“ทำไมหรือ” มั่วหร่านอีถามอย่างไม่เข้าใจ
มั่วชิงเฉินมองหลัวอวี้เฉิงปราดหนึ่ง เห็นสีหน้าเรียบเฉยและท่าทีไม่สะทกสะท้านของเขา นางจึงทำได้เพียงเป็นผู้อธิบายออกไป “ปีนั้นพวกเราพลัดหลงเข้าไปในแดนลึกลับ ฝูเฟิงเจินจวินถ่ายทอดเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับค่ายกลส่งตัวโบราณเข้ามาในหัวของพวกเรา มีเพียงการกระตุ้นพลังพร้อมกันเท่านั้น ถึงจะหาค่ายกลส่งตัวโบราณพบ ครานี้พาท่านพี่ทั้งสองมายังบ้านเกิดของข้า เดิมทีคิดจะตามหาศพของเวินหนิงและรุ่นหลานตระกูลหลิ่วที่เหลือ แล้วค่อยคิดหาวิธีติดต่อกับสหายลั่ว”
“อ้อ” มั่วหร่านอีพยักหน้า พลางมองทั้งสองคน “น้องสิบหก พวกเจ้าทั้งสองช่างมีวาสนาต่อกันเสียจริง หากมิได้บังเอิญพบกับพยัคฆ์ขนสีน้ำเงินตนนั้น แล้วจะไปตามหาจากที่ใดเล่า”
วาจานี้ทำเอามั่วชิงเฉินรู้สึกวางตัวไม่ถูกเล็กน้อย นางปรายตามองหลัวอวี้เฉิงเร็วๆ หนึ่งครา เห็นเขาส่งสายตามา ดวงตาของล้ำลึกราวกับแอ่งน้ำเย็น ดูอารมณ์ไม่ออก
มั่วชิงเฉินเบือนสายตาจากนั้นก็ยิ้มให้มั่วหร่านอี “พี่สิบพูดเช่นนี้ก็มิได้ถูกทั้งหมด อันที่จริงถึงแม้จะไม่มีอาชิง พวกเราเองก็จะได้พบกับสหายลั่ว”
“เพราะเหตุใดหรือ” ครานี้เป็นมั่วเฟยเยียนที่เอ่ยปาก
“พวกท่านยังจำการประลองเฟิงอวิ๋นครั้งนั้นได้หรือไม่ พี่สิบกล่าวว่าระหว่างทางไปยังแดนไท่ไป๋ได้พลัดหลงเข้าไปในสถานที่ที่มีพลังหยินเข้มข้นแห่งหนึ่ง แล้วยังได้พบกับท่านอาหกที่หอกักวิญญาณ ท่านอาหกพูดถึงท่านอาสิบสี่ ข้าคาดว่าการเพลี่ยงพล้ำของท่านอาสิบสี่อาจจะเกี่ยวข้องกับจงหลางกระมัง”
มั่วเฟยเยียนและมั่วหร่านอีพยักหน้าพร้อมกัน
มั่วชิงเฉินยิ้ม “อันที่จริงมีเรื่องหนึ่งที่ข้ามิเคยพูดถึง หลังจากวิญญาณของข้าและท่านอาหกได้พบกัน ท่าทีของนางในตอนนั้นแปลกมาก นางซักไซ้ข้าตลอดว่าจะพาท่านอาสิบสี่ไปที่ใด ในตอนนั้นข้ามิเข้าใจเท่าใดนัก ทว่าหลายปีมานี้ข้าคิดออกแล้ว ในแดนลึกลับนั้น ข้าเคยเห็นฝูเฟิงเจินจวินแปลงกายเป็นเวินหนิง ข้ากับนางคล้ายกันอย่างน้อยแปดส่วน นึกดูแล้วท่านอาหกคงจำข้าผิดคิดว่าเป็นเวินหนิง ในเมื่อคิดมาถึงตรงนี้แล้ว อยากตามหาศพของเวินหนิง สถานที่ที่มีพลังหยินเข้มข้นแห่งนี้จึงเป็นที่ที่ต้องมา เช่นนั้นแล้วก็ต้องได้พบกับสหายลั่ว เพียงแต่ตอนนี้ได้พบเจอก่อนเวลาเพียงเท่านั้น”
พูดมาถึงตรงนี้ก็มองไปทางมั่วหร่านอี “พี่สิบ ถ้าหากข้าคาดไม่ผิด ที่แห่งนี้คือที่ที่ท่านหลงเข้ามาใช่หรือไม่”
มั่วหร่านอีพยักหน้าทันที นางมองไปทางหลัวอวี้เฉิงด้วยสีหน้าอ่านไม่ออก จากนั้นก็กลับมามองมั่วชิงเฉิน พลางคิดในใจว่าเหตุใดถึงได้คิดว่าพวกเขาทั้งสองคนนั้นช่างสมกันนัก…
สวรรค์ ความคิดนี้ช่างน่ากลัวนัก
คิดมาถึงตรงนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวแรงๆ อย่างอยากสะบัดความคิดแปลกประหลาดนี้ออกไป
