ต้องอยู่บนเกาะเล็กหลายเดือน เช่นนั้นก็ไม่สามารถนอนกลางดินกินกลางทรายทุกวันได้แล้ว ทั้งสี่คนต่างหาสถานที่สร้างกระต๊อบอย่างง่ายๆ คนละหลัง
เพราะมั่วชิงเฉินเป็นหญิงสาว จึงพยายามห่างจากทั้งสามคนเสียหน่อย ทว่าเกาะเล็กๆ ที่มีพื้นที่ใหญ่เพียงเท่าฝ่ามือ ต่อให้ไกลเพียงใดขอเพียงใช้จิตตระหนักกวาดทีหนึ่งก็สามารถเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ทว่าทางด้านนี้ทุกคนยังนับว่ารักษามารยาท ที่พำนักของผู้บำเพ็ญเพียรหากไม่มีเหตุอันใดจะไม่ใช้จิตตระหนักไปสอดส่อง
ต่อให้เป็นเช่นนี้มั่วชิงเฉินยังคงไม่วางใจ เอาค่ายกลซ่อนวิญญาณ ค่ายกลป้องกันต่างๆ ค่ายกลที่เอาออกมาได้เอาออกมาตั้งจนหมด ถึงได้หยิบไหมเกล็ดน้ำแข็งชิ้นนั้นจากกำไลมือเก็บวัตถุออกมาอย่างระมัดระวัง
สัมผัสความรู้สึกเย็นดั่งน้ำเมื่ออยู่ในมือ มั่วชิงเฉินทอดถอนใจถึงความอัศจรรย์ของสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกอีกครั้ง นางใช้นิ้วมือสองนิ้วหนีบมุมหนึ่งของไหมเกล็ดน้ำแข็งเบาๆ ไหมเกล็ดน้ำแข็งทั้งผืนก็เทลงมาดุจแสงจันทร์ ส่องประกายขาวดุจหิมะ
มั่วชิงเฉินยื่นมือซ้ายออก บีบเลือดออกจากปลายนิ้วกลางหยดหนึ่ง หยดลงบนไหมเกล็ดน้ำแข็ง
เลือดเมื่อหยดลงบนไหมเกล็ดน้ำแข็งก็กระจายออกทันที ไหมเกล็ดน้ำแข็งทั้งผืนกลายเป็นสีแดงประหลาด และกลับคืนสู่สภาพขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะดังเดิมอีกอย่างรวดเร็ว
มั่วชิงเฉินรู้สึกได้ทันทีว่าไหมเกล็ดน้ำแข็งและจิตของตนผูกพันกันอย่างลี้ลับ นางนั่งขัดสมาธิ สัมผัสความพิเศษของของวิเศษตามธรรมชาติเงียบๆ
สามวันให้หลัง มั่วชิงเฉินถึงลืมตาขึ้น มุมปากประดับยิ้ม
ไหมเกล็ดน้ำแข็งนี้ไม่ต่างกับที่นางคาดไว้เท่าไร เป็นของวิเศษที่ใช้ในการเหินหาวเป็นหลัก แม้ไม่มีโอกาสลอง นางกลับแน่ใจได้ว่าชามใหญ่เหินหาวของตนใบนั้นเทียบความเร็วในการบินกับไหมเกล็ดน้ำแข็งแล้ว ต่างกันราวฟ้าดินชัดๆ ต่อให้เนื่องจากตบะของตนจึงสามารถทำให้ไหมเกล็ดน้ำแข็งสำแดงฤทธิ์ได้เพียงมุมหนึ่งของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้นก็ตาม ต่อไปหากต้องหนีเอาชีวิตละก็คงไม่เป็นปัญหาแล้ว
นอกจากขึ้นฟ้า ลงทะเลยิ่งเป็นสิ่งที่ไหมเกล็ดน้ำแข็งถนัด ที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือมันยังมาพร้อมพลังในการป้องกัน เกล็ดละเอียดยิบที่ยากจะจำแนกได้ด้วยตาเปล่าบนไหมเกล็ดน้ำแข็งหลังจากได้รับการขับเคลื่อนพลังวิญญาณ จะสำแดงฤทธิ์ในการป้องกันได้อย่างยอดเยี่ยม
