อู๋เย่ว์รู้สึกว่าวันเวลาผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่าย
นักพรตซู่เหยียนบอกว่านายท่านไม่ตาย แต่ไปเข้าคู่บำเพ็ญเพื่อรักษาลั่วหยางเจินจวิน จึงนอนอยู่บนเตียงภายในห้องที่ใหญ่ที่สุด
มันแอบไปดูสองสามครั้ง ล้วนเป็นเพราะด้านนอกถูกวางค่ายกลป้องกันเอาไว้ จึงทำได้เพียงสั่งให้หมาป่าตัวหนึ่ง อสูรเขาเดี่ยวตัวหนึ่ง และดอกเบญจมาศแดงหนึ่งดอกไปเป็นอสูรเทพพิทักษ์เขา
ครึ่งเดือนก่อน อู๋เย่ว์รู้สึกว่าฤดูใบไม้ผลิของตนเองได้มาเยือนอีกครั้งแล้ว เป็นเพราะจั่นหนิงเจินจวินพาอาเสวียนแวะมา บอกว่าต้องการพูดคุยกับเหอกวงเจินจวิน และมาพักอาศัยสักระยะหนึ่งค่อยจากไป
ดังนั้นทุกวัน อู๋เย่ว์จะตื่นเช้ายิ่งกว่าไก่ พุ่งตรงไปยังต้นท้อทั้งร้อยแปดต้น แล้วเริ่มขุดหลุมดังครืดๆ
มองอู๋เย่ว์ทำงานหนัก ในที่สุดเขาน้อยก็ทนไม่ไหวเข้ามาเอ่ยอย่างหวากๆ “พี่หญิงอู๋เย่ว์ ท่านไม่ดื่มสุราแล้วได้ไหม นี่ นี่มันไม่ดีเลย”
อีกาไฟใช้ปีกปาดเหงื่อ ถลึงตาใส่เขาน้อยแล้วเอ่ยว่า “เด็กน้อยอย่าพูดซี้ซั้ว เจ้าเคยเห็นของที่ขโมยมาที่ไหนไปพบหน้าผู้อื่นอย่างเปิดเผยหรือ”
เขาน้อยตกตะลึง
อีกาไฟพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ดังนั้น สิ่งที่ข้าทำไม่เรียกว่าขโมย เรียกว่าหยิบมา เข้าใจหรือไม่”
“เอ่อ อ้อ เข้าใจแล้ว” เขาน้อยพยักหน้าอย่างเลื่อนลอย แล้วนึกถึงเรื่องที่กังวลใจ จึงเอ่ยอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “แต่…แต่ว่า ท่านเอาสุราออกมาหนึ่งไหทุกวันเช่นนี้ หากนายท่านตื่นขึ้นมา จะต้องเอาก้อนอิฐมาทุบท่านแน่”
อีกาไฟเผยสีหน้าโศกเศร้าออกมา “ข้ากตัญญูแทนเจ้านาย ไม่เห็นว่าเหอกวงเจินจวินใกล้จะผอมจนเป็นไม้ไผ่แล้วหรือ ทุกครั้งที่ข้าไปเขาป่าไผ่ ล้วนไม่แน่ใจว่าไหนคือไผ่ ไหนคือเขา”
เขาน้อยก้มหน้าลงด้วยความละอายใจ “พี่หญิงอู๋เย่ว์ เขาน้อยเข้าใจท่านผิดไป เขาน้อยนึกว่าเพราะอาเสวียนมา…”
ดอกเบญจมาศแดงหัวเราะจนกระถางที่ติดอยู่กับพื้นสั่นระริก
อีกาไฟใช้ดวงตาดุจใบมีดมองไปที่ดอกเบญจมาศแดงแวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็นึกขึ้นได้ว่านายท่านเคยกล่าวเอาไว้ เด็กผู้หญิงสงบเสงี่ยมเจียมตัวไว้จะดีกว่า จึงเปลี่ยนเป็นความคิดที่จะตรงไปข้างหน้าตามลำพัง แล้วเอ่ยอย่างหยอกล้อว่า “เขาน้อย เจ้าไปกับข้าเถิด เกิดเรื่องอะไรก็มีศิษย์คอยช่วยเหลือ ศิษย์เพียงคนเดียวของนายท่านตายไปแล้ว อสูรวิญญาณอย่างพวกเราก็ต้องอยู่บนสุด”
“อือๆ เขาน้อยจะพยายาม ให้เหอกวงเจินจวินอารมณ์ดี”
อีกาไฟกวาดตาไปมองหมาป่าน้อยที่เงียบกริบไม่พูดไม่จาแวบหนึ่ง “หมาป่าน้อย เจ้าจะไปหรือไม่”
หมาป่าน้อยซึ่งหมอบอยู่บนพื้น ยกหัวที่นับวันยิ่งใหญ่ขึ้นมา แล้วแยกเขี้ยว “ท่านแม่ ท่านจะให้ข้าไปจริงๆ หรือ”
อีกาไฟรู้สึกเหมือนได้ยินเสียง เปรี้ยง ดังขึ้นในหัว หน้าแทบจะลุกเป็นไฟ “โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ย ข้าจะพูดอีกรอบ ห้ามเจ้าเรียกข้าว่าท่านแม่อีกที ข้าจะเผาเจ้าให้ตาย! เวรกรรมจริงๆ เลย ปีนั้นที่ฟักเจ้าออกมา ข้าน่าจะเอาเจ้ายัดกลับไปถึงจะถูก!”
