ปราณวิญญาณจำนวนมหาศาลพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า กลายเป็นน้ำพุสายหนึ่งอย่างรวดเร็ว แล้วแผ่กระจายออกพร้อมกับโรยตัวลงมา
ปราณยะเยือกและปราณวิญญาณผสานเข้าด้วยกัน กลายเป็นหมอกเจ็ดสีกลุ่มหนึ่ง โอบล้อมน้ำพุวิญญาณเอาไว้
บนยอดสุดของน้ำพุวิญญาณ เงาร่างคนตัวเล็กขนาดเท่าทารกปราณตัวเล็กหนึ่งบุรุษและหนึ่งสตรีกำลังคลอเคลียกัน
แขนขาของบุรุษกลับสวมกำไลสีทองแดงเอาไว้ แขนของสตรีถือคันธนูสีเข้มเอาไว้ สีหน้าของพวกเขาไม่ยินดีและไม่โศกเศร้า ราวกับว่าไม่มีความรู้สึกใดๆ เฉกเช่นมนุษย์
และในยามนั้นเอง คนตัวเล็กทั้งสองพลันลืมตาขึ้นมาพร้อมกัน แล้วมองมาด้านล่างแวบหนึ่ง
พลังกดดันไม่ทราบชื่อสายหนึ่งแผ่สัมผัสกับจิตวิญญาณของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเหล่านั้นโดยตรง พวกเขารู้สึกหัวใจกระตุกวาบ คาดไม่ถึงว่าคล้ายจะทำท่าก้มลงไปกราบกรานตามจิตใต้สำนึก
“ถอดดวงจิตวิญญาณดั้งเดิม!” หลิวซางเจินจวินที่เคยพยายามทำเช่นนี้อย่างหนักในอดีตพลันร้องอุทานออกมาอย่างอดไม่ไหว
ก่อนหน้านี้เคยกล่าวเอาไว้ว่า ผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกฝนจนมาถึงระดับก่อกำเนิด ทารกปราณจะสามารถแยกออกจากกายเนื้อได้ ตัวอย่างเช่นยามที่เข้าคู่บำเพ็ญเพียร หรือยามที่กายเนื้อดับสูญ
แต่การที่ทารกปราณออกจากกายเนื้อเช่นนี้ ไม่เหมือนกับถอดดวงจิตวิญญาณดั้งเดิม
หลังจากทารกปราณของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดออกจากร่างแล้ว จะอ่อนแออย่างมาก มีพลังแค่กำลังกายพื้นฐาน
แต่การถอดดวงจิตวิญญาณดั้งเดิมนั้น กลับเป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตัวของผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิต ในยามที่ถอดทารกปราณออกจากร่าง จะสามารถใช้สมบัติวิเศษเจ้าชะตาได้ แม้ว่าอานุภาพจะไม่เทียบเท่าตอนอยู่ในร่าง แต่ก็มีความสามารถในการปกป้องตนเอง
คนตัวเล็กทั้งสองที่อยู่บนยอดน้ำพุวิญญาณ คนหนึ่งสวมกำไลสีทอง คนหนึ่งถือคันธนูยาว นั่นคือการถอดดวงจิตวิญญาณดั้งเดิมอย่างเห็นได้ชัด
สิ้นเสียงของหลิวซางเจินจวิน ทุกคนพลันตกตะลึง
นอกจากจิ้งเหยียนเจินจวินแล้ว คนอื่นๆ ล้วนรู้ว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมของเยี่ยเทียนหยวนได้รับบาดเจ็บสาหัส ดวงวิญญาณของมั่วชิงเฉินก็ไม่อาจเข้าร่างได้ ผ่านไปสิบปีทั้งสองตื่นขึ้นมาได้ก็นับว่าต้องขอบคุณฟ้าดินแล้ว แต่เหตุใดถึงกระโดดจากระดับก่อกำเนิดขั้นต้นย่ำเข้าสู่ระดับถอดดวงจิตได้ภายในชั่วครู่
เหตุการณ์ประหลาดในยามนี้ ราวกับมือไร้รูปร่างที่กำลังเขย่าอารมรณ์ของทุกคน ดึงความตกตะลึงของทุกคนขึ้นไปจนขีดสุด แต่กลับเงียบขรึมไร้วาจา
และในยามนั้นเอง น้ำพุวิญญาณพลันโรยตัวลงมาด้านล่าง คนตัวเล็กสองคนที่กำลังคลอเคลียกันอยู่บนยอดน้ำพุก็ร่อนตามลงมา ชั่วพริบตา ก็สลายหายไปกลางอากาศ ราวกับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เป็นแค่ห้วงฝันฉากหนึ่งเท่านั้น
“อาจารย์ นี่ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น” จื่อซีเจินจวินคว้าแขนเสื้อของหลิวซางเจินจวินเอาไว้
