วันเวลาต่อจากนั้นสงบราบเรียบ ไม่มีคุณชายสี่และคุณชายสิบเจ็ดกระโดดออกมาเกะกะลูกตา มั่วชิงเฉินเข้าพักที่ซีสุ่ยเสี่ยวจู้ในสวนปี้ซิ่ว ปรับสภาพร่างกายของมั่วหนิงโหรวอย่างตั้งใจ
ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตไม่กี่ตัวนั้นไปเก็บน้ำหวานที่ต้นท้อเฒ่านั่นทุกวัน น้ำผึ้งที่บ่มออกมาเติมขวดกระเบื้องขาวกะทัดรัดขนาดยาวหนึ่งนิ้วกว่าเต็มพอดี มั่วชิงเฉินจึงผสมน้ำผึ้งวิญญาณพวกนี้ลงในน้ำแกงฝูหลิงเม็ดบัวแล้วส่งให้มั่วหนิงโหรวกินทุกวัน
ใบหน้าของมั่วหนิงโหรวเห็นได้ว่ามีเลือดฝาดขึ้น แม้ดูแล้วยังคงอ่อนแอยิ่งนัก ปราณที่มืดมนพวกนั้นกลับไม่เห็นแล้ว
ในระหว่างนี้ มั่วชิงเฉินแอบเสียบกิ่งท้อที่คุณชายสี่มอบให้กิ่งนั้นไว้ที่สวนสมุนไพรพกพา ไม่คิดว่ากิ่งท้อนี้งอกงามขึ้นมาได้จริงๆ ภายใต้การหล่อเลี้ยงของสุราทิพย์จากน้ำเต้าเซียน วันหนึ่งก็เท่ากับเวลาหนึ่งปี กิ่งท้องอกเป็นต้นกล้าอย่างรวดเร็ว ผ่านไปอีกไม่กี่วัน ก็มีดอกท้อสวยงามผลิบานออกมาแล้ว
แต่ละวัน สำหรับต้นท้อในสวนสมุนไพรแล้วก็คือการหมุนเวียนสี่ฤดูหนึ่งครั้ง ดอกผลิบานร่วงโรยแล้วบานอีก กลับไม่เคยงอกผลมาเลย
มั่วชิงเฉินหักกิ่งท้อลงมาทดสอบ พบว่าต้นท้อนี้แม้มีอายุเพียงไม่กี่ปี ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตกลับชอบเก็บน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ นางเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว ที่ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตพิถีพิถันไม่ใช่อายุของดอกไม้หากแต่เป็นชนิด
หรือว่าต้นท้อเฒ่าในสวนปี้ซิ่วต้นนั้นอาจจะเป็นต่างสายพันธุ์ที่คนไม่รู้กระมัง มั่วชิงเฉินแอบคิด
ในเมื่อกิ่งท้องอกงามในสวนสมุนไพรพกพาแล้ว อีกทั้งนางก็พำนักอยู่ในสวนปี้ซิ่วสะดวกให้ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตเก็บน้ำหวานจากเกสรดอกไม้อีก มั่วชิงเฉินที่ไม่ยอมให้เกิดเรื่องแทรกขึ้นมาอีกจึงล้มเลิกแผนการที่มีต่อต้นท้อเฒ่า
ในวันนี้ หลังจากมั่วหนิงโหรวกินน้ำแกงฝูหลิงเม็ดบัวเสร็จแล้วนอนลงมั่วชิงเฉินจึงเดินเล่นไปถึงข้างทะเลสาบ สาวใช้ฝาแฝดตามอยู่ข้างหลังเงียบๆ
มั่วชิงเฉินหันหน้ามองพี่น้องฝาแฝดปราดหนึ่ง ในใจถอนใจเสียงหนึ่ง
ระยะนี้นางพบว่าพี่น้องฝาแฝดคู่นี้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
