ในหัวมีความงุนงงปรากฏขึ้นชั่วครู่ จากนั้นถึงได้ตื่นขึ้นมา คิดจะใช้มือยันพื้นลุกขึ้นนั่งตามจิตสำนึก จึงรู้สึกว่ามือถูกกุมเอาไว้อยู่
มั่วชิงเฉินพลันรู้สึกตกตะลึง แล้วรีบร้อนมองไป ถึงได้รู้สึกว่าหลัวอวี้เฉิงนอนอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก ยื่นมือออกมาคว้าแขนของนางเอาไว้แน่น
“สหายหลัว…” ความเย็นเยียบที่ปลายนิ้วของอีกฝ่ายทำให้มั่วชิงเฉินรู้สึกหวาดกลัว จนแทบจะดิ้นรนคลานเข้าไป
“สหายหลัว…”
ยามเอ่ยเรียกขึ้นอีกครั้ง เห็นหลัวอวี้เฉิงหลับตาทั้งสองข้างสนิท จึงรีบร้อนเอามือไปอังที่ปลายจมูกของเขา
ไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายชีวิตใดๆ
มั่วชิงเฉินมือสั่น ทั้งรู้สึกไม่ยินยอม ยื่นสองมือออกไปพลิกตัวเขามา
ครานี้พลันตกตะลึง ทรวงอกของหลัวอวี้เฉิงมีทารกปราณตัวน้อยๆ นอนหมอบอยู่
หน้าตาของทารกคนนี้เหมือนกับหลัวอวี้เฉิงอย่างไรอย่างนั้น กำลังหลับตาฝันหวานอยู่
แม้ว่าหน้าตาของคนตัวน้อยจะเคร่งเครียด ดูเหมือนจะทุกข์ใจเป็นอย่างมาก มุมปากเป่าฟองออกมา ประกอบกับท่าทางเช่นนี้ ทำให้ผู้คนอดที่จะรู้สึกหัวร่อมิได้
ขณะที่กำลังเป็นห่วง มั่วชิงเฉินจึงไม่ได้ตรวจสอบลมหายใจของหลัวอวี้เฉิงในตอนแรก คิดว่าจบชีวิตแล้ว ในใจจึงเกิดความรู้สึกเจ็บปวดอยู่เจ็ดแปดส่วน ยามนี้เห็นจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาออกจากร่าง ถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาแรงๆ
ไม่ว่าจะอย่างไร หมดสติไปเป็นเวลานานเช่นนี้ หากหลัวอวี้เฉิงจบชีวิตลงไปจริงๆ กายเนื้อของเขาจะยังปลอดภัยอยู่ได้อย่างไร จิตวิญญาณดั้งเดิมยังอาลัยไม่ยอมจากไปได้อย่างไรล่ะ
เมื่อตรวจสอบร่างกายของหลัวอวี้เฉิงอย่างละเอียด ก็รู้สึกว่าบาดแผลที่สำคัญที่สุดของเขาคือแผ่นหลัง คิดดูแล้วน่าจะเป็นฝ่ามือที่ราชาปีศาจลั่วเฟิงประทานให้
หลังจากนั้นเล่า
มั่วชิงเฉินครุ่นคิด ดูเหมือนว่าจะไม่มีความทรงจำใดๆ
เหตุการณ์พลิกผันไปมาเช่นนี้ ร่างกายคล้ายจะลืมเลือนความเจ็บปวดไปอย่างไรอย่างนั้น นางกลับไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ อุ้มทารกปราณของหลัวอวี้เฉิงขึ้นมา เขย่าไปมา “สหายหลัว ฟื้นสิ…”
ทารกน้อยถูกเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอน แต่กลับหลับลึกมาก
หรือว่าปราณแท้จะได้รับบาดเจ็บ ทารกปราณจึงไม่มีแรงตื่นขึ้นมา
มั่วชิงเฉินครุ่นคิดเล็กน้อย ก็ลุกขึ้นนั่งสมาธิ โคจรพลังปราณบังคับให้จิตวิญญาณดั้งเดิมของตนเองออกมาภายนอก
เมื่อทารกปราณออกมาภายนอก ก็หยิบน้ำเต้าที่คอออกมาทันที จับทารกปราณของหลัวอวี้เฉิงเอาไว้ เอาปากน้ำเต้ายัดไปที่ปากของเขา แล้วกรอกสุราลงไป
แม้ว่าทารกปราณของหลัวอวี้เฉิงจะหลับใหลไม่ได้สติ แต่กลับยังคงดื่มสุราได้ เมื่อดื่มเข้าไปก็มีสีหน้าดีขึ้นเรื่อยๆ และยังเรอออกมาอีกด้วย