หลิวซางเจินจวินลืมตักเตือนลูกศิษย์ที่เสียอาการ สีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยไม่แน่นอน “แปลก บรรลุระดับถอดดวงจิต ปรากฏการณ์สวรรค์ไม่อาจสลายหายไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้…”
ทุกคนล้วนจ้องเขม็งไปยังห้องที่พวกมั่วชิงเฉินทั้งสองกักตน
ประตูใหญ่ปิดสนิท ไม่มีการเคลื่อนไหว
“ดูแล้ว เมื่อครู่คงไม่ใช่ปรากฏการณ์สวรรค์บรรลุระดับถอดดวงจิต” ไม่รู้ว่าหลิวซางเจินจวินรู้สึกหดหู่หรือว่านึกอะไรออก ถึงได้พูดอย่างเชื่องช้า “บางทีขณะที่พวกเขาสองคนกำลังบำเพ็ญอาจจะเกิดความเปลี่ยนแปลงพิเศษอะไรก็ได้”
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงก็รู้ว่าเป็นเรื่องที่ดี
“อาจารย์ พวกชิงเฉินนาง หรือว่าจะยังกักตนอยู่” เดิมจื่อซีเจินจวินก็มีนิสัยกล้าได้กล้าเสีย หลังจากบรรลุระดับก่อกำเนิดได้ก็ทำให้พลังยุทธ์มั่นคงได้ในระยะเวลาอันสั้น จึงระงับอารมณ์พลุ่งพล่านเอาไว้ไม่ไหวอยู่บ้าง
“เรื่องนี้ อาจารย์ก็พูดยาก” หลิวซางเจินจวินเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
ต่อให้เขาเป็นอันดับหนึ่งของพรรคเหยากวง เพียงกระทืบเท้าล้วนทำให้ทั้งโลกผู้บำเพ็ญเพียรสั่นคลอนได้ แต่เผชิญหน้ากับเหตุการณ์เมื่อครู่ ก็ยังคงงุนงง
จื่อซีเจินจวินชี้ไปยังคันฉ่องหลากสีแปดสมบัติที่หลิวซางเจินจวินเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ “อาจารย์ ไม่สู้ใช้สมบัตินั่นของท่านดูอีกรอบสักหน่อย”
หลิวซางเจินจวินพลันถลึงตา
จื่อซีเจินจวินไม่หวาดกลัวเลยสักนิด กลับเอ่ยพร้อมกับหัวเราะคิกคัก “อาจารย์ ปรากฏการณ์เมื่อครู่หายากมาก แม้แต่ท่านก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น หากพวกชิงเฉินนางเป็นอะไรไป เหยากวงของพวกเราไม่ต้องเสียหายใหญ่โตหรือ ดูสักหน่อยเถิด ดูแล้วถึงจะได้วางใจ”
เหิงตั๋วเจินจวินก้มหน้าลงลอบยิ้ม
“อาจารย์ พวกเราอย่าไปรบกวนพวกเขาเลย” กู้หลีส่งเสียง
จื่อซีเจินจวินถลึงตาใส่กู้หลีคราหนึ่ง “เหอกวง คันฉ่องหลากสีแปดสมบัติแค่แสดงสถานการณ์ด้านใน ไม่ได้ไปสัมผัสกับค่ายกลอะไร เจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดความวุ่นวายเลย”
ผู้พูดไม่ได้เจตนาแต่ผู้ฟังคิดไปไกล กู้หลีหูแดงฉาน ก้มหน้าลงไม่ส่งเสียงใดๆ อีก
หลิวซางเจินจวินหยิบคันฉ่องหลากสีแปดสมบัติออกมา “จื่อซีพูดมีเหตุผล ดูสักหน่อยก็ได้”
กู้หลีมองหลิวซางเจินจวินแวบหนึ่งอย่างจนปัญญา กลับเข้าใจสาเหตุที่อาจารย์ทำเช่นนี้
แม้ว่าการแอบมองผู้บำเพ็ญเพียรเข้าคู่บำเพ็ญจะไร้มารยาท แต่หากเกี่ยวข้องกับการบรรลุระดับถอดดวงจิต กลับไม่จำเป็นต้องใส่ใจมากนัก
ผู้บำเพ็ญเพียรสามัญทั่วไปอาจจะไม่รู้ มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดถึงจะรู้ กุญแจลับเข้าสู่แดนสวรรค์มี่หลัวตูก่อให้เกิดมหาสงครามพรตมารขึ้น หลังจากพรต มาร และปีศาจทั้งสามฝ่ายได้รับความสมดุล สำนักพรตจึงมีกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรอยู่ข้อหนึ่ง
แผ่นดินใหญ่เทียนหยวน ทรัพยากรในการบรรลุระดับถอดดวงจิตล้วนสามารถแย่งชิงได้ด้วยชีวิต แต่หากเป็นข้อมูล ล้วนสามารถแลกเปลี่ยนกันได้
ไม่มีเหตุผลอื่นโลกผู้บำเพ็ญเพียรในยามนี้ ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรบรรลุเข้าสู่ระดับถอดดวงจิตนานแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรที่บรรลุระดับก่อกำเนิดก่อนหน้านี้ต่างก็ล้มเลิกความตั้งใจกันหมดแล้ว
