มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วจ้องเขม็ง จิตใจหนักอึ้ง
ท่านปู่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณ ดวงวิญญาณที่เข้าสู่แดนผีก็ไม่สมบูรณ์ มีโอกาสที่จะสติสัมปชัญญะไม่ครบเป็นอย่างมาก
ดวงวิญญาณเช่นนี้ ยังจะมีผู้ใดใช้วิธีการชั่วร้ายขีดฆ่าที่อยู่เขาออกไปอีก
ต้องเข้าใจว่าแดนผีมีกฎเกณฑ์ไม่เหมือนกับแดนมนุษย์ นั่นก็คือผีบำเพ็ญเพียรห้ามลงมือกับดวงวิญญาณธรรมดาๆ
เมื่อขบคิดเช่นนี้ ก็เงยหน้าขึ้นมองเฮ่ออี้แวบหนึ่ง
เฮ่ออี้หัวเราะน้อยๆ ออกมา “แม่นางมั่วหาคนพบหรือไม่”
มั่วชิงเฉินยื่นนิ้วออกไป “หาพบ แต่ที่อยู่ กลับไม่ชัดเจน…”
เฮ่ออี้เหลือบมองสมุดบัญชีแวบหนึ่ง ยื่นมือออกไปกวักเรียนผีน้อยที่ดูแลบันทึก “รู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ผีน้อยเหลือบมองแวบหนึ่ง แล้วรีบร้อนเอ่ยว่า “เรื่องนี้ เรื่องนี้ข้าน้อยก็ไม่ทราบขอรับ”
เมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาของเฮ่ออี้ ก็รีบร้อนเอ่ยว่า “ใต้เท้า ท่านก็รู้ว่าหน้าที่การบันทึกสมุดนั้นหนักหนา มีผู้จัดการอยู่เป็นร้อยคน บางครั้งก็หลีกเลี่ยงความผิดพลาดไม่ได้…”
เฮ่ออี้โบกมือให้ผีน้อยออกไป มองมั่วชิงเฉินแล้วเอ่ยว่า “แม่นางมั่ว ช่างบังเอิญจริงๆ คิดดูแล้วแม่นางมั่วเองก็น่าจะรู้ดีว่าในบันทึกล้วนเป็นผีเร่ร่อน เจ้าหน้าที่ผู้น้อยเหล่านั้นจึงค่อนข้างสะเพร่า…”
มั่วชิงเฉินพอเข้าใจสถานการณ์ทำนองนี้ และยิ่งไปกว่านั้นเฮ่ออี้นำสมุดบัญชีมาให้นางดูก็ถือว่าเห็นแก่หน้าของนางแล้ว
จึงถอยออกไปก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยว่า ต่อให้เขารู้ว่าเหตุใดที่อยู่ของท่านปู่ถึงถูกขีดฆ่า เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยากย่อมปฏิเสธว่าไม่รู้ ตนเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
ยามนั้นจึงพยักหน้าแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าน้อยก็ไม่รบกวนเวลาทำงานของท่านเจ้าเมืองเฮ่อแล้ว”
เมื่อเห็นมั่วชิงเฉินไม่ได้กวนใจเรื่องนั้น เฮ่ออี้ก็ผ่อนลมหายใจออกมาเช่นกัน เดินออกไปข้างนอกพลางเอ่ยว่า “แม่นางมั่วมาตั้งไกล ให้ข้าเป็นเจ้ามือ เชิญแม่นางมั่วดื่มสักสองสามจอกเถิด”
แม้ว่าในใจของมั่วชิงเฉินจะรีบร้อนไปตามหาท่านปู่ แต่กลับรู้ว่าหาอยากตามหาท่านปู่ การมีความสัมพันธ์อันดีกับท่านเจ้าเมืองควบคุมประชากรก็เป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์ จึงตอบตกลงอย่างเบิกบาน และหยิบสุราของแดนผีที่ผสมกับสุราน้ำเต้าเซียนชั้นดีออกมา
ทั้งสองดื่มกันอย่างเต็มที่ไปยกหนึ่ง นับว่าเป็นแขกและเจ้าภาพที่ดี