ไห่เอี้ยนเดิมทีเพียงแต่สุขุมนิ่งเงียบ ทว่าบัดนี้ดวงตาว่างเปล่าไร้แวว คนทั้งคนถูกปกคลุมอยู่ในบรรยากาศที่ไร้ชีวิตชีวา ก็เหมือนกับหุ่นเชิดที่หายใจได้ตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนไห่อิงที่ร่าเริงสดใสก็กลายมาพูดน้อย มักเหม่อมองไห่เอี้ยนอย่างรู้สึกผิด มองไปมองไปในดวงตาที่สวยงามก็เต็มไปด้วยน้ำตา แล้วกลัวตนเห็นแล้วอารมณ์ไม่ดีจึงรีบเช็ดทิ้งอีก
มั่วชิงเฉินเห็นการเปลี่ยนแปลงพวกนี้กับตา กลับจนแล้วจนรอดก็ไม่ได้พูดอะไร
เป็นไปไม่ได้ที่นางจะทำให้ทุกคนมีชีวิตที่มีความสุขดีงามได้ ต่อให้เป็นมั่วหนิงโหรว หนทางต่อจากนี้ก็ต้องเดินเอง สามารถใช้ชีวิตที่อยากได้หรือไม่ สุดท้ายยังคงต้องพึ่งตัวนางเอง
ส่วนสาวใช้ฝาแฝดคู่นี้ แม้จะพูดว่ามีวาสนาต่อกันที่ได้ปรนนิบัติตน ทว่าการทำร้ายที่ได้รับไม่ได้เกิดจากตนเอง พูดอย่างแล้งน้ำใจหน่อย ตนไม่มีหน้าที่ต้องช่วยพวกนาง
ที่จริงที่มั่วชิงเฉินไม่ได้พูดอะไรมากมาตลอด ยังมีเหตุผลสำคัญอีกข้อหนึ่ง ก็คือสาวใช้ฝาแฝดคู่นี้หลังจากเกิดเรื่องนั้นแล้วก็จมปลักอยู่ในความทุกข์ตลอดเวลา ไม่ได้พยายามเพื่อชีวิตในอนาคตเลย
มั่วชิงเฉินไม่ใช่คนดีไม่เลือกหน้า มีคำพูดประโยคหนึ่งนางชอบมากมาตลอด ‘เป็นคนต้องช่วยตนเองก่อนคนอื่นถึงช่วยเจ้าได้’
น้ำในทะเลสาบกระจ่างใส ห่านขาวฝูงหนึ่งร้องแคว่กๆ ว่ายผ่านไป กระเพื่อมให้เกิดวงคลื่นสีมรกต
มั่วชิงเฉินก้มตัวเก็บก้อนหินเล็กขึ้นมาก้อนหนึ่ง ขว้างไปกลางทะเลสาบทำให้ก้อนหินกระดอนบนผิวน้ำอย่างสวยงาม จากนั้นพูดเองเออเองว่า “ประสบการณ์ที่โชคร้ายช่วงหนึ่งก็เหมือนก้อนหินเล็กก้อนนี้ สุดท้ายจะจมลงก้นทะเลสาบ ระลอกคลื่นที่ถูกทำให้เกิดขึ้นก็จะค่อยๆ กลับคืนความสงบ ลักษณะที่คนอื่นเห็นยังคงเป็นผิวทะเลสาบที่สงบสวยงาม น้ำในทะเลสาบนี้กระทั่งเพราะรองรับของที่มากขึ้น ทำให้สีสวยยิ่งขึ้น ยิ่งโดดเด่นขึ้น”
พูดจบมั่วชิงเฉินเดินหน้าต่อ ทันใดนั้นตรงหน้าปรากฏยันต์ส่งสารขึ้นใบหนึ่ง นางยื่นมือรับมา ที่แท้หลี่จื้อหย่วนศิษย์อาจารย์จะจากไปแล้ว จึงมาบอกลานาง
ยามนี้ยันต์ส่งสารอีกใบหนึ่งปลิวมา มั่วชิงเฉินกวาดจิตตระหนักดู หัวหน้าตระกูลหวังเป็นคนส่งมา เช่นเดียวกันเพราะเรื่องที่หลี่จื้อหย่วนศิษย์อาจารย์จะจากไป เขาจัดงานเลี้ยงส่งที่แหล่งพำนัก จึงเชื้อเชิญนางเข้าร่วม
“ข้าจะออกไปคราหนึ่ง พวกเจ้าสองคนไม่ต้องตามแล้ว หากฮูหยินสี่ตื่นแล้ว ก็บอกแทนข้าที” มั่วชิงเฉินกำชับเสร็จก็ก้าวขึ้นเรือเล็กเหินเวหาไป
