ทั้งสองคนต่างชะงักอีกทีหนึ่ง แล้วหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน
อีกาไฟที่ยืนอยู่บนบ่ามั่วชิงเฉินร้องแว้ดๆ ว่า “พวกเจ้าต่างไม่พูด ข้าจะพูดล่ะนะ ข้าจะดื่มสุรา ฮึ เมื่อครู่พวกเจ้าดื่มสุราข้ามองอยู่ พวกเจ้านั่งอยู่ข้ายืนอยู่ ทารุณกรรมกันนี่”
มั่วชิงเฉินคิ้วกระตุก “อู๋เย่ว์ เจ้าอยากดื่มสุราข้าไม่ได้รั้งเจ้าไว้เสียหน่อย”
อีกาไฟสีหน้าน้อยใจว่า “คนเขาพอเห็นคุณชายสิบเจ็ดคนนั้น ก็กินไม่ลง ดื่มสุราหากอาเจียนใส่หน้าเขา ไม่ใช่สร้างปัญหาให้เจ้าหรือไร?”
มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปากทีหนึ่ง ไม่กล้าให้มันพูดต่อไป จึงหันหน้าบอกคุณชายหลี่ว่า “คุณชายหลี่ ไม่สู้ไปนั่งที่ข้านั่นสักครู่เถอะ”
“ได้” ตากลมโตของคุณชายหลี่มองดูอีกาไฟแล้วมองดูมั่วชิงเฉินอีก ทันใดนั้นก็รู้สึกเห็นใจมั่วชิงเฉินขึ้นมา
สองคนมาถึงโถงรับรองแขกที่ที่พักของมั่วชิงเฉิน สาวใช้ฝาแฝดยกผลไม้ทิพย์ชาทิพย์ขึ้นมาแล้วก็ถอยลงไปอย่างรู้กาลเทศะ
มั่วชิงเฉินเหล่อีกาไฟ เจ้านั่นกอบขวดสุราดื่มอย่างออกรสชาติ ดื่มหมดหนึ่งขวด สะอึกออกมา ยืนขึ้นมาเดินสองก้าวพูดกับมั่วชิงเฉินว่า “เอา…เอามาอีกขวดหนึ่ง!”
เพิ่งสิ้นเสียงก็ล้มตึงลงบนพื้นนอนกรนคร่อกๆ ขึ้นมา
คุณชายหลี่ชะงัก มั่วชิงเฉินรู้สึกคุ้นเคยจนเห็นเป็นเรื่องปกติแล้วยื่นมือเก็บอีกาไฟเข้าถุงอสูรวิญญาณ เอ่ยอย่างจำใจว่า “เจ้าไม่ต้องสนใจมัน มันก็ขวดเดียวล้มเช่นนี้แหละ”
“แม่นางมั่ว อีกาไฟของเจ้านี่พิเศษดี ถูกแล้ว เด็กผู้หญิงเมื่อครู่คนนั้นเหตุใดข้าเห็นแล้วเหมือนพี่สิบสี่ของเจ้ามาก เอ๊ะ หรือว่า…” คุณชายหลี่ถาม
มั่วชิงเฉินพยักหน้า “คุณชายหลี่ เจ้าคิดไว้ไม่ผิด พี่สิบสี่ข้าก็อยู่ตระกูลหวัง”
“นางออกเรือนมาตระกูลหวังเช่นนั้นหรือ? มิน่าแม่นางมั่วถึงมาทะเลขนาบใจ” คุณชายหลี่ฉงน
มั่วชิงเฉินลังเลครู่หนึ่ง ตัดสินใจพูดความจริงออกมา “ไม่ใช่นะ ข้าและพี่สิบสี่ พลัดพรากจากกันยี่สิบกว่าปีแล้ว จนกระทั่งมาถึงทะเลขนาบใจ ถึงรู้ข่าวคราวของนางโดยบังเอิญ…”
คุณชายหลี่ขมวดคิ้วแผ่วเบา “แม่นางมั่ว พวกเจ้ามิใช่ลูกหลานตระกูลมั่วหรอกหรือ เหตุใดอยู่ดีๆถึงพลัดพรากจากกันได้ล่ะ?”