ไหมเกล็ดน้ำแข็งนี้ไม่เสียทีที่เป็นของวิเศษตามธรรมชาติ มั่วชิงเฉินทุ่มเทความตั้งใจทั้งหมดในการรับรู้ถึงสามวันเต็มๆ แต่ก็คลำได้เพียงพลังพวกนี้ ยิ่งกว่านั้นผลเป็นเช่นไรยากจะคาดเดา คิดจะเชี่ยวชาญการใช้ไหมเกล็ดน้ำแข็งขึ้นอีกขั้นหนึ่ง เช่นนั้นก็จำเป็นต้องใช้เวลาอันยาวนานในการหลอม และหากคิดจะใช้ให้ได้ดังใจปรารถนา ยิ่งจำเป็นต้องเก็บไว้ในตันเถียนเลี้ยงตราบเท่าดินฟ้าแล้ว
“สามเดือน แม้ไม่อาจชำนาญการใช้ไหมเกล็ดน้ำแข็งทั้งหมด อย่างน้อยก็พอกล้อมแกล้มแล้ว” สายตามั่วชิงเฉินมองออกไปไกล บ่นพึมพำว่า
นางไม่ใช่คนที่ฝากความหวังไว้กับโชค นึกว่าคนที่พบเจอล้วนเป็นคนดี กระทั่งยามที่เตรียมทำเรื่องเรื่องหนึ่ง มักคิดผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อนเสมอ
สิ้นสุดการเดินทางผจญภัยตามหาน้ำตาปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณ นางมีจุดหมายปลายทางที่ชัดเจนแล้ว นั่นก็คือตระกูลหวัง
พี่สิบสี่มีชีวิตอยู่อย่างไรกันแน่ ต้องการให้ตนช่วยหรือไม่ อย่างไรนางก็ต้องไปลองเห็นกับตา
นางผู้บำเพ็ญเพียรหญิงอายุน้อยและโสดคนหนึ่ง ทะเลขนาบใจก็สถานการณ์พิเศษเช่นนี้อีก การมุ่งหน้าโดยลำพังไปตระกูลหวังที่เป็นใหญ่เพียงตระกูลเดียวอันตรายที่คาดเดาไม่ได้ที่ต้องเจอช่างมากมายเหลือเกินจริงๆ
นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินรู้สึกจำใจเล็กน้อย นี่ก็คือความน่าเวทนาของผู้บำเพ็ญเพียรหญิง เขตแดนตบะที่เหมือนกัน ยามออกไปท่องเที่ยวฝึกตนอุปสรรคอันตรายที่พบเจอต้องมากกว่าผู้บำเพ็ญเพียรชายมาก
เพียงแต่ในเมื่อนางไม่มีกำลังเปลี่ยนสภาพปัจจุบันของโลกการบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ เช่นนั้นเพียงสิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือทำให้พลังความสามารถในการปกป้องชีวิตสูงขึ้นเท่าที่เป็นไปได้
ดังนั้นในสามเดือนนี้เรื่องอื่นล้วนสามารถวางไว้ข้างๆ ได้ มีเพียงไหมเกล็ดน้ำแข็งนี้เท่านั้นที่นางจำเป็นต้องหลอมขั้นต้น ต้องรู้ว่าตระกูลหวังมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองท่านเลยนะ ได้ยินว่าหนึ่งในนั้นยังอยู่ระดับก่อแก่นปราณระยะปลายด้วย
หากตนไม่มีฝีมือสักหน่อย ต่อให้เบื้องหลังมีพรรคเหยากวางคอยหนุนอยู่ เกิดเรื่องขึ้นแล้วเกรงว่าทางสำนักก็ยื่นมือมาไม่ถึงอยู่ดี
มั่วชิงเฉินพลิกมือทีหนึ่ง ไหมเกล็ดน้ำแข็งก็หายเข้ากลางฝ่ามือนางไป ลอยอยู่เหนือตันเถียนนางเหมือนเมฆที่นุ่มนิ่มบางเบาก้อนหนึ่ง
เพลิงแก้วใจกระจ่างในตันเถียนไม่รู้ได้รับการกระตุ้นจากสิ่งใด เต้นระริกขึ้นมาห่อหุ้มไหมเกล็ดน้ำแข็งไว้ภายใน ไหลเกล็ดน้ำแข็งที่สะอาดหมดจดกลายเป็นเมฆที่ทอประกายสีฟ้ามรกตก้อนหนึ่งทันที งดงามยิ่งนัก
มั่วชิงเฉินไม่คิดว่าภายในตันเถียนของตนจะปรากฏภาพที่งดงามเช่นนี้ อีกทั้งเป็นห่วงเพลิงแก้วใจกระจ่างจะสร้างความเสียหายอะไรให้ไหมเกล็ดน้ำแข็งอีก จึงรีบใช้จิตตระหนักสัมผัสทีหนึ่ง กลับพบว่าไหมเกล็ดน้ำแข็งไม่เพียงไม่เสียหายแม้แต่น้อย ความสัมพันธ์กับนางกลับยิ่งสนิทชิดเชื้อขึ้นมาก