มั่วชิงเฉินออกจากจวนท่านเจ้าเมือง ก็เข้าไปรอในโรงน้ำชาแห่งหนึ่งแถวนั้นอย่างเงียบๆ
หนึ่งชั่วยามผ่านไป ผีน้อยผู้ดูแลบัญชีก็จัดการงานเสร็จสิ้น และเดินออกมาจากจวนท่านเจ้าเมือง
มั่วชิงเฉินหรี่ตาลง แล้วตามไปอย่างเงียบๆ
จะว่าไปแล้ว ตอนนั้นคำตอบของผีน้อยไม่ได้มีจุดที่ไม่เหมาะสม แต่กลับถูกนางจับพิรุธทางสีหน้าได้
จากลางสังหรณ์ของมั่วชิงเฉิน บอกได้ว่าผีน้อยตนนี้รู้เรื่องอะไรสักอย่าง
ผีน้อยกลับไปยังที่พักอย่างสบายๆ ยังไม่ทันได้นั่งให้มั่นคง ก็เห็นมีผู้หนึ่งปรากฏขึ้น พลันกระโดดลุกออกจากเก้าอี้อย่างตกตะลึงพรึงเพริด
มองใบหน้าของมั่วชิงเฉิน แววตาลุกลี้ลุกลนวาบประกายคราหนึ่งแล้วหายไป รีบก้มหน้าหลุบเปลือกตาลงแล้วเอ่ยว่า “คารวะใต้เท้าอาจารย์ผี”
“เหตุใดเจ้าถึงขีดฆ่าที่อยู่ของมั่วต้าเหยียนออก” มั่วชิงเฉินเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
ผีน้อยเองก็มีปฏิภาณไหวพริบว่องไว ฉับพลันที่มั่วชิงเฉินทำให้ลำบากใจ แม้ว่าหน้าจะเปลี่ยนสี กลับมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็วพลางรีบร้อนตอบกลับว่า “ใต้เท้าอาจารย์ผีเข้าใจข้าน้อยผิดแล้ว ข้าน้อยเปล่าทำจริงๆ นะขอรับ…”
คำว่าขอรับพลันเปลี่ยนเป็นเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดในท้ายที่สุด
มั่วชิงเฉินส่งกำปั้นไปที่ใบหน้าของเขา
“ใต้เท้าอาจารย์ผีไว้ชีวิตด้วย ไว้ชีวิตด้วย…” ผีน้อยหนีหัวซุกหัวซุน
เขาไหนเลยจะหลบหลีกอาจารย์ผีได้ ไม่ว่าจะวิ่งไปทางไหนชั่วพริบตานั้นมั่วชิงเฉินก็จะมาปรากฏตัวตรงหน้า ไม่พูดอะไรมาก ส่งกำปั้นไปอย่างต่อเนื่อง
หลังจากโดนซัดไปรอบหนึ่ง ผีน้อยก็ล้มลงกับพื้นพร้อมกับลมหายใจรวยริน มองมั่วชิงเฉินด้วยความตกตะลึงระคนหวาดกลัว
มั่วชิงเฉินถูมือไปมา เอ่ยด้วยสีหน้าเมินเฉย “แม้การซ้อมผีบำเพ็ญเพียรระดับต่ำจะไม่มีความสุขนัก แม้แต่พลังวิญญาณก็ยังไม่กล้าใช้ หากไม่ทันระวังทำดวงวิญญาณสลายหายไป ก็อย่าโทษว่าทนไม่ไหวล่ะ”
ชั่วขณะนั้นผีน้อยพลันน้ำตานองหน้า
ใต้เท้าอาจารย์ผี ยามที่ท่านซ้อมข้า ข้าไม่เห็นว่าท่านจะทนไม่ไหวเลยสักนิด
มั่วชิงเฉินฉีกยิ้ม “ทำไม ยามนี้อยากบอกข้าแล้วหรือ”
ใบหน้างดงามและรอยยิ้มอ่อนโยนแท้ๆ แต่ผีน้อยกลับรู้สึกขนลุก เอ่ยอย่างแผ่วเบา “ข้า ข้า…”
มั่วชิงเฉินควงกำปั้นอย่างเอื่อยๆ เอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ พูดมา วันนี้เล่าไม่จบพรุ่งนี้ข้าก็จะมาหาเจ้า ขยับเส้นสายหน่อยก็ไม่เลว”
ผีน้อยร่ำไห้ออกมาจริงๆ แล้ว มีอาจารย์ผีที่ไม่ใส่ใจฐานะตนเองอยู่จริงๆ หรือ เขาไปล่วงเกินไปบนหนทางแห่งเทพเจ้าองค์ใดกัน!