ต่อให้เป็นผู้มองโลกในแง่ดีขนาดไหน ก็รู้ว่าโลกผู้บำเพ็ญเพียรคงยิ่งเหี่ยวเฉามากขึ้นเรื่อยๆ
หากมีเหตุการณ์อย่างวิกฤตคลื่นอสูรปรากฏขึ้นอีกครั้ง อาวุโสเหอเซียวหยางสาบสูญไร้ร่องรอย เจ้าปีศาจก็อาจจะครอบครองโลกของผู้บำเพ็ญเพียรได้
สถานการณ์เช่นนี้ของมั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวน แม้ว่าไม่จำเป็นต้องบอกผู้อื่น ให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักได้เห็นกลับไม่ใช่เรื่องน่าตำหนิอะไร
“อาจารย์ ยังมีคนนอกอยู่นะ” จื่อซีเจินจวินเอ่ยเตือน
จิ้งเหยียนเจินจวินมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง และไม่ไหวติง
“ไม่เป็นไร ได้เห็นคือวาสนาอย่างหนึ่ง คิดดูแล้วสหายจิ้งเหยียนคงไม่พูดมาก” หลิวซางเจินจวินเอ่ยเสียงราบเรียบ
จิ้งเหยียนเจินจวินมุมปากกระตุก “แน่นอน”
ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับข้อมูลของระดับถอดดวงจิต สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแล้ว นั่นเป็นสิ่งเย้ายวนที่ปฏิเสธได้ยาก
ไม่ต้องพูดถึงกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรข้อนั้น แม้ว่าจะไม่มี เขาก็ต้องดูให้เห็นด้วยตาของตนเอง ไม่มีเหตุผลที่จะจากไปทั้งอย่างนี้
จื่อซีเจินจวินถลึงตาใส่จิ้งเหยียนเจินจวินแวบหนึ่ง แล้วไม่พูดอะไรอีก
แม้ว่านางจะมีนิสัยใจร้อน ความคิดกลับชาญฉลาดมาก ที่จงใจเตือนอาจารย์ เดิมก็เพราะจะให้จิ้งเหยียนเจินจวินแสดงท่าที ว่าจะปิดปากเรื่องนี้ให้สนิท
ไม่เช่นนั้นจากนี้ เกรงว่าเหยากวงคงจะคึกคักเสียยิ่งกว่าตลาดสดแน่
หลิวซางเจินจวินร่ายอาคมออกไป คันฉ่องหลากสีบินแปดสมบัติลอยขึ้น
บนผิวคันฉ่องมีระลอกคลื่น ด้านในมีภาพมั่วชิงเฉินกำลังถีบประตูออกมา
…
ย้อนเวลากลับไปในตอนที่คนตัวเล็กทั้งสองคนร่อนตามน้ำพุวิญญาณลงมา
มั่วชิงเฉินพลันได้สติ ชั่วพริบตาก็ลืมตาขึ้น มองเห็นเยี่ยเทียนหยวนที่กำลังเบิกตาโตมองมาเช่นกัน
ดวงตาทั้งสี่สบประสานกัน คาดไม่ถึงว่าจะมีความรู้สึกเสมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง
มั่วชิงเฉินพลันตื่นเต้นใจดี กำลังจะเอ่ยปาก ก็เห็นเยี่ยเทียนหยวนยื่นมือออกมาวางตรงปลายจมูกของนาง แล้วเอ่ยพึมพำว่า “ศิษย์น้องยังมีชีวิตอยู่”
สีหน้าเหม่อลอยนั้น ทำให้ท่าทางเย็นชาในยามปกติถูกทำลาย
มั่วชิงเฉินใจเต้น จับมือที่วางอยู่ตรงปลายจมูกของเขาลง กดไปที่ทรวงอกอิ่มเอิบของตนเอง เอ่ยถามอย่างใจกล้าว่า “ศิษย์พี่ท่านลองทดสอบดูสิว่าใจเต้นหรือไม่”
เยี่ยเทียนหยวนหน้าเปลี่ยนสี ชั่วพริบตานั้นมือที่กดลงบนจุดอวบอิ่มของมั่วชิงเฉินก็เปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบ “ไม่เต้น…ศิษย์น้อง ที่แท้พวกเราก็ตายไปแล้ว…”
เห็นสีหน้าแปลกประหลาดของมั่วชิงเฉิน มืออีกข้างหนึ่งก็ยื่นไปลูบปอยผมของนาง เอ่ยด้วยเสียงปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน “ตายแล้วก็ไม่เป็นไร โชคดีพวกเรายังได้อยู่ด้วยกัน”
มั่วชิงเฉินทนไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะร่าออกมา “ช่างทึ่มจริงๆ ที่ท่านกดลงนั่นคือด้านขวา สัมผัสได้ว่าใจเต้นก็แปลกแล้ว!”