มั่วชิงเฉินรู้สึกดีใจ เช่นนี้แล้วก็ประหยัดเวลาได้ไม่น้อยทีเดียว เวลาสามเดือนตนต้องใช้ไหมเกล็ดน้ำแข็งได้คล่องแคล่วยิ่งขึ้น
ทำเรื่องทั้งหมดนี้เสร็จ มั่วชิงเฉินถึงมีเวลาดูเทียบโอสถของโอสถทิพย์ตระกูลหวังอีกรอบ ใช้เวลาชั่วครู่อ่านเทียบโอสถจนจบ แล้วถอนใจด้วยความโล่งอก
โอสถทิพย์อัศจรรย์เช่นนี้ เดิมทีนางคิดว่าการหลอมคงต้องยากลำบากยิ่งนัก ทว่าหลังจากดูแล้วถึงพบว่ามือประทับการหลอมที่บันทึกอยู่ในเทียบโอสถสำหรับตนแล้วไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย คิดว่าฤทธิ์ของโอสถนี้ต้องมาจากวัตถุดิบและกระสายยาทั้งหมด
พูดถึงวัตถุดิบ วัตถุดิบหลักในการหลอมที่พูดถึงในเทียบโอสถคือหญ้าทิพย์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่าสาหร่ายใจน้ำแข็ง นอกจากสิ่งนี้ที่นางไม่เคยได้ยินมาก่อน ส่วนประกอบอย่างอื่นบางอย่างมีอยู่ในสวนสมุนไพรพกพาของนาง ยังมีอีกที่แม้จะไม่มี กลับสามารถใช้หินวิญญาณซื้อได้
มั่วชิงเฉินรื้อเปลือกหอยที่ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณให้ออกมา ใช้จิตตระหนักกวาดทีหนึ่ง ข้างในเก็บหญ้าทิพย์ที่ลักษณะเหมือนสาหร่ายสองสามต้นตามคาด สีกระจ่างเหมือนน้ำแข็ง เป็นสาหร่ายใจน้ำแข็งที่พูดถึงในเทียบโอสถอย่างไม่ต้องสงสัย
นายหยิบสาหร่ายออกมาต้นหนึ่งคิดจะปลูกในสวนสมุนไพรพกพาของตน กลับพบว่าสาหร่ายใจน้ำแข็งเมื่อออกห่างจากเปลือกหอย ปราณวิญญาณที่ผสานอยู่ในนั้นก็กระจายหายไปไม่น้อยทันที นางตกใจจนรีบเก็บกลับไป
มั่วชิงเฉินยิ้ม ไม่อาจปลูกได้ก็ช่างเถอะ อย่างไรเสียน้ำตาของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณตนมีแค่สองหยด ต่อให้ปลูกสาหร่ายใจน้ำแข็งให้เต็มสวนก็ไร้ประโยชน์
นึกถึงตรงนี้นางก็นึกถึงคำพูดสุดท้ายของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณขึ้นอีก น้ำตาสองหยดนั้นหากใส่ไว้ในตาตนเอง ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปตนก็สามารถมองแดนมายาทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
บอกตรงๆ แรงดึงดูดนี้จะว่าไม่ใหญ่ก็ไม่ได้ หากมั่วชิงเฉินเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหรือระดับก่อกำเนิด เกรงว่าต้องเลือกข้อนี้อย่างไม่ลังเลไม่แต่น้อย
ผู้บำเพ็ญเพียรหลังจากถึงระดับก่อแก่นปราณแล้ว โดยเฉพาะระดับก่อกำเนิด โอสถที่สามารถเพิ่มตบะได้แทบจะไม่มี พวกเขานอกจากกักตนเวลาส่วนใหญ่ล้วนใช้ไปกับการผจญภัยไปทั่ว เพื่อค้นหาของวิเศษแห่งฟ้าดินที่สามารถช่วยในการเพิ่มตบะได้ และการมีตาที่มองแดนมายาใดๆ อย่างทะลุปรุโปร่งคู่หนึ่ง นั่นช่างมีประโยชน์เหลือเกิน ต้องรู้ว่าการที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงค้นหาของวิเศษแห่งฟ้าดิน ไม่มีสักที่ที่ไม่อันตรายถึงที่สุด
