ด้านในและด้านนอกจวนถ้ำมีการตกแต่งที่เหมือนกัน ทั้งหรูหราและตระการตา
บริเวณพื้นมีหยกหอมส่งกลิ่นหอมรวยรินวางอยู่ โต๊ะเก้าอี้ล้วนทำจากหยกขาวเคลือบเลี่ยมทองลายริ้วสีเหลืองอ่อน เป็นของมีค่าราคาสูงที่คนทั่วไปไม่อาจจับต้องได้
แจกันกระเบื้องขาวทรงกลมแต่งแต้มด้วยลายดอกม่านถัวหลัวมรกตวางประดับอยู่บนหน้าต่าง
มั่วชิงเฉินและหลัวอวี้เฉิงสบตากันคราหนึ่ง แม้ไม่พูดอะไรแต่กลับเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย
สถานที่แห่งนี้ เห็นชัดได้ว่าเป็นที่เดียวกับภาพมายาในหุบเขาไร้วิญญาณเมื่อครั้งเดินเข้าจวนถ้ำฝูเฟิงเจินจวินคราแรก เพียงแต่ไม่มีแจกันลายดอกม่านถัวหลัวมรกตวางกลางหน้าต่าง
แน่นอนว่า รวมถึงสตรีหน้าตางดงามผู้นั้นด้วย
ทั้งสี่คนเดินผ่านห้องโถงใหญ่ ก็พบกับห้องอีกหลายห้อง ตามนิสัยของผู้บำเพ็ญหญิงส่วนมาก มักชอบแยกประเภทว่าห้องไหนคือห้องรับรองแขก ห้องไหนคือห้องฝึกวรยุทธิ์ ห้องไหนคือห้องสำหรับอสูรวิญญาณ
ทั้งสี่คนเดินเข้าไปในห้องรับรองแขก การตกแต่งภายในยังคงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเช่นเคย สะท้อนให้เห็นว่าเวินหนิงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้หนึ่งที่ชอบเพลิดเพลินไปกับการใช้ชีวิตเพียงใด ไม่ว่าอยู่ที่ไหน เผชิญกับเรื่องอะไร ก็ล้วนยอมรับไปกับมัน
มั่วชิงเฉินเริ่มเข้าใจนางในปีนั้นเพียงแค่สงสัยอะไรบางอย่างในสายตาของสามี จึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าต้องมาเทียนหยวนให้ได้
ลักษณะนิสัยล้วนเป็นตัวกำหนดชะตากรรม หาใช่เพราะเหตุผลอื่น
ของใช้ทั้งหมดที่อยู่ด้านในห้องถึงแม้มีราคาสูง แต่กลับเป็นของใช้ในชีวิตประจำวันทั้งสิ้น ไม่มีสมบัติวิเศษ ไม่มีเคล็ดวิชาใดๆ ผู้อาวุโสที่น่านับถือเช่นนี้ ย่อมไม่มีผู้ใดคิดแตะต้องของใช้เหล่านี้ เมื่อตรวจสอบรอบหนึ่งแล้วไม่เจออะไรจึงเดินออกมา
มั่วชิงเฉินเดินไปถึงหน้าประตู ทันใดนั้นหยุดชะงักลง หันกลับมามองอีกรอบหนึ่ง
“ทำไมรึ” หลัวอวี้เฉิงถาม
มั่วชิงเฉินยังคงใช้ความคิดทั้งหมดพิจารณาสิ่งของที่วางประดับอยู่ในห้อง ก่อนตอบว่า “ไม่รู้เพราะเหตุใด การตกแต่งห้องแห่งนี้ ทำให้ข้ารู้สึกอึดอัด สหายหลัว เจ้าไม่รู้สึกเลยหรือ”
หลัวอวี้เฉิงรู้ดีว่ามั่วชิงเฉินไม่ยอมให้ตัวเองรู้สึกค้างคาใจ จึงพิจารณาดูอีกรอบหนึ่ง ก่อนส่ายหน้าตอบกลับไป “ไม่มีอะไรนี่”
มั่วชิงเฉินถอนหายใจ “เช่นนั้นข้าคงคิดมากไปเอง”
เมื่อหันหลังเดินกลับ ทันใดมั่วหร่านอีพูดขึ้น “เอ๊ะ น้องสิบหก ฟังเจ้าพูดแล้ว ข้าเองก็รู้สึกแปลกๆ เช่นกัน”
“จริงรึ พี่สิบท่านก็รู้สึกใช่หรือไม่”
สายตาของมั่วหร่านอีสั่นไหวเล็กน้อย ทันใดนั้นเกิดประกายวาบหนึ่ง “ข้ารู้แล้วว่าสิ่งไหนดูผิดปกติ!”