จากนั้นท่ามกลางสายตาตกตะลึงของมั่วชิงเฉิน ก็แย่งน้ำเต้ามา แล้วดื่มอึกๆ
มั่วชิงเฉินกลัวว่าเขาจะดื่มมากไปจนมีผลร้ายไม่ได้ประโยชน์ จึงรีบยื่นมือไปแย่งมา
ทารกปราณของหลัวอวี้เฉิงกระโจนเข้าไปแย่งตามจิตสำนึกทั้งๆ ที่ตาทั้งสองข้างปิดอยู่ ทารกปราณของมั่วชิงเฉินกอดน้ำเต้าหลบ ทารกปราณของหลัวอวี้เฉิงพลันล้มลงกับพื้น
“สหายหลัว!” มั่วชิงเฉินใจเต้น ไม่สนใจน้ำเต้าอีก รีบประคองทารกที่ล้มขึ้นมา แต่กลับประสานสายตากับแววตาดำขลับ
ทารกปราณน้อยสองตนถลึงตามองกันชั่วครู่ มั่วชิงเฉินถึงได้เอ่ยขึ้นอย่างดีอกดีใจ “สหายหลัว ในที่สุดเจ้าก็ตื่นแล้ว!”
หลัวอวี้เฉิงก้มหน้าลงมองร่างของตัวเอง น้ำเสียงแหบพร่าจนน่าตกตะลึง “สะ…สหายมั่ว นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ข้าไม่รู้ ข้าตื่นขึ้นมา เจ้าก็มีสภาพเช่นนี้” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างเหม่อลอย
หลัวอวี้เฉิงชี้ไปที่มั่วชิงเฉิน “แล้วเจ้าล่ะ”
มั่วชิงเฉินถึงได้นึกถึงสภาพที่ทารกปราณของตนออกมาจากร่าง ไม่ว่ากายเนื้อจะได้รับบาดเจ็บแค่ไหน สภาวะเช่นนี้กลับอันตรายเป็นอย่างมาก จึงรีบดึงจิตวิญญาณดั้งเดิมกลับคืนร่าง แล้วอุ้มทารกปราณของหลัวอวี้เฉิงขึ้นมาให้อยู่ในระดับเดียวกับสายตาของตน
“เมื่อครู่ตะโกนอย่างไรเจ้าก็ไม่ตื่น ข้าจึงคิดว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมเช่นเดียวกัน อาจจะเชื่อมโยงกันได้…” ไม่อยากเปิดเผยความลับของน้ำเต้า มั่วชิงเฉินจึงเอ่ยเหตุผลหลอกลวงออกไป
“เช่นนั้นหรือ…” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยราวกับจะหัวเราะแต่ก็ไม่ได้หัวเราะ และไม่ได้เปิดโปง ชี้ไปที่กายเนื้อของตัวเอง “วางข้าลง ข้าเองก็จะกลับไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
มั่วชิงเฉินยึดตามคำพูดของเขา วางเขาไว้ด้านข้างกายเนื้อ จิตวิญญาณดั้งเดิมของหลัวอวี้เฉิงบินไปที่หว่างคิ้วของกายเนื้อของตน แต่กลับชนเข้ากับผนังไร้รูปร่าง ถูกดีดกลบมา ชั่วครู่ก็ล้มลงไปนั่งกับพื้น
หลัวอวี้เฉิงที่ฉลาดเป็นกรด ในยามนั้นพลันรู้สึกตกตะลึง
มั่วชิงเฉินใจเต้นระรัว ไม่ใช่เพราะว่าดื่มสุราในน้ำเต้าเข้าไป กายเนื้อจึงรับพลังของทารกปราณไม่ไหวหรอกกระมัง
เมื่อขบคิดอีกครากลับรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ตอนนั้นที่นางกลับไปไม่ได้ ก็เพราะว่าวิญญาณบำเพ็ญจนอยู่ในระดับอาจารย์ผี แข็งแกร่งกว่ากายเนื้อมาก ถึงได้กลับไปไม่ได้ หลัวอวี้เฉิงแค่ดื่มสุราบ่มเพาะจิตวิญญาณดั้งเดิมไปหลายอึกเท่านั้น ไหนเลยจะเป็นเช่นนี้ได้
“อาจจะเป็นเพราะว่า ข้าบาดเจ็บหนักเกินไป” ฟังไม่ออกว่าหลัวอวี้เฉิงกำลังโศกเศร้าหรือดีใจ