เขาอยู่ในแดนผีมาสองสามร้อยปี อาจารย์ผีมักไม่แยแสผีน้อยๆ สังหารพวกเขาราวกับมดแมลงตนหนึ่ง การต่อยตีผีน้อยยกหนึ่งโดยไม่ใช้พลังวิญญาณนั้น ไม่มีจริงๆ…
การรับสินบนเล็กๆ น้อยๆ เมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อนนั้น พอเทียบกับชีวิตแล้วก็ไม่นับว่ามีค่าอะไร ผีน้อยบอกเรื่องนี้ออกมาทันที
ยามนั้นเขาเพิ่งจะได้รับหน้าที่ผู้บันทึกสมุด บอกลาฐานะการเป็นผีเร่ร่อนได้ไม่นาน กำลังอยู่ในช่วงลำบากใจ
พอดีกับมีคนวานให้เขาสืบข้อมูลเรื่องหนึ่ง และขอให้เขาขีดฆ่าวิญญาณที่ค้นหาไป
เขาเห็นว่าวิญญาณที่ค้นหาเป็นแค่วิญญาณเร่ร่อนไร้สติ มีผลประโยชน์อยู่ตรงหน้าจึงกระทำลงไปอย่างไม่ต้องขบคิด
“ใต้เท้าอาจารย์ผี ข้าน้อยไม่ได้ทำอะไรผิด ท่านลองพิจารณาดู ไว้ชีวิตข้าน้อยเถิด” ผีน้อยขอร้องเป็นพัลวัน
“เจ้ารู้จักผู้ที่ให้เจ้าสืบหาข้อมูลหรือไม่”
ผีน้อยส่ายศีรษะ “ข้าน้อยไม่รู้จัก ทว่าคนผู้นั้นดูแล้วเป็นผีที่เพิ่งมาใหม่ แต่กลับอยู่ในระดับขุนพลผี เวลาพูดจากระทำการก็หยิ่งทระนง ดูแล้วน่าจะมีประวัติความเป็นมา”
นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาในตอนนั้นยอมตกลงไปตามน้ำ
มั่วชิงเฉินโยนพู่กันมาด้ามหนึ่ง “วาดหน้าตาของเขาเสีย”
“ขอรับๆ” ผีน้อยหยิบพู่กันขึ้นมาอย่างสั่นเทา สีหน้ายุ่งเหยิง เนิ่นนานไม่ได้จรดพู่กัน
“ทำไม” เสียงของมั่วชิงเฉินไม่เบาและไม่ดังจนเกินไป
ผีน้อยกลับตกใจจนตัวสั่น พู่กันตกลงสู่พื้น เอ่ยอย่างโศกเศร้าราวกับบิดามารดาเสียชีวิต “ใต้เท้า ข้าน้อยวาดภาพไม่เป็น…”
ความอดทนของมั่วชิงเฉินขาดสะบั้น ยื่นมืออกไปกดหน้าผากของผีน้อย
ผีน้อยมีสีหน้าเขียวสลับขาว ขบคิดในใจว่าชีวิตของข้าจบแล้ว รู้สึกเพียงว่าหัวหนักอึ้ง พอได้สติตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็มองสีหน้าเย็นชาของมั่วชิงเฉินแล้วเอ่ยอย่างลังเล “ใต้เท้าอาจารย์ผี…”
มั่วชิงเฉินโยนหินวิญญาณสองสามก้อนออกไป “นี่คือของปลอบขวัญเจ้า”
สิ้นเสียง คนก็หายวับไป
ผีน้อยนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้น
บนถนน มั่วชิงเฉินเดินไปอย่างเงียบเชียบ ดวงวิญญาณที่รายล้อมอยู่ถูกความเย็นชาของนางทำให้ตกใจจนถอยร่นออกไป
เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีเทา มั่วชิงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าคนผู้นั้น จะเป็นเถียนหยวน!