“สิ่งใด” ทั้งสามถามขึ้นพร้อมกัน
มั่วหร่านอียื่นมือชี้นิ้วออกไป “พวกเจ้าดู ห้องส่วนตัวของสตรีที่ดูหรูหราโอ่อ่าเช่นนี้ กลับไม่มีโต๊ะเครื่องแป้ง ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย น้องสิบหก เจ้าว่าใช่หรือไม่”
มั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ไม่ผิด ข้าถึงบอกว่ามันแปลกอย่างไรเล่า มีห้องของสตรีที่ไหนไม่มีคันฉ่อง”
“ห้องข้าไม่มี” มั่วเฟยเยียนตอบอย่างไร้อารมณ์
มั่วชิงเฉิน…
เมื่อมองหลัวอวี้เฉิงคราหนึ่ง เห็นเขากำลังใช้ความคิดพิจารณาเช่นนี้ จึงถามออกไปโดยไม่ตั้งตัว “สหายหลัว ท่านกำลังคิดอะไรอยู่อีกแล้วใช่หรือไม่”
หลัวอวี้เฉิงเงยหน้า มุมปากโค้งขึ้น “ข้ากำลังคิดว่า บางครั้งใช้ความคิดของสตรีแก้ไขปัญหา นับเป็นเรื่องที่ไม่เลวเหมือนกัน”
มั่วชิงเฉินหันหลังเงียบๆ สาวเท้าก้าวใหญ่เดินเข้าไป
มั่วหร่านอีมองหลัวอวี้เฉิงด้วยสายตารังเกียจ “เช่นนั้นเจ้าก็เป็นสตรีให้รู้แล้วรู้รอดไปเสีย”
หลัวอวี้เฉิงหัวเราะหึๆ อย่างไม่ใส่ใจ เดินออกมาจากข้างกายนาง
เสียงกรีดร้องตกใจของมั่วชิงเฉินพลันดังออกมา
ทั้งสามใบหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ทันใดนั้นรีบวิ่งเข้าไป
“ชิงเฉินเกิดอะไรขึ้น” หลัวอวี้เฉิงเข้ามาหานางอย่างรวดเร็วรีบถามด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป
มั่วหร่านอีชะงักงัน
รู้จักกันมาหลายปี คนผู้นี้ในสายตาของนาง มักประดับด้วยรอยยิ้มมุมปากเสมอ แต่ดวงตากลับนิ่งสงบ ราวกับไม่มีอะไรทำให้เขาหวั่นไหวได้
เสียงกรีดร้องของน้องสิบหก คาดไม่ถึงว่ามีผลต่อความรู้สึกของเขาเพียงนี้เลย
หรือว่า เขาสนใจน้องสิบหกจริงๆ
หึ น้องสิบหกและลั่วหยางเจินจวินล้วนเป็นคู่บำเพ็ญที่ใครก็ต่างอิจฉา เขายังคิดเข้าไปแทรกกลางอีกรึ
แท้จริงแล้วเป็นคนฉลาดแต่จิตใจต่ำทราม เรื่องผิดศีลธรรมเช่นนี้เป็นสิ่งน่ารังเกียดที่สุด!
มั่วหร่านอีตัดสินใจหันไปหารือกับมั่วเฟยเยียนชั่วครู่ เป็นตายร้ายดีอย่างไรภายใต้การจับจ้องของพวกนาง จะไม่ให้เจ้าเด็กนี่ล่อลวงน้องสิบหกเด็ดขาด
ประตูห้องฝึกวรยุทธ์เปิดออกแล้ว มั่วชิงเฉินยืนอยู่ตรงทางเข้าประตูไม่ขยับไปไหน ก่อนยื่นมือชี้นิ้วออกไป “พวกเจ้าดู…”
เมื่อหันไปมอง ทั้งสามคนก็เห็นภาพตรงหน้าอย่างชัดเจน
ห้องฝึกวรยุทธิ์ล้วนมีสีขาวปกติ มีเบาะผูถวน[1]สีดำกระจัดกระจายไม่กี่ใบ สามารมองภาพโดยรวมได้กว้างขึ้น
บริเวณมุมห้อง มีสตรีสวมชุดคลุมยาวนอนเอนอยู่นางหนึ่ง
เสื้อคลุมสีดำขอบแดง ผมสยายยาวราวกับสาหร่ายทะเล ปิดบังใบหน้า ยาวคดเคี้ยวไปถึงเอว
เห็นเพียงเท่านี้ก็ทำให้คนจำนวนหนึ่งหยุดหายใจเพราะความงดงามอันเย้ายวนและน่าหลงใหล
“เป็น…เวินหนิง…” มั่วชิงเฉินตอบพลางมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นที่ลำคอ ก่อนทนไม่ไหวหันไปหาหลัวอวี้เฉิง “สหายหลัว เจ้าว่า…นางตายแล้วหรือยัง”
หลัวอวี้เฉิงมองกลับมา พยักหน้าเล็กน้อย “น่าจะตายแล้ว”
มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว ยื่นมือตอบว่า “เช่นนั้น เหตุใดร่างกายของนางในตอนนี้ถึงไม่เน่าสลาย”
หลัวอวี้เฉิงมองมั่วชิงเฉินตอบด้วยรอยยิ้มบาง “เจ้าไม่ตัดสินใจลองเข้าไปดูรึ”
มั่วชิงเฉินตอบด้วยสีหน้าหวาดกลัว “ไม่ปิดบังเจ้า พริบตาที่ข้าเห็นเวินหนิง ในใจมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ ถึงกับไม่กล้าหันไปมอง เป็นเช่นนี้ช่างไม่เหมาะสมกับการเป็นผู้บำเพ็ญเพียรก่อกำเนิดขั้นกลางเลย ดูแล้วจิตของข้ายังต้องขัดเกลามากกว่านี้”
หลัวอวี้เฉิงเลิกคิ้ว “ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไปหรอก เพราะระดับพลังที่สูงของเจ้า ทำให้รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่รวดเร็วยิ่งขึ้น”
มั่วหร่านอีเบ้ปาก เจ้าเด็กนี่ อยากให้น้องสิบหกไขว้เขวหรืออย่างไร
อย่าแม้แต่จะคิด!