หากผู้บำเพ็ญเพียรฝึกฝนจนมาถึงระดับก่อกำเนิดแล้วเกิดเพลี้ยงพล้ำขึ้นมา ทารกปราณจะสามารถหนีออกจากร่างได้ในพริบตา คิดดูแล้วร่างกายของเขาคงอยู่ในสภาวะใกล้ตายแล้ว ทารกปราณถึงได้ออกมาตามจิตสำนึก และเป็นเพราะไม่ได้ตายจริงๆ จึงไม่ได้จากไปไหนไกล
มั่วชิงเฉินมองกายเนื้อของหลัวอวี้เฉิงแล้วขมวดคิ้ว “สหายหลัว หลังจากที่ข้าหมดสติไปเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หลัวอวี้เฉิงอธิบายเรื่องหลังจากนั้นให้ฟังหนึ่งรอบ
มั่วชิงเฉินพลันถอนหายใจ “มิน่าเล่า”
เอ่ยไปพลางเหลือบมองเอวของตนแวบหนึ่ง อาภรณ์ตรงจุดนั้นขาดไม่มีชิ้นดี แม้ว่าบาดแผลจะดีขึ้นแล้ว แต่กลับน่ากลัวมาก โชคดีที่หมดสติไปหลายปี ถึงได้ไม่รู้เจ็บปวดจนถึงกระดูก
เมื่อช้อนสายตาขึ้นมอง ด้านบนก็เต็มไปด้วยม่านหมอก มองไม่เห็นปลายทาง ใต้หน้าผาเรียกได้ว่าไม่มีต้นไม้ขึ้นสักต้น มีเพียงพื้นดินที่ปกคลุมไปด้วยพื้นหญ้าหนาๆ ไม่รู้ว่าพวกนางตกลงมาจากที่สูงขนาดนั้นแล้วโชคดีมีชีวิตรอดได้อย่างไร
ทว่าอาการบาดเจ็บของพวกนางโดยเฉพาะบาดแผลของหลัวอวี้เฉิงนั้นหนักหนาจนเกือบจะเสียชีวิตอยู่แล้ว ใช้เวลาฟื้นฟูอย่างช้าๆ ห้าสิบปี ถึงได้ตื่นขึ้นมาในวันนี้
มั่วชิงเฉินตรวจสอบร่างกายของหลัวอวี้เฉิงอย่างละเอียดอีกครั้ง แล้วเอ่ยกับทารกปราณของเขาว่า “สหายหลัว ร่างกายของเจ้าได้รับบาดเจ็บหนักมาก แทบจะไม่มีลมหายใจเหลืออยู่แล้ว ยามนี้ก็ไม่มีโอสถวิญญาณ ข้าว่า หากจะรักษาให้ไวที่สุด ก็คือต้องดื่มโลหิตของข้า”
หลัวอวี้เฉิงรู้ว่าไม่มีทางเลือกอื่น จึงไม่ได้ต่อต้าน แค่เอ่ยว่า “ยามนี้ที่นี่มีแค่พวกเราสองคน ทารกปราณออกจากร่างไม่นับว่าอันตรายนัก ร่างกายของเจ้ามีบาดแผลไม่น้อย พักผ่อนก่อนสักระยะแล้วค่อยว่ากันเถิด ไม่เช่นนั้นคนหนึ่งเกือบตายคนหนึ่งพิการ เพียงลมพัดพวกเราก็ได้แต่ต้องรอความตายเท่านั้น”
มั่วชิงเฉินครุ่นคิดแล้วก็ถูก จึงพยักหน้า
ตั้งแต่นั้นมา ทุกวันมั่วชิงเฉินก็จะป้อนโลหิตสดๆ ให้หลัวอวี้เฉิง ค่อยๆ ฟื้นฟูร่างกายของเขาอย่างช้าๆ
ทั้งสองไม่กล้าเดินไปเดินมาตามอำเภอใจใต้หน้าผา กลัวว่าจะล่อศัตรูเข้ามา จึงเอาแต่อยู่ที่เดิม หากไม่มีอะไรทำก็จะพูดคุยกัน ดื่มสุราแก้กลุ้ม
ครึ่งเดือนผ่านไป ในที่สุสดร่างของมั่วชิงเฉินก็ฟื้นฟูกลับมาพอสมควรแล้ว รู้สึกพลังกายเต็มเปี่ยม จึงตัดสินใจรักษาอาการบาดเจ็บให้หลัวอวี้เฉิง
เมื่อตรวจสอบใหม่อีกครั้ง ก็รู้สึกว่าการบำรุงด้วยโลหิตสดๆ จำนวนน้อยในหลายวันที่ผ่านมา แทบจะไม่มีโอกาสทำให้กายเนื้อของหลัวอวี้เฉิงฟื้นฟูเลย มั่วชิงเฉินพลันถอนหายใจออกมาเงียบๆ
พอครุ่นคิดอีกที ก็ตัดสินใจเอาโลหิตจากหัวใจมาช่วยให้เขาฟื้นฟูได้เร็วขึ้น จะได้ออกไปตามหาศิษย์พี่และคนอื่นๆ ได้ไวขึ้น
เมื่อเห็นมั่วชิงเฉินนั่งขัดสมาธิ ฉับพลันนั้นก็โบกมือไปที่หัวใจ หลัวอวี้เฉิงก็ตกตะลึง “หยุดมือ!”
