัตย์มากทีเดียว”
มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร ต่อหน้าความสามารถเบ็ดเสร็จ การที่ซื่อสัตย์สักหน่อยจึงจะเป็นวิธีรับมือที่ดีที่สุดกระมัง
“อยากได้น้ำตาของข้าไม่ยาก เพียงใช้ของสิ่งหนึ่งของเจ้ามาแลกเปลี่ยน” ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณเปิดปากว่า ดวงตางดงามที่เกี่ยววิญญาณได้คู่นั้นมองมั่วชิงเฉินอย่างไม่กะพริบ ทันใดนั้นเอ่ยอีกว่า “ที่แท้นางหนูน้อยเจ้าไม่เพียงแต่ฉลาด ยังมีรูปโฉมงดงามด้วย”
คำพูดนี้ก็เดาไม่ถูกว่าดีหรือร้ายแล้ว มั่วชิงเฉินหนักใจทันที หรือว่ามันอยากได้หนังของตน?
นึกถึงตรงนี้รู้สึกขนลุกชูชันทันที นางเคยเห็นในบันทึกปกิณกะบางอย่าง มีผู้บำเพ็ญเพียรชั้นสูงที่ร่างเนื้อได้รับความเสียหายจึงทำการแย่งชิงเปลือกจากผู้บำเพ็ญเพียรชั้นต่ำ กระทั่งอสูรปีศาจบางอย่างก็ทำเช่นนี้
แม้จะบอกว่ารูปโฉมภายนอกของนางนี้หากเปิดเผยออกมาจะนำความยุ่งยากมาให้บ้าง แต่กลับไม่เคยเกิดคลื่นลมขึ้นเพราะการอำพรางและทำตัวค้อมต่ำมาหลายปีของนาง ยิ่งกว่านั้นจะมีหญิงสาวที่ไหนไม่อยากมีหน้าตาดีจริงๆ ล่ะ
โยนเรื่องพวกนี้ออกไปไม่พูดถึง ผู้บำเพ็ญเพียรที่ถูกแย่งเปลือกจุดจบมีเพียงอย่างเดียวคือวิญญาณแตกสลาย นั่นเป็นเรื่องที่น่าอนาถยิ่งนัก ดังนั้นการกระทำแย่งเปลือกเช่นนี้ถูกเห็นเป็นเรื่องต้องห้ามในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรมาตลอด หากรู้ว่ามีคนแย่งเปลือก ผู้บำเพ็ญเพียรชั้นสูงที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านบางคนก็จะทำการไล่ฆ่าคนคนนั้น
ต่อให้ในกฎเกณฑ์ฟ้าดินที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ก็มีข้อจำกัดมากมายเกี่ยวกับการแย่งเปลือก ก่อนอื่นผู้บำเพ็ญเพียรไม่สามารถแย่งเปลือกจากคนธรรมดา หากใช้คาถานี้กับคนธรรมดาเมื่อใด เขาจะถูกคาถาสะท้อนกลับ ต่อมามีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรตบะสูงสามารถทำการแย่งเปลือกผู้บำเพ็ญเพียรตบะต่ำได้ ตบะของทั้งสองคนยิ่งใกล้กันยิ่งล้มเหลวได้ง่าย ในทางกลับกันอัตราความสำเร็จก็จะสูงตามไปด้วย ที่สำคัญที่สุดข้อหนึ่งคือ ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งในช่วงชีวิตหนึ่งทำการแย่งเปลือกได้เพียงครั้งเดียว ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรคิดจะแย่งเปลือกก็ต้องรอบคอบให้มาก
ราวกับเดาความคิดของมั่วชิงเฉินได้ ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณฮึเสียงเย็นเสียงหนึ่ง “นางหนูน้อย เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดเหลวไหล ของที่ข้าอยากได้จากเจ้าย่อมเป็นของที่เจ้าให้ได้”
เสียงฮึเย็นชานี้ราวกับฟ้าร้องก็ไม่ปาน ทำให้ร่างกายมั่วชิงเฉินไกวไปมาทีหนึ่ง เหงื่อเย็นไหลออกมาทันที จึงเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ไม่ทราบท่านผู้อาวุโสอยากให้ข้าน้อยใช้สิ่งใดมาแลกเปลี่ยนเจ้าคะ?”