จึงเปิดปากพูดว่า “พวกเจ้าก็พูดไปเรื่อย ไม่มีใครไปข้าขึ้นไปดูเอง”
พูดจบก็สาวเท้าก้าวใหญ่เดินตรงไปยังมุมห้องอย่างรวดเร็ว ก่อนย่อตัวลง ปัดผมยาวที่ปิดคลุมใบหน้าของเวินหนิงออกด้านข้าง
ทั้งสามคนเห็นมั่วหร่านอีลำตัวแข็งค้าง จากนั้นกระโดดถอยหลังในทันใด ก่อนใช้มือทั้งสองปิดหน้าไว้แล้วกรีดร้องออกมา
มั่วชิงเฉินเวลานี้ถึงได้เห็นใบหน้าของเวินหนิงชัดเจน
ใบหน้าของนาง ทั่วทุกพื้นผิวเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นไขว้ยั้วเยี้ยไปมาประมาณร้อยกว่าเส้น เส้นรอยบากทำให้ใบหน้าโฉมสคราญแตกสลายไม่มีชิ้นดี ราวกับทำลายงานศิลปะอันวิจิตรด้วยวิธีการที่โหดร้ายทารุณที่สุด มั่วชิงเฉินที่เป็นถึงผู้บำเพ็ญก่อกำเนิดเมื่อเห็นดังนั้นก็รู้สึกหนาวเหน็บถึงเบื้องลึกในจิตใจ จนไม่กล้าหันไปมอง
จึงไม่แปลกใจหากมั่วหร่านอีที่อยู่ระดับก่อแก่นปราณถึงมีท่าทางลืมตัวเช่นนี้
มั่วชิงเฉินหายใจเข้าลึกๆ ข่มอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
ก่อนมือข้างหนึ่งวางบนไหล่ของนาง “สหายมั่ว ให้อวี้เฉิงไปดูเถอะ”
หลัวอวี้เฉิงเดินไปยังด้านหน้า ย่อตัวลงพิจารณาใบหน้าของเวินหนิงอย่างละเอียด
ในใจของมั่วชิงเฉินสงบขึ้น พลางขมวดคิ้ว
ทว่าระดับเซียนของนางกว่าจะถึงตอนนี้ พบเจอกับอุปสรรคมาไม่น้อย เหตุใดเพียงเห็นใบหน้าเสียโฉมเพียงครั้งเดียวกลับต้องถอยหลังได้เล่า นี่คือใบหน้าผู้อาวุโสของตัวเองแท้ๆ ก็ไม่ควรมีท่าทีขี้ขลาดเช่นนี้
มั่วชิงเฉินคิดได้ดังนั้น จึงเม้มปากแน่นเดินเข้าไปย่อตัวลง บังคับตัวเองให้มองใบหน้าเวินหนิงให้ได้
บรรยากาศเงียบสงบกว่าเดิม
มั่วชิงเฉินยื่นมืออกไป ใช้นิ้วจิ้มลงใบหน้าที่เต็มไปด้วยรูพรุน
คาดไม่ถึงว่าเมื่อได้สัมผัส ผิวหนังจะไม่มีความรู้สึกเย็นยะเยือกหรือแข็งกระด้างแต่อย่างใด กลับยืดหยุ่นและอุ่นราวกับตอนมีชีวิต
มั่วชิงเฉินกดลงไปคราหนึ่ง ก่อนหันไปมองทั้งสามคน “เป็นวิชาลับ”
ในตอนนี้มั่วหร่านอีถึงกล้าหันมามอง “ใบหน้าของนาง ถูกวิชาลับทำให้กลายเป็นเช่นนี้รึ หรือว่าเป็นภาพลวงตา”
“ไม่ใช่ภาพลวงตา” หลัวอวี้เฉิงตอบอย่างมั่นใจ
มั่วชิงเฉินกลับไม่พูดอะไร สายตาหลุบลงต่ำ มองสิ่งของที่อยู่ในมือของเวินหนิง
[1] 蒲团 เบาะสานทรงกลม ใช้สำหรับนั่งทำสมาธิหรือรองเข่า