อีกาไฟโอบปีกข้างหนึ่งไปทางไหสุรา ปีกข้างหนึ่งลากเขาน้อย เดินไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
ดอกเบญจมาศแดงหยัดกายตั้งตรงทันที เข้าไปอยู่ข้างกายหมาป่าน้อยอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ท่านพี่หมาป่าน้อย ที่แท้ท่านก็ถูกพี่หญิงอู๋เย่ว์ฟักออกมาจริงๆ หรือ”
หมาป่าน้อยกวาดสายตาไปมองดอกเบญจมาศแดงด้วยความเย็นชาแวบหนึ่ง “เจ้าพล่ามไร้สาระเกินไปแล้ว”
ดอกเบญจมาศแดงพลันตกตะลึง จากนั้นก็ใช้กลีบดอกของตนทาบลงบนใบหน้า แล้วร้องไห้โฮออกมา
บุปผาปีศาจดอกนี้ หากไม่สนใจนาง ก็สามารถร้องได้ทั้งวัน!
หมาป่าน้อยเบะปากอย่างรำคาญ แลบลิ้นออกไปเลียดอกเบญจมาศแดง
ดอกเบญจมาศแดงพลันล้มลงกับพื้นดิน เสียงร้องไห้หายไปครึ่งหนึ่งทันที ขดตัวด้วยความสั่นเทา
หมาป่าน้อยรู้สึกว่าโลกเงียบสงบลงทันที ในตอนที่คิดจะงีบสักหน่อยนั้น หูก็ตั้งตรง ยืนขึ้นวิ่งไปทิศทางหนึ่งทันที
ตะปบกรงเล็บออกไปกลางอากาศสองสามครา ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏขึ้น
หร่วนหลิงซิ่วนั่งลงกับพื้นอย่างโซซัดโซเซ เมื่อเห็นหมาป่ายักษ์ที่อยู่ใกล้แค่คืบก็หน้าเปลี่ยนสี
นางเป็นหลานสาวของหรูอวี้เจินจวิน เคยอยู่ในพรรคเหยากวงมาหลายปี หากอยากจะเข้ามาในพรรคอย่างไร้ร่องรอยก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก
ส่วนยอดเขาลั่วเฉิน แม้ว่าจะมีค่ายกลป้องกันเหมือนกับถ้ำพำนักของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งหมด แต่นางก็รู้ดีว่า ค่ายกลป้องกันสองสามแห่งบนยอดเขาหลักพรรคเหยากวง แค่ป้องกันสิ่งมีชีวิตที่มีพลังปราณเท่านั้น หากเป็นสัตว์ตัวเล็กๆ ทั่วไปย่อมไม่กระทบต่อการเข้าออก
จิ้งเหยียนเจินจวินแห่งสำนักลั่วสยามีสมบัติวิเศษอยู่ชิ้นหนึ่ง เรียกว่าห่วงคืนธุลี หลังจากที่ผู้บำเพ็ญเพียรสวมใส่มัน ก็สามารถลดพลังปราณของตนเอง กลายเป็นคนธรรมดาได้
แน่นอนว่า แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรที่ไม่มีพลังปราณก็สามารถถอดมันออกได้
สมบัติเช่นนี้ เป็นสมบัติทลายค่ายกลโดยเฉพาะ
หลายปีที่ผ่านมาหร่วนหลิงซิ่วแสดงออกได้ไม่เลว ความสัมพันธ์ของพ่อลูกที่แต่เดิมจืดจางก็ดีขึ้นไม่น้อย นางออดอ้อนจนเอาห่วงคืนธุลีมาเป็นของขวัญวันแต่งงานได้
เพียงแต่นางวางแผนคิดคำนวณหมื่นพัน เข้ามาในยอดเขาลั่วเฉินได้สำเร็จอย่างไม่ง่ายดายนัก กลับคิดไม่ถึงว่าอสูรวิญญาณของมั่วชิงเฉินจะยังอยู่ และยิ่งไปกว่านั้นยังพบยันต์ล่องหนชั้นยอดที่นางติดไว้บนร่างตั้งแต่ครั้งแรกอีกด้วย
‘นางโง่!’ ในหัวมีเสียงแหลมสูงดังขึ้น
หร่วนหลิงซิ่วไม่สนใจจะโต้แย้ง รีบถอดห่วงคืนธุลีออกทันที