เรือเล็กนี้นางหาเจอในท้องปลาประหลาดเช่นกัน ถูกนางโยนเข้าไปในถุงเก็บวัตถุมาตลอด ต่อมาเห็นอาวุธเวทเหินหาวของนักบำเพ็ญเพียรในทะเลขนาบใจส่วนใหญ่เป็นลักษณะของเรือเล็ก เมื่อว่างแล้วมั่วชิงเฉินจึงเอามันออกมาหลอมสักหน่อย
เมื่อหลอมดูถึงพบว่าเรือเล็กเป็นอาวุธเวทที่ไม่เลวชิ้นหนึ่งอย่างนึกไม่ถึง ทั้งสามารถเหินหาวอีกทั้งยังข้ามทะเลได้ แม้ความเร็วจะสู้ชามใหญ่ไม่ได้ กลับดีกว่ากระบี่บินธรรมดามากมาย
ชามใหญ่ของมั่วชิงเฉินวันนั้นถูกผู้เฒ่าสามซัดเป็นรูเล็กๆ ออกมาหลายรู นางไม่เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธ จึงได้แต่ทิ้งไว้ในกำไลรอกลับถึงสำนักหาศิษย์ร่วมสำนักที่เชี่ยวชาญด้านหลอมอาวุธช่วยเหลือ เมื่อเป็นเช่นนี้ เรือเล็กก็ได้ใช้ประโยชน์แล้ว
มาถึงที่พำนักของหัวหน้าตระกูลหวัง คนที่นำนางเข้าไปยังคงเป็นทิงเฉา เพียงแต่ครั้งนี้แววตาที่ทิงเฉามองนางต่างออกไปอีกแล้ว ในคำพูดแฝงไว้ด้วยความเลื่อมใสที่แต่ก่อนไม่มี
มั่วชิงเฉินไม่ได้ใส่ใจ เดินตรงเข้าไป
ในโถงมีคนสามคนอยู่แล้ว คือหัวหน้าตระกูลหวังและหลี่จื้อหย่วนศิษย์อาจารย์
มั่วชิงเฉินเอ่ยคำทักทาย แล้วนั่งลงข้างๆ หลี่จื้อหย่วน หลี่จื้อหย่วนยิ้มให้นาง เห็นฟันขาวทั้งปาก
ไม่นานนัก ผู้เฒ่าสามก็รุดมา สายตากวาดถึงมั่วชิงเฉินก็ให้หน้าบึ้งทันที จากนั้นถึงมองท่านโจวแล้วฝืนยิ้ม
ทั้งห้าคนดื่มสุราทิพย์ร่วมกันจอกหนึ่ง จากนั้นคุยเป็นพิธีรีตองสองสามประโยค จู่ๆ ท่านโจวก็ว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลหวัง พวกเขารุ่นเด็กอยู่ต่อหน้าตาเฒ่าพวกนี้แล้วไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่สู้ปล่อยพวกเขาไปสนุกกันเอง ท่านว่าเป็นเช่นไร?”
หัวหน้าตระกูลหวังยิ้มว่า “ข้ากำลังจะพูด หวังหกเตรียมสุราอาหารอยู่ในศาลาสวนด้านหลังแล้ว รอแม่นางมั่วและหลานหลี่อยู่เลย”
หลี่จื้อหย่วนสีหน้ายินดีขึ้นมาทันที คำนับพร้อมมั่วชิงเฉินแล้วถอยออกไปด้วยกัน
“ฟู่ ออกมาสบายกว่ากันเยอะเลย” หลี่จื้อหย่วนหายใจออกอึดใหญ่
มั่วชิงเฉินกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ “คุณชายหลี่ เจ้าจะดีใจออกนอกหน้าต่อหน้าหัวหน้าตระกูลหวังไปสักหน่อยหรือไม่ อย่างไรเสียรอออกมาก่อนค่อยแสดงออกสิ”
ต่อหน้าเจ้าภาพเมื่อได้ยินว่าสามารถออกไปได้แล้ว ก็ดีใจหัวเราะจนปากเกือบเบี้ยว มั่วชิงเฉินทำไม่ได้หรอกนะ
หลี่จื้อหย่วนขยิบตา “เป็นเช่นไร เช่นนี้ไม่ดีหรือ?”