“คุณชายหลี่ ยังจำปีนั้นที่พวกเราเจอกันโดยบังเอิญได้ใช่หรือไม่ ในปีนั้นเอง ตระกูลมั่วเราประสบเคราะห์กรรม คนที่หนีออกมาได้มีเพียงสามสี่คนเท่านั้น ข้าเดินทางไปหลายที่ไปถึงพรรคเหยากวง ครั้งนี้ออกมาฝึกตนมาถึงทะเลขนาบใจโดยบังเอิญ ถึงรู้ว่าพี่สิบสี่ยังมีชีวิตอยู่” มั่วชิงเฉินพูดด้วยสีหน้าสงบ
คุณชายหลี่กลับดูออกถึงความโศกเศร้าสายหนึ่งในสีหน้าสงบนิ่งของนาง จึงถอนใจว่า “ไม่คิดจริงๆ ว่าแม่นางมั่วประสบเรื่องมามากมายถึงเพียงนี้ เช่นนั้นเจ้ามาตระกูลหวังก็เพื่อพบพี่สิบสี่เช่นนั้นหรือ เหตุใดบัดนี้ยังไม่ได้พบกันอีกล่ะ?”
“คุณชายหลี่นึกว่าพี่สิบสี่ข้าแต่งงานกับคุณชายสี่หรือ หึๆ นางเป็นเพียงแค่หนึ่งในอนุที่มีมากมายของเขาเท่านั้น อย่างไรเสียชิงเฉินก็ต้องสืบสถานการณ์และความคิดของพี่สิบสี่ในยามนี้ให้แน่ชัด ถึงวางแผนอย่างอื่นได้” มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างขมขื่น
“อนุ?” ในตาคุณชายหลี่ฉายแววโกรธแวบหนึ่ง
มั่วชิงเฉินเห็นแล้วจะมากจะน้อยในใจก็รู้สึกปลอบประโลมบ้าง จึงว่า “คุณชายหลี่ อย่าพูดถึงพวกนี้เลย ชิงเฉินเพียงแต่อยากรบกวนเจ้าอย่าเปิดเผยความสัมพันธ์ของข้าและพี่สิบสี่ออกมาเร็วเกินไป”
คุณชายหลี่รีบรับปาก
“คุณชายหลี่ ข้ายังจำได้ว่าปีนั้นเจ้ายังเป็นบัณฑิตธรรมดาคนหนึ่ง หลังจากนั้นก้าวเข้าสู่โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรได้เช่นไรล่ะ?” มั่วชิงเฉินถาม
พูดถึงเรื่องนี้ คุณชายหลี่หางตายอดคิ้วต่างย้อมไปด้วยรอยยิ้ม “พูดไปก็บังเอิญ ในวันที่เราเจอกันวันนั้นนั่นแหละ เมื่อข้ากลับถึงบ้านก็มีบัณฑิตเฒ่าคนหนึ่งรอข้าอยู่แล้ว เอ่อ เขาก็คืออาจารย์ในบัดนี้ของเข้า พวกเราศิษย์สายปราชญ์มีน้อยมาก หลายปีมานี้ เวลาส่วนใหญ่ข้าล้วนตามอาจารย์เดินทางไปทั่ว”
“หึๆ พวกเจ้านักบำเพ็ญเพียรปราชญ์เน้นอ่านคัมภีร์หมื่นม้วน เดินทางหมื่นลี้ใช่หรือไม่?” มั่วชิงเฉินหัวเราะว่า
คุณชายหลี่พยักหน้า “ถูกต้อง ใช่แล้ว แม่นางมั่ว ข้าชื่อหลี่จื้อหย่วน
เมื่อบอกชื่อแล้ว นี่ก็คือมีใจคบหากันแล้ว มั่วชิงเฉินแม้คบหาคนน้อย กลับสามารถมองออกว่าเขาเป็นคนจิตใจบริสุทธิ์ คบหากับคนเช่นนี้ได้ก็คลายกังวลไปมาก
“จากชื่อของคุณชายหลี่สามารถดูออกว่าคุณชายหลี่ต้องเกิดในตระกูลนักปราชญ์ แหล่งการศึกษาจากครอบครัว มิน่าที่สวนปี้ซิ่วถึงสามารถแต่งกลอนที่สละสลวยงดงามเพียงนั้นออกมาได้” มั่วชิงเฉินมีใจชม
ได้ยินมั่วชิงเฉินสรรเสริญเช่นนี้ หลี่จื้อหย่วนหัวเราะร่าว่า “แม่นางมั่วชมเกินไปแล้ว กลอนบทนั้นข้าไม่ได้เป็นคนแต่งหรอกนะ”
เห็นมั่วชิงเฉินแปลกใจ หลี่จื้อหย่วนก็ไม่เล่นตัว “กลอนบทนั้นสืบทอดมาจากปรมาจารย์ท่านหนึ่งในสำนักของเรา พูดไปแล้วปรมาจารย์ท่านนั้นของเราความสามารถล้นเหลือจริงๆ ทิ้งผลงานสะเทือนหล้าไว้ไม่น้อย ศิษย์ในสำนักยกให้เป็นสมบัติล้ำค่า หนึ่งในเรื่องที่จื้อหย่วนเสียดายในชีวิต ก็คือไม่มีโอกาสได้ชื่นชมท่วงท่าสง่างามของท่านปรมาจารย์ท่านนั้น”
ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง!