ความดีใจและตกตะลึงเสมือนว่าได้สมบัติที่หายไปกลับคืนมาพลันเข้ายึดครองจิตใจ คาดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนหยวนจะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองยามมั่วชิงเฉินหยอกล้อเขา มองมือใหญ่ที่กดลงบนเนินอวบอิ่มด้านขวาด้วยความตกตะลึง ใช้มืออีกข้างหนึ่งกดไปยังความนุ่มนิ่มทางซ้ายของคนข้างกาย
มั่วชิงเฉินหน้าแดงซ่าน “ศิษย์พี่ ท่านกำลังแกล้งโง่หรือ”
เห็นเขามองตนด้วยดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับ ด้านในก็เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย กลับเอ่ยไม่ออกสักคำ ใจสั่นอย่างอดไม่ได้ กระโจนเข้าไปขบเม้มริมฝีปากของเขาอย่างดุดัน
“ตาทึ่ม วิญญาณกลับเข้าร่างแล้วยังไม่รู้อีก ยังนึกว่าผู้ที่ไปแดนผีคือท่านเสียอีก”
มั่วชิงเฉินในใจรู้สึกทั้งเจ็บทั้งปวด
กายเนื้อของนางนอนอยู่ข้างกายเยี่ยเทียนหยวน วิญญาณเข้าไปในร่างของเขาเพื่อบำรุงจิตวิญญาณดั้งเดิม สิบปีมานี้ล้วนมีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอด
แต่แค่เมื่อครู่ ดวงวิญญาณของนางไม่อาจเป็นของบำรุงให้อีกฝ่ายได้อีกแล้ว คล้ายกับได้รับความสมดุลแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะพุ่งออกมาอย่างไม่อาจควบคุม จมหายเข้าไปในร่างของตนเอง
กายเนื้อและดวงจิตที่ได้รับเสียหายไปกว่าครึ่งนั้นก่อให้เกิดความยากลำบากอยู่บ้าง ชั่วพริบตาที่ดวงจิตกลับคืนร่างความเจ็บปวดก็แล่นเข้ามา แขนทั้งสองข้างของทั้งคู่เป็นสีฟ้าบ้างม่วงบ้าง เพลิงวาสนาตะวันและเพลิงแก้วใจกระจ่างสอดประสานเข้าด้วยกัน ไหลเวียนไปในร่างกายของอีกฝ่าย
จากนั้น ก็สูญเสียสติสัมปชัญญะไป
ต่อมาปรากฏการณ์สวรรค์แม้ว่าจะยังคงจดจำได้ แต่กลับไม่รู้ว่าพวกหลิวซางเจินจวินยืนอยู่ด้านนอก
ทารกปราณที่ถอดออกจากร่างในยามนั้น ก็ไม่เหมือนกับจิตวิญญาณดั้งเดิมที่ถอดออกจากร่าง ในสถานการณ์ที่แปลกรปะหลาดเช่นนี้ ไม่เหมือนกับที่เคยได้ยินและอ่านมาเลยสักนิด
ส่วนได้ยินและอ่านอะไรมานั้น ก็รู้ดีอยู่ในใจ แต่กลับใช้ภาษาอธิบายออกมาไม่ได้
ต่อมาเมื่อจิตวิญญาณดั้งเดิมกลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิม ชั่วพริบตานั้นมั่วชิงเฉินก็ฟื้นฟูสติสัมปชัญญะกลับมา
เยี่ยเทียนหยวนผู้น่าสงสารที่หลับไปสิบปี อยู่ดีๆ ก็ตื่นขึ้น จึงดูเหมือนสูญเสียจิตวิญญาณไป
เห็นเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง มั่วชิงเฉินก็กัดอย่างแรงอีกคำหนึ่ง หางตามีหยาดน้ำตาไหลรินออกมาอย่างเงียบงัน