ทว่าสำหรับมั่วชิงเฉินในยามนี้แล้ว นี่ก็เลือกยากแล้ว
ลังเลอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ตัดสินใจ ใช้น้ำตาเป็นกระสายยาหลอมโอสถดีกว่า
ตาที่สามารถมองแดนมายาใดๆ อย่างทะลุปรุโปร่งแม้ดี ทว่าด้วยตบะของนางในยามนี้ มีสถานที่มากมายไม่ใช่ที่ที่นางสามารถย่างกรายเข้าไปได้ ยิ่งกว่านั้นตนไม่ขาดแคลนโอสถระดับสร้างรากฐาน เดิมทีก็ไม่จำเป็นต้องไปสถานที่เสี่ยงตายเช่นนั้นอยู่แล้ว
ส่วนเมื่อยามที่นางจำเป็นต้องย่างกรายเข้าไปในสถานที่เหล่านั้น อย่างน้อยต้องมีตบะของระดับก่อแก่นปราณ ทว่าด้วยพรสวรรค์สี่รากวิญญาณไม่เอาไหนของตน หากไม่มีโอสถตระกูลหวังคอยช่วยเหลือ ต่อให้ตนกินโอสถชำระโลกีย์ที่จำเป็นในการก่อแก่นปราณให้เต็มที่ เกรงว่าความหวังก็ยังริบหรี่อยู่ดี
นางไม่ลืมหรอกนะว่าตนเพียงแค่สร้างรากฐาน ก็ใช้โอสถสร้างรากฐานไปตั้งเจ็ดเม็ดน่ะ
ที่จริงนี่ก็คือปมที่แก้ไม่ออก เมื่อยามมั่วชิงเฉินต้องการตาที่มองแดนมายาใดๆ อย่างทะลุปรุโปร่ง อย่างน้อยนางต้องมีตบะระดับก่อแก่นปราณ ทว่าไม่มีน้ำตาเป็นกระสายหลอมโอสถ นางก็ยากจะเลื่อนขั้นสู่ระดับก่อแก่นปราณอีก
บางเวลา ชีวิตก็คิดไม่ตกจำใจเช่นนี้แหละ จำเป็นต้องให้เจ้าทำการเลือกแล้วเลือกอีก
ได้เสียได้เสีย มีเสียถึงมีได้ อยากได้ทั้งปลาและอุ้งตีนหมีพร้อมกัน เรื่องสมบูรณ์แบบเช่นนี้ยากที่จะมีได้ ยิ่งกว่านั้นไม่ว่าเลือกทางไหน ไม่ว่าสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรคนไหนก็เป็นประโยชน์อย่างล้นหลามแล้ว ตนยังมีสิ่งใดให้กลุ้มใจอีกล่ะ
คนคนหนึ่งสามารถทำทุกวิถีทางเพื่อเพิ่มตบะ ทว่าหากละโมบเกินไป เช่นนั้นก็จะสูญเสียความหมายที่แท้จริงแห่งเต๋าไปแล้ว
เมื่อตระหนักถึงสิ่งนี้ ใจเต๋าของมั่วชิงเฉินจึงยิ่งหนักแน่นขึ้นอีกนิดอย่างไม่รู้ตัว
มั่วชิงเฉินเก็บม้วนคัมภีร์หยกและเปลือกหอยเข้ากำไลเก็บวัตถุทั้งหมด ลุกขึ้นสะบัดชายกระโปรงทีหนึ่งแล้วเดินออกจากกระต๊อบ อากาศที่หนาวเย็นทำให้สมองของนางปลอดโปร่งยิ่งขึ้น
“แม่นางมั่ว เจ้าออกมาแล้ว?” คุณชายสี่กำลังรำดาบอยู่หน้ากระต๊อบ ออกเสียงทักทาย
มั่วชิงเฉินพยักหน้าแผ่วเบา “พักผ่อนไปสามวัน ในที่สุดก็ฟื้นฟูกำลังแล้ว คุณชายสี่กลับพลังกายใจดียิ่งนัก”
คุณชายสี่ยิ้มละมุน “ข้าเป็นผู้ชาย ย่อมไม่บอบบางเหมือนเช่นแม่นาง ทว่าน้องหกและน้องสิบเจ็ดเกรงว่ายังต้องพักผ่อนอีกวันสองวัน ครั้งนี้พวกเขาสูญเสียกำลังไปไม่น้อย”