มั่วชิงเฉินพูดไม่ถูกว่าผิดหวังหรือว่าปีติ เพียงแต่รู้สึกโล่งใจ ปากก็ว่า “ท่านปรมาจารย์ท่านนั้นไม่อยู่ในสำนักแล้วหรือ?”
หลี่จื้อหย่วนพยักหน้า “อืม ท่านปรมาจารย์คือนักบำเพ็ญเพียรเมื่อหมื่นปีก่อน ต่อมาสาบสูญไร้ร่องรอย ทว่าในสำนักเราคิดเสมอมาว่า คนเช่นปรมาจารย์นั้นไม่มีทางดับสูญหรอก”
มั่วชิงเฉินยิ้ม โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรเกือบหนึ่งแสนปีมานี้ล้วนไม่มีคนบินขึ้นเป็นเซียน พวกเขากลับเชื่อมั่นว่าปรมาจารย์ของตนไม่มีทางดับสูญ ดูแล้วคนบ้านเดียวกันที่ทะลุมิติมาท่านนั้นต้องมีที่ที่โดดเด่นเกินคนเป็นแน่
ทว่าที่พวกเขาพูดอาจไม่ผิด เกือบหนึ่งแสนปีไม่มีปรากฏการณ์ฟ้าบินขึ้นสวรรค์ใดๆ เป็นไปได้มากที่นักบำเพ็ญเพียรที่ถึงระดับแยกวิญญาณเข้าสู่โลกวิญญาณแล้วอย่างไม่ให้สุ่มให้เสียง ไม่แน่ปรมาจารย์ของพวกเขาก็คือหนึ่งในนั้น
สองคนคุยกันตามสบายอีกครู่หนึ่ง หลี่จื้อหย่วนจึงลุกขึ้นเอ่ยลา
มั่วชิงเฉินคิดๆ แล้ว ยังคงไม่กล้าเอากิ่งท้อที่คุณชายสี่มอบให้ออกมาศึกษา จึงใช้จิตตระหนักเรียกผึ้งวิญญาณเลือดมรกตทีหนึ่ง ทว่าสารที่ส่งมา กลับคือพวกมันกำลังบ่มน้ำผึ้งอยู่ ออกมาไม่ได้
มั่วชิงเฉินเหลอหลา จากนั้นก็โยนพวกนี้ทิ้งสงบใจบำเพ็ญเพียรขึ้นมา
ผ่านไปอีกสองวัน ในที่สุดผึ้งวิญญาณเลือดมรกตในถุงอสูรวิญญาณก็มีความเคลื่อนไหว มั่วชิงเฉินรีบปล่อยพวกมันออกมา
ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตไม่กี่ตัวบินร่ายรำอยู่บนฟ้า มั่วชิงเฉินเห็นได้อย่างชัดเจนว่าท้องของพวกมันใหญ่ขึ้นมาก
รับรู้ได้ถึงความร้อนรนของผึ้งวิญญาณเลือดมรกต มั่วชิงเฉินหยิบชามแก้วเล็กออกมาใบหนึ่ง ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตรีบบินเข้าไป ปล่อยน้ำผึ้งสีชมพูอ่อนไหลออกจากถุงใบหนึ่งในส่วนท้อง
มั่วชิงเฉินอดทอดถอนใจไม่ได้ ผึ้งวิญญาณและผึ้งธรรมดาสุดท้ายก็ไม่เหมือนกัน
รอผึ้งวิญญาณเลือดมรกตไม่กี่ตัวท้องแบนลง พวกมันเริ่มไม่ค่อยมีชีวิตชีวา มั่วชิงเฉินรีบป้อนยาลูกกลอนไขกระดูกเขียวให้พวกมัน แล้วเก็บกลับถุงอสูรวิญญาณ
มองดูน้ำผึ้งวิญญาณสีชมพูที่กล้อมแกล้มท่วมก้นชามแก้ว มั่วชิงเฉินใช้ช้อนเล็กควักขึ้นเล็กน้อยชิมดู รู้สึกทันทีว่าหวานชื่นใจเต็มปาก พลังวิญญาณที่อ่อนโยนสายหนึ่งค่อยๆเกิดขึ้นไหลไปที่ตันเถียน ที่ที่ไหลผ่านสบายยิ่งนัก