มั่วชิงเฉินมองมาอย่างไม่เข้าใจ “สหายหลัว มีอะไรหรือ”
หลัวอวี้เฉิงมีสีหน้าดูไม่ได้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “สหายมั่ว เจ้าจะทำอะไร”
มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าหลัวอวี้เฉิงมีปฏิกิริยาแปลกๆ จึงเอ่ยว่า “แน่นอนว่าต้องเอาโลหิตจากหัวใจมารักษาบาดแผลให้เจ้า ไม่เช่นนั้นหากเป็นเช่นนี้ ต่อให้เจ้าสูบเลือดข้าจนแห้ง ก็ไม่ดีขึ้นหรอก”
หลัวอวี้เฉิงหน้าเปลี่ยนสีไปหลายครั้ง แล้วเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า “ไม่ได้”
มั่วชิงเฉินไม่เคยคิดเลยว่า หลัวอวี้เฉิงที่ปกติแล้วดูเย็นชา ทารกปราณกลับมีสีหน้ามากมายเช่นนี้ จึงเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดถึงไม่ได้ พวกเราอยู่ใต้หน้าผามาหลายสิบปีแล้ว หากไม่ใช้โลหิตจากหัวใจ ก็ไม่รู้ว่าจะได้ออกไปตอนไหน แยกกับศิษย์พี่และคนอื่นมานานขนาดนี้ ศิษย์พี่จะต้องร้อนใจแน่…”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ศิษย์พี่’ หลัวอวี้เฉิงก็มีสีหน้าเย็นชา เอ่ยด้วยท่าทางยืนหยัด “อย่างไรก็ไม่ได้!”
มั่วชิงเฉินเองก็ปวดหัว “สหายหลัว หากเจ้าเป็นห่วงข้า กลัวว่าข้าเสียโลหิตจากหัวใจแล้วปราณแท้จะได้รับบาดเจ็บจึงปฏิเสธ นั่นผิดแล้ว ยามนี้ทารกปราณของเจ้าออกจากร่าง อ่อนแออย่างมาก หากศัตรูเข้ามา จากที่ข้าเข้าใจเจ้า จะต้องพยายามปกป้องข้าแน่ ผลที่ร้ายที่สุดก็คือ พวกเราจะต้องตายไปด้วยกันที่นี่ เปรียบเทียบกับสิ่งนี้ เสียโลหิตจากหัวใจไปนิดหน่อยจะเป็นอะไรไป เชื่อสิว่าหากเป็นเจ้า เจ้าก็จะทำเช่นนี้”
หลัวอวี้เฉิงพลันเงียบขรึมลง
มั่วชิงเฉินเม้มปาก “สหายหลัว สรุปแล้วหากเจ้าไม่มีเหตุผลให้ข้า ข้าก็จะไม่ฟังเจ้าอีก” เอ่ยมาถึงตรงนี้ก็หยักมุมปาก “สภาพของเจ้าในยามนี้คิดจะห้ามข้าก็ทำไม่ได้หรอก”
เงียบขรึมจนทำให้รู้สึกอึดอัดอีกระลอก ถึงได้ยินเสียงแผ่วเบาของหลัวอวี้เฉิงเอื้อนเอ่ย “สหายมั่ว เพื่อช่วยข้า เจ้าถึงกับไม่เสียดายโลหิตจากหัวใจ และไม่สนใจชีวิต เช่นนั้น…เช่นนั้น…”
มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าหลัวอวี้เฉิงในยามนี้แปลกประหลาดมาก ดวงตาเปล่งประกายคู่นั้นจึงทอดมองไป
หลัวอวี้เฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยคำพูดในประโยคสุดท้ายออกมา “เช่นนั้น เจ้ายอมเป็นภรรยาของอวี้เฉิงหรือไม่”