มั่วชิงเฉินชะงัก
หลี่จื้อหย่วนยิ้มจนตาเป็นเส้นโค้ง ดูแล้วมีความไร้เดียงสาเหมือนเด็ก “หัวหน้าตระกูลหวังรู้ความคิดของเรา เขาไม่ใส่ใจหรอก”
มั่วชิงเฉินเม้มริมฝีปาก รู้สึกว่าหลี่จื้อหย่วนไร้เดียงสาเกินไป ทว่าเห็นรอยยิ้มที่สะอาดกระจ่างใสของเขา ในใจกลับคิดอะไรขึ้นมาได้ในทันใด
เขากำลังบอกตนใช่หรือไม่ ว่าไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากากตลอดเวลา ในสถานการณ์ที่ไร้พิษภัยเป็นตัวของตัวเอง อาจจะเป็นความสุขชนิดหนึ่งก็ได้?
มั่วชิงเฉินไม่คิดว่าวิถีแห่งการดำเนินชีวิตที่เหมาะกับหลี่จื้อหย่วนก็จะเหมาะกับตน กลับพบว่าพลังที่สะอาดบริสุทธิ์เฉพาะตัวที่แผ่ซ่านออกจากตัวเขา ไม่ใช่เพราะความไม่รู้ หากแต่เพราะเข้าใจทุกอย่างดีต่างหาก ถึงได้ทำตามใจจริง เปิดเผยตรงไปตรงมา
นี่อาจจะเป็นวิถีแห่งการดำเนินชีวิตเฉพาะตัวของนักบำเพ็ญเพียรปราชญ์กระมัง
ในศาลาสวนด้านหลัง คุณชายหกกำลังรอทั้งสองคนจริงๆ เห็นสองคนเข้ามารีบลุกขึ้นต้อนรับ
“พี่หลี่ ไม่คิดว่าเร็วเพียงนี้เจ้าก็จะไปแล้ว” คุณชายหกพลางเชื้อเชิญสองคนดื่มสุรา พลางถอนใจ
ระยะนี้เขาและหลี่จื้อหย่วนคบหากันได้สบายใจนัก การกระทบของทฤษฎีต่างแขนงเต๋าปราชญ์ ยิ่งทำให้เขาได้ประโยชน์มากมาย
หลี่จื้อหย่วนยกจอกสุราในมือว่า “ใต้หล้าไม่มีงานเลี้ยงที่ไม่เลิกรา คุณชายหกจะอ่อนไหวไปไย ขอเพียงพวกเราเดินต่อไป จะกลุ้มไปไยว่าจะไม่ได้พบกันอีก?”
คุณชายหกตบโต๊ะ “พี่หลี่พูดถูก อาจจะอีกไม่นานข้าก็ออกจากบ้านเดินทางฝึกตน ไม่แน่ก็อาจเจอสหายเก่าที่ไหนสักที่แล้ว ฮ่าๆ มา ดื่มอีกจอกหนึ่ง!”
มั่วชิงเฉินอมยิ้มมองอยู่ รู้ว่าคุณชายหกดื่มมากไปสักหน่อยแล้ว
ที่จริงนักบำเพ็ญเพียรสามารถขับเคลื่อนพลังวิญญาณขับสุราออกนอกกาย เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ดื่มสุรายังมีอะไรน่าสนใจอีก โดยเฉพาะยามที่ดื่มกับสหายจะทำให้ขาดความจริงใจ
ดื่มได้อีกพักหนึ่ง หลี่จื้อหย่วนจึงว่า “ไม่ดื่มแล้วไม่ดื่มแล้ว ดื่มจนเมากรึ่มข้ามทะเล หากเกิดตกลงไปในทะเล อาจารย์ไม่ช่วยข้าจะทำเช่นไร?”