หมาป่าน้อยจำหญิงสาวที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันได้ ไม่เพียงจำได้ แถมยังมีความทรงจำฝังแน่นอีกด้วย
ปีนั้นผู้ที่คิดจะขโมยกายเนื้อของนายท่านคือนางมิใช่หรือ แถมยังฟาดแส้ใส่เขาน้อยไปหลายครั้ง
ยามนั้นหากมันเคลื่อนไหว คงถูกสตรีผู้นี้กลืนกินทั้งเป็นไปแล้ว
เห็นหร่วนหลิงซิ่วพลันเคลื่อนไหว หมาป่าน้อยแทบจะไม่ลังเล สาวเท้าไปข้างหน้าแล้วอ้าปากออก กัดศีรษะของนาง
เสียงกรีดร้องดังขึ้น หากฟังดีๆ ก็จะพบว่าเป็นเสียงซ้อนกันสองเสียง
แขนขาของหร่วนหลิงซิ่วกระตุก แล้วอ่อนลง
ดอกเบญจมาศแดงตกใจจนสั่นระรัว “เจ้า เจ้ากัดนางตาย!”
หมาป่าน้อยเหลือบตามองดอกเบญจมาศแดงแวบหนึ่ง ปล่อยซากศพของหร่วนหลิงซิ่วลง เอ่ยอย่างไม่พอใจ “ไร้สาระ หากกัดไม่ตายในคำเดียว ข้าจะมีประโยชน์อะไร”
เอ่ยจบก็ยื่นกรงเล็บออกมาตะปบซากศพของหร่วนหลิงซิ่ว พลางเพลิดเพลินด้วยท่วงท่าสง่างาม
จะว่าไปแล้ว สตรีอย่างหร่วนหลิงซิ่วเองก็เป็นโศกนาฎกรรมเรื่องหนึ่ง ไม่ว่านางจะพบกับเขาน้อยที่เป็นมิตร ดอกเบญจมาศแดงที่ขี้ขลาด หรือว่าอีกาไฟที่พูดมาก ก็มีโอกาสถอดห่วงคืนธุลี
ฟื้นฟูพละกำลังระดับก่อแก่นปราณ ต่อให้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหมาป่าน้อยก็พอจะสู้ได้สักตั้ง ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรอาวุโสของพรรคเหยากวงตกใจจนต้องออกมาห้าม ไม่ว่าจะมีผลลัพธ์อย่างไรก็ไม่มีทางเสียชีวิตแน่
แต่น่าเสียดายที่นางพบกับหมาป่าน้อย
ในบรรดาอสูรวิญญาณของมั่วชิงเฉิน หมาป่าน้อยเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับอสูรปีศาจมากที่สุด มันภักดีต่อเจ้านายมาก คนอื่นๆ ในสายตาของมันก็เป็นแค่ของกินที่เดินได้เท่านั้น
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นหร่วนหลิงซิ่วที่เต็มไปด้วยความรู้จากโลกอนาคต หรือว่า หร่วนหลิงซิ่วที่ทุบหม้อขาวจมเรือ[1] หมายจะพยายามครั้งสุดท้าย เพียงเพิ่งจะโผล่หน้ามาก็ต้องมาถูกฝังศพอยู่ใต้ท้องหมาป่าอย่างน่าอนาถ
บนทางเดิน อีกาไฟบินกลับมาด้วยสีหน้าดำคล้ำ
เขาน้อยไล่ตามอยู่ด้านหลัง “พี่หญิงอู๋เย่ว์ รอข้าด้วย”
อีกาไฟไม่หันกลับมา รู้สึกว่าไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้
มันเก็บความสำรวมที่โยนทิ้งไปยังสวรรค์ชั้นเก้ากลับมาอย่างไม่ง่ายดาย พาสิ่งที่ทำให้มันโดดเด่นขึ้นมาไปด้วย ผลคือ อาเสวียนสนใจเขาน้อยยิ่งกว่า ท่าทีเย็นชาเปลี่ยนไป วนล้อมรอบเขาน้อยแล้วพูดคุยหัวร่อต่อกระซิก
นี่ นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ต่อให้มันจะใช้การไม่ได้แแค่ไหน มันก็ยังเป็นวิหคตัวหนึ่ง!