มั่วชิงเฉินพลันตกตะลึง แล้วเอ่ยออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง “ชิงเฉินเป็นคู่บำเพ็ญกับศิษย์พี่ตั้งนานแล้ว จะเป็นได้อย่างไร…”
ความรู้สึกของเขา นางรู้ตั้งแต่วันแต่งงานแล้ว นางรู้ว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษผู้ชาญฉลาด มองทุกอย่างอย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่เคยเสียมารยาทมาก่อน
วันเวลาในการฝึกบำเพ็ญเพียรยังอีกยาวไกล นางออกเรือนหรือไม่ออกเรือน ก็จะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงความเป็นสหายระหว่างกัน นั่นเป็นเรื่องจริงที่รู้อยู่ตั้งนานแล้ว
จึงหลบเลี่ยงอย่างสุดความสามารถ และจะได้ไม่เป็นการดูหมิ่นนิสัยรักอิสระของเขาด้วย นางจึงไม่อยากทำเช่นนั้น
แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะถามเช่นนี้ออกมา!
สิ่งแรกที่มั่วชิงเฉินนึกออกก็คือ ความเปลี่ยนแปลงก่อนหน้านี้ของหลัวอวี้เฉิง ในตัวของเขา จะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่!
หลัวอวี้เฉิงฉีกยิ้มบางๆ “สหายมั่ว อวี้เฉิงถามว่าเจ้าเต็มใจหรือไม่ ไม่ใช่ได้หรือไม่ ขอแค่เจ้าเต็มใจ ข้าจะดื่มโลหิตจากหัวใจเจ้า จากนี้เป็นต้นไปฐานะของพวกเราก็จะไม่เปลี่ยนแปลง อวี้เฉิงไม่สนใจ”
คำพูดนี้ของเขาพูดออกมาได้อย่างราบเรียบดุจสายธาร ดูเหมือนผู้ชมที่เยือกเย็น
มั่วชิงเฉินหันหน้าหนี มองทอดสายตาไป น้ำเสียงแผ่วเบาแต่มั่นคง “อวี้เฉิงน่าจะรู้ดี ข้าทั้งไม่เต็มใจ และทำไม่ได้”
ไม่ยอมหลอกลวงทั้งสองคน
ไม่อาจทำร้ายคนอื่นและตนเองได้
นางไม่คิดว่าตนเองมีความผิด เขาก็ไม่มี หากพยายามหาความผิด ความผิดนั้นก็อาจจะเป็นโชคชะตา
หากความรักนี้เป็นดั่งหนี้สินเป็นดั่งโจรกรรม มนุษย์มีวัฏสงสาร เซียนก็มีการไปหาประสบการณ์ในโลกมนุษย์ ก็ให้นางชดใช้ในยามที่กายใจบริสุทธิ์ในภพหน้าเถิด
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น อวี้เฉิงก็จะไม่ดื่มโลหิตจากหัวใจสหายมั่ว ไม่ได้ ไม่ได้ใช่ไม่ยอม” หลัวอวี้เฉิงมองมั่วชิงเฉินนิ่ง “ชิงเฉิน เช่นนั้นได้หรือไม่”
มั่วชิงเฉินคาดเดาอยู่ลึกๆ ในใจ แต่กลับไม่ได้บีบเอาคำตอบ จึงพยักหน้าตกลง
ไม่ต้องใช้โลหิตจากหัวใจ แค่ดื่มโลหิตสดๆ ในร่าง รักษาไปเกือบสองปี จิตวิญญาณดั้งเดิมของหลัวอวี้เฉิงถึงได้กลับเข้าร่างได้
ร่างกายของทั้งสองคนฟื้นฟูมาพอสมควรแล้ว จึงบินขึ้นมาบนหน้าผา