คำพูดนี้แม้เป็นการพูดเล่น ทว่าการข้ามทะเลอย่างไรเสียก็อันตรายหนักหนา คุณชายหกจึงหยุดคารวะสุรา ทั้งสามคนเริ่มกินผลไม้ทิพย์ขึ้นมา
“พี่หลี่ นี่คือมุกจื่อหวาสงบจิตผลิตผลเฉพาะของทะเลขนาบใจเรา แม้คุณภาพงั้นๆ กลับเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้าน้อย ขออย่าได้รังเกียจ” คุณชายหกยื่นมุกสีม่วงที่ใช้เชือกสีเขียวร้อยขึ้นมาเม็ดหนึ่งข้ามมา
มุกเม็ดนั้นเล็กกว่าที่มั่วชิงเฉินได้มาในวันนั้นเล็กน้อย ด้านบนแกะสลักคาถาสีทึมไว้
หลี่จื้อหย่วนยื่นมือรับมา แล้วแขวนไว้บนป้ายหยกที่เอวโดยตรง จากนั้นเหล่มั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินตั้งใจหยอกเขาเล่น จึงแกล้งทำเป็นไม่เห็นเอ่ยกับคุณชายหกว่า “คุณชายหก ชิงเฉินได้มุกจื่อหวาสงบจิตมาสองเม็ดโดยบังเอิญ ได้ยินว่ามุกนี้ต้องให้ตระกูลหวังของพวกเจ้าเสกคาถาลับก่อนถึงใช้ประโยชน์ได้ ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว” พูดพลางดันกล่องหยกที่ใส่มุกจื่อหวาสงบจิตไว้ข้ามไป
คุณชายหกเปิดออกก็เห็นมุกขนาดเท่าลำไยคู่หนึ่ง แสงสีม่วงแวววาว อดชื่นชมไม่ได้ว่า “โชคของแม่นางมั่วช่างไม่เลวจริงๆ มุกคู่นี้นับเป็นระดับยอดเยี่ยม รอเจ็ดวันให้หลังข้าทำเสร็จก็ส่งไปให้เจ้า”
“แม่นางมั่ว…” หลี่จื้อหย่วนเรียกอย่างน่าสงสาร
มั่วชิงเฉินเหลือบมองเขา แล้วยิ้มละไมว่า “คุณชายหลี่ ชิงเฉินไม่รู้ว่าเจ้าจะไปวันนี้ ไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรไว้หรอกนะ”
หลี่จื้อหย่วนฮึเสียงหนึ่ง ทันใดนั้นก็แย้มหนึ่งยิ้มว่า “แม่นางมั่ว ขอเพียงเจ้ารับปากข้าเรื่องหนึ่ง ก็นับว่ามอบของขวัญจากลาให้ข้าแล้ว เจ้าว่าเป็นเช่นไร?”
“เรื่องอันใด?” มั่วชิงเฉินถาม
หลี่จื้อหย่วนกระแอมสองที “เรื่องนั้นสำหรับเจ้าแล้วง่ายมาก อีกทั้งยังไม่เสียหายใดๆ ด้วย”
มั่วชิงเฉินไม่พูด นั่งจ้องเขา ตามประสบการณ์ของนาง ยามที่มีคนพูดเช่นนี้รับรองไม่มีเรื่องดี
“แม่นางมั่ว ข้าอยากเห็นหน้าตาที่แท้จริงของเจ้า” ในที่สุดหลี่จื้อหย่วนก็พูดออกมา
มั่วชิงเฉินชะงัก คำพูดนี้หากเป็นชายอื่นพูดออกมา นางต้องรู้สึกว่าคนผู้นั้นเป็นพวกเกี้ยวพาราสี ทว่ามองดูหลี่จื้อหย่วนท่าทางเต็มไปด้วยความวิงวอน วิตกกังวล กลับไม่ว่าดูเช่นไรก็ไม่มีความรู้สึกเช่นนั้น
“เพราะเหตุใด?” มั่วชิงเฉินถามอย่างจริงจัง นางต้องการเหตุผลหนึ่ง ทั้งให้เขาและก็ให้ตนเอง
คุณชายหกมองทั้งสองคนอย่างแปลกใจ
แล้วก็ได้ยินหลี่จื้อหย่วนพูดว่า “ตั้งแต่ปีนั้นที่พบกันโดยบังเอิญ ข้าก็มักคิดว่าหลังจากเจ้าเติบใหญ่จะมีลักษณะเช่นไร ครั้งนี้เจอเจ้าแล้วหากยังไม่ได้เห็น เช่นนั้นข้าจะกินไม่อร่อยนอนไม่หลับ ไม่แน่อาจเกลี้ยกล่อมอาจารย์ว่าต่อไปให้ตามเจ้าไปฝึกตน ไหนๆ พวกเราก็ใช้ชีวิตให้มีความสุขกับสภาพการณ์นั้นๆ ได้มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว”
เมื่อมั่วชิงเฉินนึกถึงว่าต่อไปไปถึงไหนข้างหลังก็จะมีบัณฑิตเฒ่าคนหนึ่งบัณฑิตหนุ่มคนหนึ่งคอยตาม เกิดกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที ถลึงตาใส่หลี่จื้อหย่วนครึ่งค่อนวันถึงถอนใจว่า “เอาเถอะ ถือว่าเจ้าโหด เจ้าดูเถอะ”