“ของที่ข้าต้องการสำหรับเจ้าแล้วง่ายมาก ก็คือไฟจริงกองหนึ่งในร่างเจ้า” ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน
คำพูดประโยคนี้กลับทำให้มั่วชิงเฉินตกตะลึงมากกว่าเสียงฮึเย็นชาเมื่อครู่อีก นางเบิกตากว้างจ้องใบหน้าที่ไม่มีคลื่นลมของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณด้วยความตื่นเต้น
ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณมองดูท่าทางตกใจของมั่วชิงเฉินแล้วจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา “หากข้าเดาไม่ผิด ไฟจริงของเจ้าคือหนึ่งในสามไฟมหัศจรรย์เพลิงแก้วใจกระจ่างสินะ?”
มั่วชิงเฉินฝืนกดคลื่นที่โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่งในใจลงไป ก้มหน้าลงครึ่งหนึ่งว่า “ท่านผู้อาวุโสคาดการดั่งเทพจริงๆ” ในใจกลับกำลังคิดว่าตกลงตรงไหนเกิดผิดพลาดกันแน่ ตนไม่เคยกล้าใช้คาถาธาตุไฟมาก่อน ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนเหตุใดจึงรู้ว่าตนมีเพลิงแก้วใจกระจ่างติดตัวนะ?
ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณพิจารณาสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของมั่วชิงเฉิน เปิดปากว่า “นางหนูน้องที่ฉลาดก็เจ้าแผนการด้วยจริงๆ บอกเจ้าก็ไม่เป็นไร แม้จะบอกว่าแรงดึงดูดของเสียงเพลงเผ่าพันธุ์เราที่มีต่อหญิงสาวเทียบกับที่มีต่อผู้ชายแล้วอ่อนกว่าเล็กน้อย ทว่าก็ไม่เหมือนเจ้าที่ได้สติกลับมาได้ในพริบตา หลายปีมานี้ เจ้าเป็นคนที่สองที่ได้สติในเวลาอันสั้นเช่นนี้”
“คนที่สอง?” มั่วชิงเฉินฟังความนัยออกมาได้เล็กน้อย ในใจเกิดความคิดอะไรขึ้นมาเล้ว
ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณย้อนรำลึกว่า “ข้าจำได้ว่าเมื่อนานมากแล้วมีนางหนูคนหนึ่งเคยมาที่นี่ นางก็ได้สติในเวลาแสนสั้น ใช่แล้ว นางแซ่มั่ว…”
มั่วชิงเฉินสีหน้าเปลี่ยนทันที เสียงหลงว่า “แซ่มั่ว?” ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าเหตุใดปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณนี้ถึงเดาได้ว่านางมีเพลิงแก้วใจกระจ่างแล้ว ที่แท้พันปีก่อนมันเคยพบบรรพบุรุษท่านนั้นของตนมาก่อน!
“ข้า…บรรพบุรุษของข้าเป็นคนเช่นไร?” มั่วชิงเฉินอ้าปาก ทนไม่ไหวต้องถามขึ้น
“ในเวลานั้นตบะของนางสูงกว่าเจ้าสักหน่อย อืม น่าจะเป็นระดับก่อกำเนิดที่ผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์อย่างพวกเจ้าเรียกกันกระมัง นิสัยกลับร่าเริงไม่เท่าเจ้า ทว่า นางสวยมาก” ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณพูดพลางกวาดสายตามองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง
มั่วชิงเฉินอยากหัวเราะเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรืออสูรปีศาจ ขอเพียงเป็นเพศเมีย ก็ต้องสนใจข้อนี้ใช่หรือไม่?
ทว่าต่อจากนั้นรอยยิ้มข้างปากกลับค้างอยู่ ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณตนนี้ใช้น้ำเสียงสบายๆ เช่นนี้บอกว่าตบะของบรรพบุรุษตนสูงกว่าตนสักหน่อย คือระดับก่อกำเนิด เช่นนี้แล้ว เช่นนั้นมันมิใช่…มิใช่ว่าอย่างน้อยมันต้องมีตบะเทียบเท่าระดับถอดดวงจิตในผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์หรอกหรือ?