วิหคตัวหนึ่งและอสูรเขาเดียวตัวหนึ่ง สายพันธุ์ห่างกันมากหน่อยมันย่อมทนได้ แต่สิ่งสำคัญก็คือเขาน้อยเองก็เป็นตัวผู้ต่างหาก!
รสนิยมของอาเสวียน จะแปลกเกินไปหน่อยกระมัง!
อีกาไฟโอบกอดหัวใจที่แตกสลายกลับมายังยอดเขาลั่วเฉิน ก็เห็นหมาป่าน้อยกำลังแทะกระดูกอย่างเอร็ดอร่อย
ยามนี้มันกำลังรู้สึกโกรธเกรี้ยว เห็นอะไรก็ขัดตาไปหมด จึงเชิดใส่หมาป่าน้อยแล้วเอ่ยว่า “อยู่กับนายท่านมานานขนาดนี้ เหตุใดยังเป็นสัตว์ป่าอีก จับอสูรปีศาจมาก็ไม่รู้ใช้ไฟย่างสักหน่อยหรือ”
“หมาป่าน้อย พี่หญิงอู๋เย่ว์อารมณ์ไม่ดีมาก” เขาน้อยแอบถ่ายทอดเสียงเตือน
หมาป่าน้อยขบคิด หยิบขาท่อนใหญ่ๆ ใต้ร่างออกมาให้อย่างใจกว้าง “ข้าเหลือให้ท่าน เอาไปย่างสิ”
“นับว่าเจ้ายังมีมโนธรรม” อีกาไฟเอ่ยไปพลางก้มศีรษะ ชั่วขณะนั้นพลันตัวแข็งทื่อ
ผ่านไปเนิ่นนาน ก็เอ่ยอย่างเสียสติว่า “หมา หมาป่าน้อย เจ้ากินคน เจ้า คาดไม่ถึงว่าจะกล้ากินคน!”
หมาป่าน้อยมีสีหน้าไร้ความผิด “อสูรปีศาจกินคนไม่ได้หรือ”
อีกาไฟโกรธจนตัวสั่นเทา “กินคนได้ แต่ในเหยากวง เจ้ากินสหายร่วมสำนักของนายท่าน เจ้าเคยคิดผลลัพธ์ที่จะตามมาไหม!”
หมาป่าน้อยไม่พอใจ “ท่านแม่ อยู่ดีๆ อย่าหาเรื่อง ข้าไม่ได้กินลูกศิษย์ของเหยากวง”
“เช่นนั้นก็ดี” อีกาไฟผ่อนคลายลงตามจิตสำนึก จากนั้นก็ร้องเสียงแหลม “ข้าบอกแล้ว ไม่อนุญาติให้เรียกข้าว่าท่านแม่! ไม่สิ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญไม่ใช่เรื่องนี้ สิ่งสำคัญคือเจ้ากินใครไปกันแน่ รีบอธิบายกับข้าให้ชัดเจน!”
“อ้อ ข้าจำได้ว่าเหมือนนางจะชื่อหร่วนหลิงซิ่ว” หมาป่าน้อยเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
อีกาไฟมีสีหน้าแข็งค้าง ดวงตาทั้งสองไร้จิตวิญญาณ ผ่านไปชั่วครู่ถึงได้ร้องตะโกนด้วยเสียงอันดัง “ไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้แล้วจริงๆ!”