เหตุใดเขาถึงจงใจตามหาท่านปู่และพาตัวไป
ตอนนั้นตนไม่ได้กำจัดเถียนหยวน และไม่ได้แพร่งพรายข่าวออกไปว่านางมีความแค้นฝังลึกกับเขา ต่อให้เขากลายเป็นผีบำเพ็ญเพียรคิดจะแก้แค้น ก็ไม่น่าจะติดต่อกับท่านปู่ของนาง
เรื่องเหล่านี้ทำให้มั่วชิงเฉินฉงนสงสัย นึกขึ้นมาได้ว่าท่านปู่อาจจะถูกสังหารด้วยน้ำมือของเถียนหยวน ถึงได้ทำให้นางกระวนกระวายใจที่สุด
ในสมุดบันทึก ไม่มีข่าวคราวของเถียนหยวน
ผีตนนั้นยังกล่าวว่าเถียนหยวนเป็นผีที่มาใหม่ แต่กลับมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับขุนพลผี เช่นนี้ คุณสมบัติของเขาก็ต้องยอดเยี่ยมแน่
ผีวิญญาณเช่นนี้จะต้องเข้าร่วมกับเมืองผีเมืองใดเมืองหนึ่ง ผ่านมาร้อยปีในวันนี้หากไม่มีความเปลี่ยนแปลง จะต้องเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงแน่
มีข้อมูลเช่นนี้ หากมั่วชิงเฉินค้นหาอย่างช้าๆ จะต้องหาเถียนหยวนพบแน่ แต่เมื่อนางคิดว่าท่านปู่ถูกสังหารด้วยน้ำมือของเถียนหยวนอย่างไรก็ไม่รู้ ก็ไม่มีความอดทนอีก
มีเงินก็สามารถผลักดันผีได้
ประสิทธิภาพของน้ำเต้าเซียนทำให้นางได้หินวิญญาณมามากมาย ทุกครั้งที่ไปถึงเมืองผีเมืองหนึ่ง ก็จะใช้ไปราวกับไม่ต้องการเงินแล้ว ให้ฝูงผีเร่ร่อนถือภาพวาดของเถียนหยวนลอยไปลอยมาราวกับตีฆ้องและกลอง ตนก็แอบดูอยู่ในที่ลับ
หากไม่มีการเคลื่อนไหว ทุกๆ เมืองก็จะใช้เวลาอย่างน้อยสามวันถึงจะจากไป
ทว่าครึ่งเดือน ก็มาถึงเมืองผีที่ห้า
เหล่าผีน้อยเพิ่งจะเร่ร่อนไปได้ครึ่งวัน ก็เห็นผีวิญญาณฝูงหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเกรี้ยวกราดวางอำนาจ ตนที่เป็นผู้นำแย่งชิงภาพวาดของเถียนหยวนไป แล้วเอ่ยตวาดว่า “ผู้ใดให้เจ้าบังอาจถึงเพียงนี้ คาดไม่ถึงว่าจะเอารูปของแม่ทัพเถียนมาเร่ร่อนไปทั่วเช่นนี้”
เหล่าผีน้อยเอ่ยตามคำสั่งของมั่วชิงเฉิน “ใต้เท้า เป็นแม่นางน้อยผู้หนึ่งไหว้วานพวกเรา บอกว่าหลายปีก่อนแม่ทัพเถียนตอบตกลงจะแต่งงานกับนาง แต่กลับจากไปไม่ลา นางเฝ้ารออย่างเจ็บปวด ถึงได้ใช้วิธีนี้ตามหาสามี”
ในฝูงผีวิญญาณมีเสียงหัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา “นี่ไม่ใช่วิธีการที่แม่ทัพเถียนชอบทำหรือ”
“ฮี่ๆ ใช่แล้ว แม่นางน้อยผู้นั้นช่างโง่เขลาเสียจริง”
ผู้นำผีม้วนภาพวาดนั้น แล้วโบกมือ “รีบแยกย้ายกันไปเสีย หากถูกพบอีกจะไม่ไว้ชีวิต”
เหล่าผีน้อยพลันแตกฮือออกไป
ฝูงผีวิญญาณเดินกลับไป
มั่วชิงเฉินตามไปอย่างเงียบเชียบ
แม้ว่าเมืองผีจะมีสำนักพรรคคล้ายกับของมนุษย์บำเพ็ญเพียร ทุกๆ เมืองจะมีขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่อยู่ขุมหนึ่ง แต่ความจริงแล้ว ภายในกลับแบ่งออกเป็นหลายขุมอำนาจ เหล่าอาจารย์ผีต่างร่วมกันปกครอง