เมื่อเดาได้เช่นนี้แล้ว มั่วชิงเฉินตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก จึงพิจารณาปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณตรงหน้ามากขึ้นหลายปราดอย่างไม่รู้ตัว
ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณกลับดูเหมือนไม่สังเกตเอ่ยต่อว่า “ใช่แล้ว ที่มาพร้อมนางยังมีผู้ชายคนหนึ่ง”
จำได้ว่าท่านปู่เคยพูดว่า หลังจากบรรพบุรุษหญิงท่านนั้นหายสาบสูญไปพอกลับมาก็มีตบะระดับก่อกำเนิด อยู่ในตระกูลร้อยกว่าปีแล้วจากไปอีกหลังจากนั้นก็ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นอีกเลย น่าจะเป็นเวลานั้นที่นางมาถึงทะเลขนาบใจนี่กระมัง เช่นนั้นคิดเช่นนี้ได้หรือไม่ว่า สุดท้ายนางก็หาคนรักที่จะจูงมือไปด้วยกันตลอดชีวิตเจอ แล้วไล่ตามหนทางแห่งอายุยืนยาวไปด้วยกันแล้วนะ?
ไม่รู้เพราะเหตุใด มั่วชิงเฉินยินยอมคิดเช่นนี้ ในใจหวังอย่างจริงใจให้บรรพบุรุษหญิงที่เก่งกาจงดงามท่านนั้นมีที่พึ่งพิงอย่างมีความสุข
“เจ้าอิจฉามากใช่หรือไม่?” ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณมองดูสีหน้าของมั่วชิงเฉินแล้วถามว่า
มั่วชิงเฉินชะงัก จากนั้นยิ้มว่า “ไม่ใช่อิจฉาเจ้าค่ะ เพียงแต่ได้ยินท่านผู้อาวุโสบอกว่าบรรพบุรุษหญิงท่านนั้นของข้ามีคนเคียงข้าง จึงยินดีกับนางจากใจจริง”
สีหน้าของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณอ้างว้างขึ้นมาทันที นิ่งเงียบไปเนิ่นนาน จนกระทั่งยามที่มั่วชิงเฉินก็ต้านพลานุภาพที่แผ่ซ่านออกมาอย่างไม่รู้ตัวในยามที่มันนิ่งเงียบ ถึงค่อยๆ เปิดปากว่า “เจ้าเชื่อในความรักชายหญิงหรือไม่?”
ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณถามคำพูดนี้ออกมา ทันใดนั้นก็ไม่เหมือนอสูรปีศาจที่พลังสูงส่งผ่านโลกมาอย่างโชกโชน แต่กลับเหมือนหญิงสาวในโลกฆราวาสผู้คับแค้นใจ
มั่วชิงเฉินเม้มปาก เงยหน้าขึ้นแผ่วเบาว่า “ข้าเชื่อเจ้าค่ะ”
ข้าเชื่อว่ามีรักแท้อยู่ เพียงแต่จะได้พบคนคนนี้หรือไม่ เช่นนั้นก็ได้แต่ดูลิขิตสวรรค์แล้วล่ะ
ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณได้ยินคำตอบที่แน่วแน่ของมั่วชิงเฉินแล้วดูเหมือนกระทบจิตใจมาก นางเหม่อมองนางแล้วถามอีกว่า “เช่นนั้นระหว่างคนและอสูรปีศาจล่ะ?”
มั่วชิงเฉินพินิจชั่วครู่ว่า “ด้วยความเข้าใจของข้าน้อย ความรักหากเกิดจากใจจริง เช่นนั้นย่อมมีอยู่จริง ไม่เกี่ยวกับของภายนอกบางอย่างเช่นเผ่าพันธุ์ อายุ ฐานะทางสังคมทั้งสิ้นเจ้าค่ะ”
“เจ้าคิดเช่นนี้จริงหรือ?” ดวงตาที่เหมือนไพลินของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณเป็นประกาย ประหนึ่งแสงดาวที่สุกสกาวที่สุด
มั่วชิงเฉินพยักหน้า “ใช่ ทว่าสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ต่างอาศัยอยู่ในสังคม การกระทำมากมายย่อมหนีไม่พ้นถูกผูกมัด ดังนั้นหากระหว่างคนและอสูรปีศาจเกิดความรักกัน คิดจะสำเร็จมรรคผลย่อมต้องยากกว่าในเผ่าพันธุ์เดียวกันแน่นอน”
“เช่นนั้น หากพวกเขาอยู่ด้วยกันโดยไม่คำนึงถึงทุกสิ่งล่ะ มันถูกต้องหรือไม่?” ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณไล่ถามเหมือนสาวน้อยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวคนหนึ่ง
มั่วชิงเฉินคิดๆ แล้วถึงว่า “ข้าน้อยรู้สึกว่า หากการที่พวกเขาอยู่ด้วยกันไม่ได้ทำร้ายถึงผู้บริสุทธิ์ละก็ เช่นนั้นย่อมไม่ควรได้รับการตำหนิ”
หลักการของนางเสมอมาก็คือ คนคนนหนึ่งสามารถไล่ตามความสุขของตนได้ ทว่าต้องไม่ตั้งอยู่บนความทุกข์ของผู้อื่น
ก็เหมือนกับสังคมในชาติที่แล้ว มีมือที่สามบางคนยกธงของความรักไปหาเรื่องภรรยาหลวงโดยที่คิดว่าตนมีเหตุผล ราวกับคิดว่ามีสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นความรักแล้วเช่นนั้นจริยธรรมทั้งหมด ความสัมพันธ์ทางสายเลือด มิตรภาพต่างๆ ล้วนสามารถหลีกทางให้ได้ ไม่ว่าทำผิดอะไรล้วนสามารถได้รับการยกโทษ นี่มิใช่เรื่องตลกหรอกหรือ ยิ่งกว่านั้นเมื่อโยนความรับผิดชอบทั้งมวลทิ้งไปแล้วความรักยังยิ่งใหญ่เพียงนั้นอยู่อีกจริงหรือ? อีกทั้งยังคู่ควรให้เรียกว่าความรักจริงหรือ?