เขาน้อยตกใจจนเสียสติ “ข้า ข้าจะไปหาเหอกวงเจินจวิน…”
อีกาไฟขวางอยู่ตรงหน้าเขาน้อย “ไม่ได้”
“เพราะเหตุใดล่ะ นายท่านกำลังกักตน เหอกวงเจินจวินจะต้องมีวิธีจัดการแน่” เขาน้อยมองอีกาไฟ มองหมาป่าน้อย จิตใจร้อนรน
อีกาไฟสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ตบไปบนร่างของเขาน้อยแล้วเอ่ยว่า “เจ้าโง่เอ๋ย เจ้าเอาเรื่องนี้ไปบอกเหอกวงเจินจวินแล้ว จะให้เขาทำอย่างไร จากนิสัยของเขา จะต้องรับผิดชอบอย่างแน่นอน สังหารหลานสาวของหรูอวี้เจินจวิน ผู้อื่นจะมองเขาอย่างไร จิ้งเหยียนเจินจวินต้องมาหาเรื่องเอาชีวิตเขาแน่ หากเหอกวงเจินจวินเกิดอะไรขึ้นเพราะนายท่าน เจ้าคิดว่านายท่านจะมีชีวิตต่อไปได้หรือ”
“เช่นนั้นจะทำอย่างไร” ดวงตาของเขาน้อยเปียกชื้น แทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
อีกาไฟสงบนิ่งลงออกคำสั่งว่า “หมาป่าน้อย เจ้ากินให้เกลี้ยงอย่าให้เหลือ เขาน้อย เจ้าเอาน้ำมาล้างที่นี่ให้สะอาด อย่าให้เหลือร่องรอย แดงน้อย ให้หมาป่าน้อยเลียเจ้าสักสองหน ให้มันกำจัดกลิ่นที่ปาก จำไว้ พวกเราไม่มีใครเคยพบหร่วนหลิงซิ่ว”
“พี่หญิงอู๋เย่ว์ ข้าจำได้ว่ามนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียร จะมีโคมดวงจิตประจำตัว” ดอกเบญจมาศแดงแดงเอ่ยเตือนสติ
อู๋เย่ว์กวาดตาไปทางมันแวบหนึ่ง ขบคิดในใจดอกเบญจมาศแดงดอกนี้ฉลาดหลักแหลมกว่าพวกมันมาก ทว่าเทียบกับข้าแล้ว ก็ยังห่างชั้นกว่ามาก
“เจ้าจะรู้อะไร โคมดวงจิตประจำกายทำได้เพียงให้จิ้งเหยียนเจินจวินตามรอยมาที่พรรคเหยากวงเท่านั้น แต่การแยกว่าผู้ใดเป็นฆาตกรที่แท้จริงต้องใช้สุคนธ์ล่าวิญญาณหนึ่งวันที่ผสมอยู่ในไส้ตะเกียง ทว่าต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด จากสำนักลั่วสยารีบเร่งมาเหยากวงก็ต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งวัน หึๆ ถึงยามนั้นสุคนธ์ล่าวิญญาณก็หมดประสิทธิภาพไปแล้ว ดอกกระหล่ำก็เย็นไปแล้ว ไม่ว่าจิ้งเหยียนเจินจวินจะบีบบังคับซักถามศิษย์เหยากวงอย่างไร ก็ไม่อาจหาผลลัพธ์ได้ ผู้ใดจะคิดว่าเป็นฝีมือของอสูรวิญญาณอย่างพวกเรา”
มองเขาน้อยและพวกทั้งสามที่มีสายตาเลื่อมใสศรัทธา อีกาไฟก็หัวเราะอย่างภูมิใจ ฉับพลันนั้นก็รู้สึกว่ายังพอใช้ชีวิตต่อไปได้
ไม่ถึงสองวัน ก็มีคนมาถีบประตูพรรคเหยากวงด้วยความโกรธเกรี้ยว
ลูกศิษย์เหยากวงวิ่งออกไปด้วยความแตกตื่น มองเห็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดมายืนอยู่หน้าประตูพรรคก็รู้สึกตกตะลึงจนตาค้าง
——
[1] ทุบหม้อข้าวจมเรือ หมายถึงการตัดสินใจที่เด็ดขาดที่เมื่อคิดจะทำแล้วต้องทำต่อไปให้ถึงที่สุด