ผู้ใต้บังคับบัญชาของอาจารย์ผีก็คือแม่ทัพผี ล้วนมีจวนเป็นของตัวเอง
มั่วชิงเฉินมองฝูงผีเดินเข้าไปในจวนเถียน แล้วแอบเข้าไปพร้อมกับหัวเราะอย่างเย็นชา
“โถวเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นกันแน่” ผีวิญญาณที่คุ้มกันอยู่ที่จวนเถียนเอ่ยถาม
หัวหน้าผีวิญญาณเอ่ยอย่างส่งเดช “แม่ทัพไปหาเรื่องแม่นางน้อยตนหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ นางมาตามหาสามี”
เหล่าผีวิญญาณต่างหัวเราะอย่างเบิกบาน
“โถวเอ๋อร์ เรื่องนี้บอกกับแม่ทัพเถียนหรือยัง” ผีวิญญาณตนหนึ่งเอ่ยถาม
หัวหน้าผีวิญญาณเบะปากแล้วเอ่ยว่า “บอกอะไร แม่ทัพเถียนเกี้ยวหญิงไม่ถึงพันก็แปดร้อยคน ที่ไม่เอาแล้วก็มาหาถึงที่นี่ ไม่ได้มีแค่คนสองคน อีกอย่าง ช่วงเวลานี้ในทุกวัน แม่ทัพล้วนจะโยนเจ้าโง่นั่นไปที่สวนด้านหลังมิใช่หรือ เขาเกลียดการที่พวกเราไปรบกวนมากที่สุด”
“อืม ท่านบอกได้หรือไม่ เจ้าโง่นั่นล่วงเกิดแม่ทัพอย่างไร” มีผีวิญญาณตนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ
“ผู้ใดจะรู้เล่า ถึงอย่างไรตั้งแต่ที่ข้าเข้ามาในจวน เจ้าโง่นั่นก็อยู่มาก่อนแล้ว”
“ข้าว่าเจ้าโง่นั่นน่าจะมีความแค้นกับท่านแม่ทัพ หากว่าตามกฎที่ผีบำเพ็ญเพียรไม่อาจสังหารดวงวิญญาณธรรมดาๆ ได้ แม่ทัพเพียงสั่งให้ผีน้อยสังหารเจ้าโง่นั่นก็ได้แล้ว แต่เขากลับเอาเจ้าโง่นั่นไว้ในจวน แล้วโยนออกมาวันละหนึ่งครั้ง”
มีผีวิญญาณตนหนึ่งตัวสั่นเทาเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ดังนั้นพวกเราก็อย่าไปยั่วท่านแม่ทัพเลย”
มั่วชิงเฉินทนฟังไม่ไหวอีก แอบเข้าไปในสวนด้านหลังอย่างเงียบๆ
ในสวน บุรุษสวมชุดสีขาวราวกับหิมะผู้หนึ่ง กำลังนั่งพิงเก้าอี้โบกพัดอย่างสบายอารมณ์
ด้านหลังมีสาวใช้คนงามสองคนยืนอยู่ คอยนวดไหล่ให้เขา
บุรุษหยิบกระดูกท่อนหนึ่งขึ้นมาจากโต๊ะ สะบัดออกไปเป็นวงโค้งสายหนึ่ง แล้วฉีกยิ้มขณะเอ่ย “ไป ไปหยิบมาให้ข้า”
ชายชราผมยาวยุ่งเหยิง ใบหน้ามีรอยยิ้มโง่เขลา วิ่งไปทางที่กระดูกตกลงอย่างตัวสั่นงันงก
เขาหยิบกระดูกขึ้นมาอย่างคุ้นเคย วิ่งกลับมาตรงหน้าบุรุษสวมชุดสีขาว แล้วฉีกยิ้มอย่างโง่เขลาราวกับต้องการได้รับความดีความชอบ
บุรุษชุดขาวยื่นเท้าออกไป ถีบใบหน้าของชายชรา แล้วตวาดว่า “เจ้าโง่ ข้าเคยบอกแล้วมิใช่หรือ ว่าให้ใช้ปากคาบมา เหตุใดถึงไม่จำ…โอ๊ย…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ก็ถูกมั่วชิงเฉินถีบอย่างแรงคราหนึ่งจนกระเด็นลอยไป