เห็นมั่วหร่านอีพยักหน้าจากนั้นก็ส่ายหัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำเอามั่วชิงเฉินรู้สึกงงงวย “พี่สิบ ท่าทางเช่นนี้ของท่านออกจะซับซ้อนไปเสียหน่อย…”
ไม่รอให้มั่วหร่านอีตอบ หลัวอวี้เฉิงก็ยิ้มจางๆ พลางพูด “คงเป็นที่นี่ หอกักวิญญาณอยู่ที่ยอดเขาของน้ำตก”
มั่วหร่านอีเชิดหน้าขึ้นและส่งเสียงเย็นชาออกมา “เจ้าไม่บอกข้าก็รู้ พี่เก้า น้องสิบหก ให้ข้านำทางไปยังหอกักวิญญาณตอนนี้เลยหรือไม่”
“ก็ดี” มั่วเฟยเยียนพยักหน้า
มั่วชิงเฉินมองไปที่หลัวอวี้เฉิง ยามไม่เอ่ยปากเขาก็มักขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับกำลังอดทนกับความรู้สึกไม่สบาย สีหน้าซีดเซียวเหมือนกับตอนแรกที่พบ
“ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ก็มิต้องรีบหรอก ข้าอยากรักษาบาดแผลให้สหายลั่วเสียก่อน”
ท่ามกลางสายตาจับจ้องของมั่วเฟยเยียน สายตาไม่โกรธแค้นของมั่วหร่านอี มั่วชิงเฉินกลับยิ้มออกมาอย่างไร้กังวล
ไม่เกี่ยวกับอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นเพราะตัวนางเอง อีกทั้งเขายังอดทนมาถึงสี่สิบกว่าปี ทว่าเมื่อเจอสหายสนิทได้รับบาดเจ็บ นางก็มิอาจเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เพียงเพราะต้องการจะหลีกเลี่ยงสายตาสงสัยจากผู้คน
“เช่นนั้นแล้วข้ากับน้องสิบขึ้นไปตรวจสอบก่อนดีกว่า” มั่วเฟยเยียนที่ดวงตาเย็นชาน้อยลงแล้วถามเสียงเรียบ
รอจนมั่วเฟยเยียนและมั่วหร่านอีเหาะขึ้นไปบนยอดเขาของน้ำตก มั่วชิงเฉินก็เริ่มรักษาอาการบาดเจ็บให้หลัวอวี้เฉิง
หลัวอวี้เฉิงเอนกายอยู่บนหินก้อนใหญ่ก้อนนี้ อันเป็นสถานที่ที่เป็นเขตแดนติดต่อกันระหว่างสถานที่ที่มีพลังหยินเข้มข้นและสถานที่ที่มีพลังหยางเบาบาง รักษาอาการบาดเจ็บบนนี้ช่วยได้มากสองเท่า
เพียงแต่หินก้อนนี้ลื่นมากเกินไป
มั่วชิงเฉินพยุงหลัวอวี้เฉิงขึ้น และให้เขาหันหลัง ฝ่ามือทั้งสองข้างวางลงบนแผ่นหลัง จากนั้นก็ส่งผ่านพลังบริสุทธิ์เข้าไปอย่างช้าๆ เพื่อช่วยเขาสะสางทางเดินชีพจรในกายที่พันกันยุ่งเหยิง
ทางเดินเลือดลมในกายอุดตันและเกิดตกตะกอน การทำให้เลือดลมเดินสะดวกนั้นเจ็บปวดอย่างมาก จนหลัวอวี้เฉิงร้องเสียงดังออกมาตลอดกระบวนการรักษา
มั่วชิงเฉินเก็บมือทั้งสองข้างตามด้วยพูดอย่างจนปัญญา “สหายลั่ว มิใช่ว่าเจ้าควรจะกัดฟันอดทน ไม่ส่งเสียงอันใดออกมา เก็บไว้ในใจมิให้ผู้อื่นเป็นกังวลหรอกหรือ ร้องเสียงดังเยี่ยงนี้ดูเหมือนว่าจะทำลายภาพลักษณ์ไปหน่อย…”
หลัวอวี้เฉิงเม้มรอยเลือดที่กระอักออกมาแถวมุมปากเงียบๆ เขายิ้มอ่อนพลางพูด “เสื้อผ้าของเจ้าอวี้เฉิงก็ใส่แล้ว ยังจะห่วงเรื่องภาพลักษณ์อีกหรือ”
มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปากเล็กน้อย “ไม่พูดเรื่องที่เจ้าสวมเสื้อผ้าของข้าได้หรือไม่”
ครู่ใหญ่กว่าหลัวอวี้เฉิงจะส่งเสียงออกมา “เช่นนั้น ให้ข้าถอดหรือ”
“พอแล้ว!” มั่วชิงเฉินตะคอกด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