มั่วชิงเฉินเม้มปาก เหตุใดยามที่คุณชายสี่คนนี้พูดอะไร ต้องแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างชายหญิงตลอดเวลา จะได้แสดงถึงการวางตัวในการทะนุถนอมอิสตรีอย่างนั้นแหละ
เขากลับไม่รู้ ขอเพียงนึกถึงว่ามั่วหนิงโหรวเป็นอนุของเขา มั่วชิงเฉินก็แทบจะอยากบุกขึ้นไปตบหน้าเขาสักสองฉาดแรงๆ
“แม่นางมั่ว พวกเราต่างไม่ได้แตะอาหารในโลกฆราวาสมาหลายวัน ไม่สู้วันนี้ให้ข้าเข้าครัว เจ้าลองชิมรสชาติพิเศษของทางทะเลขนาบใจเราเป็นเช่นไร?” คุณชายสี่พูดจาอ่อนโยนนิ่มนวล
มั่วชิงเฉินเกือบสะดุดล้ม คุณชายสี่นี่เป็นบ้าอะไรขึ้นมา ต่อให้ตนกินโอสถเลี่ยงธัญพืชจนจะอาเจียนแล้ว ก็ไม่อยากนั่งกินข้าวพร้อมคนคนนี้ รีบว่า “ไม่ลำบากคุณชายสี่แล้ว ข้าแค่ออกมาทักทาย การผจญภัยครั้งนี้ใจเกิดตระหนัก ช่วงนี้เกรงว่าจะต้องกักตนบำเพ็ญเพียรให้มาก”
พูดพลางเพิกเฉยต่อสีหน้าผิดหวังของคุณชายสี่ รีบกลับเข้ากระต๊อบไปแล้ว
กลับถึงข้างในมั่วชิงเฉินค่อยโล่งอก เริ่มบำเพ็ญเพียรด้วยใจสงบ บำเพ็ญเพียรเสร็จจึงหยิบไหมเกล็ดน้ำแข็งออกมาหลอมและศึกษา อยู่ในกระต๊อบติดต่อกันสิบกว่าวันถึงออกมาสูดอากาศอีก
ครั้งนี้คุณชายทั้งสามคนตระกูลหวังอยู่กันหมด ทำให้มั่วชิงเฉินตั้งตัวไม่ทันคือ ท่าทีที่คุณชายสี่มีต่อนางยิ่งเอาอกเอาใจยิ่งขึ้น คุณชายสิบเจ็ดยิ่งส่งเสริมทั้งสองคนอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย กลับเป็นคุณชายหกที่เดิมทีความสัมพันธ์ไม่เลวกับนางหลังจากมอบถุงหอมให้นางเป็นการส่วนตัวแล้วมีท่าทีที่มีต่อนางก็เย็นชาขึ้นมา ลักษณะเหมือนแลกเปลี่ยนกันเสร็จแล้วก็ไม่เกี่ยวข้องกันอีก
ที่จริงสำหรับมั่วชิงเฉินแล้ว ต่อให้คุณชายหกที่มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวแสดงออกเช่นนี้ นางก็ไม่แยแส เพราะอย่างไรเสียระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรคิดจะสร้างมิตรภาพที่แท้จริงเป็นเรื่องยากยิ่ง การแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมไม่เยิ่นเย้อกลับสบายใจดี
กลับเป็นท่าทางเช่นคุณชายสี่ที่ทำให้นางอึดอัดใจ นึกถึงคนคนนี้ยึดร่างกายของพี่สิบสี่แล้วแท้ๆ ยังตั้งใจทำเป็นเจ้าชู้เอาอกเอาใจนาง นางก็เหมือนกินแมลงวันเข้าไป
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว มั่วชิงเฉินจึงหลบอยู่ในกระต๊อบปิดประตูไม่ออกมาให้รู้แล้วรู้รอดไป เวลาทั้งหมดที่มีล้วนนำมาใช้ในการบำเพ็ญเพียรและหลอมไหมเกล็ดน้ำแข็ง ทำให้นางควบคุมไหมเกล็ดน้ำแข็งได้ยิ่งช่ำชองแล้ว
ที่มั่วชิงเฉินไม่รู้ก็คือ คุณชายหกที่จู่ๆ ท่าทีก็เย็นชาต่อนางสายตากลับกวาดผ่านประตูกระต๊อบที่ปิดสนิทของนางอย่างไม่ตั้งใจ ในตาฉายแววกังวลสายหนึ่ง
แล้วก็ถึงเดือนสามฤดูใบไม้ผลิอากาศอบอุ่นดอกไม้ผลิบานอย่างรวดเร็ว ในที่สุดพวกมั่วชิงเฉินสี่คนก็จากไปได้แล้ว