นางไม่ได้ขยับอีก แค่ความอบอุ่นที่แฝงไว้ด้วยกลิ่นคาวโลหิตยังคงคละคลุ้งอยู่ในปาก เตือนทั้งสองอย่างชัดเจนว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่
ดังนั้น จึงไม่อาจทำใจละออกได้
กินศิษย์พี่ผู้กลายเป็นเจ้าทึ่มจนเกลี้ยง น่าจะไม่ต้องรับผิดชอบอะไรกระมัง
ขณะที่มั่วชิงเฉินกำลังขบคิด เยี่ยเทียนหยวนที่ได้สติกลับคืนมาตั้งแต่เมื่อใดก็สุดจะรู้ได้พลันพลิกตัวขึ้นมา กดนางไว้ด้านล่าง
ถือโอกาสที่กำลังจะตกตะลึง งับให้นางเปิดปากออก สอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัด
กายของมั่วชิงเฉินคล้ายดั่งมีไฟลุกดชน ร่างกายเคลื่อนไหวคิดจะพลิกไปอยู่ด้านบน กลับถูกแขนดุจท่อนเหล็กของคนด้านบนกักเอาไว้จนขยับเขยื้อนไม่ได้
ดิ้นรนอยู่นาน ก็เอ่ยอย่างกระหืดกระหอบว่า “เยี่ยเทียนหยวน…เจ้ามันตาทึ่ม…”
มือกวาดสำรวจลงไปยังเบื้องล่าง
แขนผู้ไม่ซื่อสัตย์ของเยี่ยเทียนหยวนคว้าจับเอาไว้ แล้วพลิกตัวกลับมา เป็นเพราะถูกกดเอาไว้เสียงจึงทุ้มต่ำ “ศิษย์น้อง พวกเราออกไปกันเถิด”
เอ่ยไปพลางก็ดึงนางขึ้นมา จัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง เมื่อมือสัมผัสโดนปิ่นหยกด้ามหนึ่ง พลันชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ม้วนมวยผมอย่างจริงจัง
“ศิษย์พี่” มั่วชิงเฉินประหลาดใจไปเล็กน้อย
เยี่ยเทียนหยวนเช็ดคราบโลหิตที่มุมปาก ใบหน้าแดงซ่าน เอ่ยอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “เกิดปรากฏการณ์สวรรค์ พวกท่านเทียดคงจะรีบมาแล้ว .หาก…หากเจ้าอยาก…อีกเดี๋ยว อีกเดี๋ยวพวกเรา…”
มั่วชิงเฉินมีสีสีหน้าแดงระเรื่อ คำรามว่า “ผู้ใดอยากกัน ท่าน ท่านมันตาทึ่ม…”
เยี่ยเทียนหยวนรีบดึงแขนของมั่วชิงเฉิน พลันเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เป็นศิษย์พี่ที่พูดผิด เจ้าไม่อยาก แต่ข้าอยาก…”
มั่วชิงเฉินเขินอายจนไม่มีหน้าไปพบผู้อื่น สลัดแขนเขาออกแล้วสาวเท้ายาวๆ ไปที่ประตู
ค่ายกลป้องกันไม่ได้ขวางกั้นผู้ที่อยู่ด้านใน มั่วชิงเฉินเขินจนถีบประตูออกไป
แต่พอเพิ่งออกมาจากประตู ไม่ได้สนใจมองสถานการณ์ด้านนอก ก็เห็นคันฉ่องบานหนึ่งลอยอยู่ตรงหน้า กำลังเปล่งแสงสว่างกะพริบวาบหันหน้ามาทางนาง ด้านในคือภาพที่นางถีบประตู
คันฉ่องส่องปีศาจนี่มาจากไหน!
ในหัวของมั่วชิงเฉินมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ทั้งอายทั้งโกรธ พลันยกเท้าขวาขึ้นอย่างรวดเร็ว เหยียบไปบนคันฉ่องหลากสีแปดสมบัติอย่างรุนแรง