เห็นไหล่ทั้งสองข้างของหลัวอวี้เฉิงสั่นเล็กน้อย เขาพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ
มั่วชิงเฉินยกเท้าขึ้นมาอย่างใจเย็น จากนั้นก็ถีบเขาลงในแอ่งน้ำ
น้ำในแอ่งทำให้ผิวของเขาเปียกน้ำ เพราะว่าฝืนทำให้เลือดลมเดินสะดวกทำให้พิษร้อนถูกปลดปล่อยออกมาช้าๆ หลัวอวี้เฉิงถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย จากนั้นก็ยิ้มจางๆ ให้มั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินรู้สึกผิดเล็กน้อย นางกระแอมเบาๆ จากนั้นจึงถาม “ข้าทำเพราะมันดีต่อเจ้า”
“ข้าทราบ” รอยยิ้มของหลัวอวี้เฉิงลุ่มลึกขึ้น
“เอ่อ เช่นนั้นเจ้าแช่น้ำก่อนเถิด รอจนขับพิษร้อนออกมาจนหมดแล้วเรียกข้า” มั่วชิงเฉินผุดลุกขึ้น กระโดดลงจากบนก้อนหิน เลือกสถานที่เพื่อนั่งลงแล้วหลับตาบำเพ็ญเพียร
หลัวอวี้เฉิงจ้องมองด้านหลังของมั่วชิงเฉินอยู่นาน ก่อนจะถอนสายตากลับไปอย่างเกียจคร้าน จากนั้นก็ทิ้งตัวให้จมลงไปในแอ่งน้ำ
หลังจากนั้นถึงหนึ่งสัปดาห์มั่วชิงเฉินก็ลืมตาขึ้นมา ทันใดนั้นก็พบว่ากลางแอ่งน้ำไร้เงาของหลัวอวี้เฉิง นางตกใจจนดีดตัวขึ้นมา พอเห็นชายเสื้อผ้าสีเขียวที่ลอยเหนือน้ำรางๆ อย่างชัดเจนก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางกระโจนเข้าไปดึงหลัวอวี้เฉิงขึ้นมา
“เจ้าลงไปทำไมหรือ”
หลัวอวี้เฉิงแบมือออก เผยให้เห็นน้ำแข็งที่ถูกแกะสลักเป็นรูปดอกไม้ส่องแสงระยิบระยับภายใต้แสงจันทร์
“นี่มันสิ่งใดกัน” มั่วชิงเฉินมองอย่างสงสัย
หลัวอวี้เฉิงยิ้มจางๆ พลางเอ่ย “สถานที่ที่พลังหยินหยางผันแปรแห่งนี้มีมานานแล้ว ดอกไม้ดอกนี้เกิดจากพลังหยินและหยางผสานกันจากนั้นก็จับตัวกันที่ก้นแอ่งน้ำ ใช้กับการรักษาอาการบาดเจ็บได้ดีอย่างน่าอัศจรรย์”
พูดจบก็โยนบุปผาน้ำแข็งเข้าปาก
“เจ้าเคลื่อนไหวไม่สะดวก ทว่ารู้กระทั่งก้นแอ่งน้ำมีบุปผาน้ำแข็ง ไม่เสียชื่อผู้มากปัญญาประหนึ่งปีศาจ” มั่วชิงเฉินถอนใจด้วยความชื่นชม
หลัวอวี้เฉิงมองมั่วชิงเฉินด้วยสายตาแปลกๆ “เจ้าคิดอันใดอยู่ ข้ารู้เพราะว่ามีครั้งหนึ่งข้าไม่ระวังจึงลื่นจากบนก้อนหิน จากนั้นจมลงไปยังก้นแอ่งน้ำ”
มั่วชิงเฉินชะงักงัน…
“นี่คือโอสถอุ่นบำรุงทารกปราณ เจ้าทานก่อนหนึ่งเม็ด หลายวันนี้ข้าจะหลอมโอสถที่ทำให้เลือดลมเดินสะดวกสักเตา วันหน้าหากทางเดินเลือดลมพันกันอีกจะได้ไม่ทรมานนัก” มั่วชิงเฉินยัดขวดหยกลงในมือของหลัวอวี้เฉิง
หลัวอวี้เฉิงกำขวดหยกแน่นและพูดขอบคุณ
ยามนั้นมีการเคลื่อนไหวของลมปราณลอยมา ครู่ต่อมามั่วเฟยเยียนและมั่วหร่านอีก็ร่อนลงมา
มั่วชิงเฉินเห็นสีหน้าซ่อนความตื่นเต้นไม่ไหวของทั้งสองคน จึงทักทายพวกนางแล้วถาม “พี่เก้า พี่สิบ ท่านพบสิ่งใดหรือ”
มั่วเฟยเยียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบ “ใช่ พวกเราพบถ้ำพำนัก เป็นไปได้มากว่าจะเป็นถ้ำที่เวินหนิงบรรพชนของเจ้าทิ้งไว้”
ไม่รอให้มั่วชิงเฉินแสดงท่าทีปีติ มั่วหร่านอีก็พูดต่อ “เพียงแต่ถ้ำพำนักแห่งนั้นได้ถูกทำลายไปแล้ว”