เพิ่งสิ้นเสียงพูด ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณกะพริบตาเบาๆ น้ำตากลิ้งตกลงมาสองหยด และตกผลึกกลายเป็นไข่มุกแวววับสองเม็ดในพริบตา
ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณยื่นมือส่งไข่มุกมา เสียงทุ้มต่ำเล็กน้อยว่า “นางหนูน้อย เจ้าก็มองได้ทะลุปรุโปร่งดีนี่ สบายเจ้าแล้ว”
มั่วชิงเฉินรับไข่มุกน้ำตาไป ในใจเข้าใจว่าปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณตนนี้ต้องเป็นบุคคลที่สูงส่งที่สุดในเผ่าพันธุ์ของมันแน่นอน น้ำตาของมันต้องได้ผลดีกว่าน้ำตาของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณธรรมดามากแน่นอน เมื่อคิดเช่นนี้ ก็อดปวดใจที่ตนไม่รู้เทียบโอสถ ได้แต่ส่งให้คนอื่นแล้ว
มั่วชิงเฉินขยับนิ้วกลาง เปลวไฟสีฟ้าอ่อนกองหนึ่งปรากฏขึ้น ที่ออกจากตรงนี้ไม่ใช่ไฟจริงธรรมดา หากแต่เป็นไฟในใจนาง
ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณรับไปอย่างเต็มใจ
มั่วชิงเฉินย่อเข่าคำนับ จะอำลาไปแล้ว
ทันใดนั้นปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณว่า “นางหนูน้อย กลับไปบอกพวกเด็กบ้านั่น คนเผ่าพันธุ์เราเกลียดที่พวกเขาเรียกเราว่าปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณมาก!”
มั่วชิงเฉินกะพริบตา ยิ้มแล้ว “ข้าน้อยก็รู้สึกว่าปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณไม่น่าฟังมากเจ้าค่ะ”
ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณสนใจขึ้นมา “เอ่อ เช่นนั้นในที่ที่เจ้าอยู่ เรียกขานพวกเราว่าเช่นไร?”
มั่วชิงเฉินชะงัก ผู้บำเพ็ญเพียรในดินแดนเทียนหยวนไม่เคยได้ยินว่ามีปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณมาก่อน จะมีชื่อเรียกอะไรได้?
ทว่านางกลับยิ้มว่า “คนที่นั่นเรา เรียกเผ่าพันธุ์ของท่านผู้อาวุโสว่านางเงือกเจ้าค่ะ”
“นางเงือก?” ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณบ่นพึมพำ เกิดสนใจขึ้นมา “เหตุใดจึงเรียกเช่นนี้ล่ะ?”
“น่าจะเพราะนิทานเรื่องหนึ่งกระมัง” มั่วชิงเฉินเห็นปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณสนใจมาก จึงเอ่ยต่อว่า “บ้านเกิดของข้าน้อยเล่าลือกันว่า ใต้ทะเลที่ลึกมาก มีปราสาทที่องอาจแห่งหนึ่ง ข้างในมีนางเงือกที่งดงามหกตนอาศัยอยู่…”
มั่วชิงเฉินเล่านิทานจบ คารวะปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณทีหนึ่งแล้วหันหลังจากไป ทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงถอนใจเบาๆ ดังมาจากด้านหลัง “นางหนูน้อย เจ้าอยากฟังเรื่องราวของข้าหรือไม่?”