ไม่รู้กิ่งท้อนั้นเสียบไว้ในสวนสมุนไพรพกพา จะรอดไหมนะ? มั่วชิงเฉินอดคิดไม่ได้ เสียดายนางกลัวกิ่งท้อมีสิ่งใดเคลือบแฝง ไม่กล้าศึกษายามนี้
ใช้ขวดกระเบื้องขาวกะทัดรัดเก็บน้ำผึ้งวิญญาณขึ้น มั่วชิงเฉินทนไม่ไหวอีกแล้ว ตัดสินใจจะไปเยี่ยมมั่วหนิงโหรวแล้ว
ก่อนอื่นส่งยันต์ส่งสารให้คุณชายสี่ คุณชายสี่ตอบกลับทันที คำพูดไม่สนิทสนมจนเกินเลย อีกทั้งยังพูดว่าเพราะว่าไปเยี่ยมสมาชิกในครอบครัวที่เป็นหญิง เขาไม่สะดวกไปด้วย ขอโปรดอภัยต่างๆ
ผิดปกติย่อมชั่วร้าย มั่วชิงเฉินกลับไม่วางใจเสียแล้ว คิดๆ หากตนเข้าแผนของเขา เช่นนั้นสิบมีแปดเก้าปัญหาต้องอยู่ที่กิ่งท้อที่เขาให้มา ทว่ากิ่งท้อถูกนางเก็บเข้าถุงเก็บวัตถุแล้ว มีเพียงยามที่เพิ่งรับมาได้กลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้
กลิ่นดอกไม้ไม่มีปัญหา สุราอาหารก็ไม่มีปัญหา หากคุณชายสี่คิดจะใช้แผนกับตน เช่นนั้น…
เช่นนั้นเป็นไปได้มากว่ากลิ่นหอมดอกไม้และสุราอาหารบางอย่างรวมเข้าด้วยกัน ถึงทำให้เกิดพิษที่แฝงอยู่ ส่วนพิษนี้ไม่คิดเลยว่ายามนั้นจะไม่ได้แสดงออกมา เช่นนี้ก็เป็นไปได้มากว่าต้องการกระสายยา หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ กระสายยาต้องกุมอยู่ในมือคุณชายสี่แน่นอน!
มั่วชิงเฉินคิดถึงตรงนี้ จึงไม่รีบไป นั่งขัดสมาธิลงมาจดจ่อกับจิต สัมผัสว่าในร่างกายตนมีสิ่งผิดปกติหรือไม่ไปทีละเล็กทีละน้อย
ตามคาด ในที่ที่ไม่ห่างจากหัวใจของนาง มีกลุ่มหมอกสีชมพูอ่อนขนาดเท่าเม็ดข้าวสารกลุ่มหนึ่ง หากไม่เพราะนางตรวจสอบอย่างละเอียด ต้องไม่สังเกตเห็นเป็นแน่
มั่วชิงเฉินแอบว่าคุณชายสีฝีมือยอดเยี่ยม แบ่งเพลิงแก้วใจกระจ่างออกพุ่มหนึ่งห่อหุ้มกลุ่มหมอกไว้ หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ในชั่วพริบตาที่พิษกำเริบนางสามารถรับรู้ความรู้สึกหลังจากที่ถูกแผน และเมื่อยามที่พิษกระจายออกข้างนอก แตะถูกเพลิงแก้วใจกระจ่างก็จะถูกเผามอด ถึงเวลา ตนอาจใช้แผนซ้อนแผน
ทำสิ่งเหล่านี้จนเสร็จ มั่วชิงเฉินถึงพาสาวใช้ฝาแฝดไปสวนปี้ซิ่ว
เด็กน้อยเยี่ยนเยี่ยนยืนอยู่หน้าประตู มองตาปริบๆ เห็นมั่วชิงเฉินเดินมา ใบหน้าเล็กๆ ฉายประกายขึ้นทันที วิ่งเข้ามาว่า “ท่านน้า ในที่สุดท่านก็มาแล้ว ท่านแม่ไม่ค่อยสบาย ไม่อาจมาต้อนรับด้วยตนเองได้ เยี่ยนเยี่ยนพาท่านไปหาท่านแม่ดีหรือไม่?”
“ดี” มั่วชิงเฉินปาดปลายจมูกเยี่ยนเยี่ยน ภายใต้การนำของสาวใช้ตามเยี่ยนเยี่ยนเดินเข้าไปลานบ้านด้านหลัง
“ท่านน้า ท่านแม่พำนักอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ!” เยี่ยนเยี่ยนยื่นมือเนียนๆ ชี้ว่า
มั่วชิงเฉินยกตามองไป เห็นเพียงข้างทะเลสาบมีตึกสองชั้นหลังหนึ่ง ยังนับว่าประณีต ป้ายชื่อประตูเขียนว่า “ซีสุ่ยเสี่ยวจู้” สี่คำ
เยี่ยนเยี่ยนจูงมือมั่วชิงเฉินเดินไปที่ตึกเล็กทีละก้าวๆ มั่วชิงเฉินรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย
“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านน้าที่สวยมากที่ข้าบอกท่านคนนั้นมาเยี่ยมท่านแล้ว” ยังไม่ก้าวเข้าประตู เยี่ยนเยี่ยนก็ตะโกนเสียงดัง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความร่าเริง
มั่วชิงเฉินรู้สึกอบอุ่นในใจ ไม่ว่าเช่นไร พี่สิบสี่มีบุตรสาวที่น่ารักร่าเริงเช่นนี้เป็นเพื่อน ก็นับว่าเป็นการปลอบประโลมบ้าง
ก้าวเข้าประตู มั่วชิงเฉินก็นิ่งอยู่ตรงนั้น เห็นเพียงหญิงสาวซูบผอมคนหนึ่งนั่งพิงอยู่ข้างเตียง ชุดสีชมพูงดงามตระการตากลับขับจนนางยิ่งดูอ่อนแอ แป้งที่ทาบนใบหน้ากลับปิดความซูบซีดไม่มิด
เห็นพวกมั่วชิงเฉินเข้ามา หญิงสาวรีบพยายามลุกขึ้น ยังไม่ทันอ้าปากก็ไอก่อนเสียงหนึ่งจากนั้นถึงว่า “รบกวนแม่นางต้องมาเยี่ยม บ่าวกลับไม่อาจออกไปต้อนรับ ต้องขออภัยจริงๆ…”
เยี่ยนเยี่ยนรีบวิ่งเข้าไปพยุงหญิงสาว
มั่วชิงเฉินแสบเบ้าตา มั่วหนิงโหรวแม้นิสัยอ่อนแอกลับไม่ถึงกับเป็นโรค สมัยวัยเยาว์เป็นเด็กที่เต็มเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาเหมือนเยี่ยนเยี่ยน เหตุใดบัดนี้กำลังเป็นช่วงอายุที่ดีงาม กลับกลายมามีสภาพเช่นนี้ กระทั่งมีความรู้สึกของไม้ใกล้ฝั่ง ทำให้คนเห็นแล้วต้องตกใจ
นางรีบเดินเข้าไปพยุงแขนของมั่วหนิงโหรวไว้ ริมฝีปากเผยอแล้วเผยออีก ถึงเอ่ยอย่างลำเค็ญว่า “พี่สาวรีบนั่ง”
จากนั้นแอบส่งเสียงทางจิตว่า “พี่สาว น้องมีเรื่องจะพูดกับเจ้า ให้เยี่ยนเยี่ยนหลบก่อนได้หรือไม่?”
มั่วชิงเฉินชะงัก เพ่งพิศมั่วชิงเฉินอย่างรอบคอบ เห็นสีหน้านางสงบ ถึงหันหน้าว่า “เยี่ยนเยี่ยน เจ้าออกไปเล่นครู่หนึ่งก่อน พวกเจ้าดูแลคุณหนูให้ดี”
“เจ้าค่ะ!” สาวใช้สองสามคนที่นำทางย่อเข่าคำนับ
เยี่ยนเยี่ยนแม้ไม่เต็มใจ ยังคงตามสาวใช้ออกไปอย่างว่าง่าย สาวใช้ฝาแฝดที่มั่วชิงเฉินพามาก็ถอยออกไปพร้อมกัน
“ไม่ทราบแม่นางมีเรื่องอันใด?” มั่วหนิงโหรวพูดเพียงครู่เดียวเช่นนี้ ก็หอบแฮ่กๆ แล้ว
มั่วชิงเฉินมองนางตาไม่กะพริบ เนิ่นนานถึงเปิดปากอย่างลำบากว่า “พี่สิบสี่”