พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 189 เรื่องแปลกประหลาดในสำนัก

มั่วชิงเฉินกวาดสายตามองประตูสำนักที่คุ้นเคยปราดหนึ่ง ในใจรำพึงรำพัน จากสำนักห้าปี ในที่สุดก็กลับมาแล้ว

 

 

เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งตามอยู่หลังมั่วชิงเฉินติดๆ ตามองไปทั่วช่างมองไม่ทันเอาเสียเลย

 

 

มั่วชิงเฉินล้วงป้ายประจำตัวสีควันเขียวออกมา เสกคาถาส่งสารให้ศิษย์เฝ้าประตู เพียงชั่วครู่ประตูสำนักก็เปิดออก จึงพาสาวใช้สองคนก้าวเข้าไป

 

 

ทางเดินหินเขียวที่กว้างขวางโอ่อ่าตรงไปยังโถงประชุมเขาโฮ่วเต๋อ นักบำเพ็ญเพียรร่อนลงจากฟ้าเป็นระยะ แสงวิญญาณสีต่างๆ เป็นประกายแวววับ ที่นี่เป็นสถานที่ที่ครึกครื้นที่สุดของพรรคเหยากวงเสมอมา

 

 

มั่วชิงเฉินอมยิ้มมองดูสิ่งเหล่านี้ รู้สึกเพียงว่าคุ้นเคยอย่างไม่มีเหตุผล ใจดวงหนึ่งบินไปเขาชิงมู่ตั้งนานแล้ว กลับยังต้องมารายงานตัวที่โถงประชุมก่อน

 

 

เดิมทีนางคิดจะส่งยันต์ส่งสารให้อาจารย์ใบหนึ่ง กลับไม่รู้จะเขียนอะไรดี ตรองไปตรองมาสุดท้ายก็ไม่ได้ส่ง มีคำพูดอะไรเก็บไว้พบหน้าค่อยพูดแล้วกัน

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสามคนต่างเป็นหญิงสาว อีกทั้งไม่ได้ใส่ชุดของพรรคเหยากวง เดินอยู่บนถนนย่อมเป็นที่ดึงดูดสายตานัก

 

 

โดยเฉพาะเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งพี่น้องฝาแฝดคู่หนึ่ง เสื้อผ้าเหมือนกันหน้าตาการกระทำเหมือนกัน ดึงให้สายตานับไม่ถ้วนตกลงบนตัวพวกนาง

 

 

“ศิษย์พี่ เจ้าดูเร็ว เป็นแม่นางที่เหมือนกันเปี๊ยบเลยนะ” นักบำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณคนหนึ่งสายตาไล่หลังเหลียงเฉินเหม่ยจิ่ง ใช้มือกระตุกแขนของนักบำเพ็ญเพียรที่อยู่ข้างๆ

 

 

นักบำเพ็ญเพียรคนนั้นส่งสายตามา รู้สึกหายากมากเช่นกัน ทว่าต่อจากนั้นสายตาตกไปที่มั่วชิงเฉินที่อยู่เดินอยู่ข้างหน้า หน้าถอดสีทันทีแล้วรีบหันหน้าไป

 

 

“ศิษย์พี่ เจ้าเป็นอะไรไป?” นักบำเพ็ญเพียรก่อนหน้าถามอย่างสงสัย ศิษย์พี่ที่ปกติดื่มสุราด้วยกัน มีสาวงามก็แอบดูด้วยกัน เขาไม่เชื่อหรอกนะว่านิสัยจะเปลี่ยนไปในทันที

 

 

นักบำเพ็ญเพียรคนนั้นรีบถลึงตาใส่เขาปราดหนึ่ง ส่งเสียงทางจิตว่า “เจ้าหลงจนมึนศีรษะหรือ ไม่เห็นคนที่เดินอยู่ข้างหน้าคืออาจารย์อาระดับสร้างรากฐานหรือไร? ใครไม่รู้ว่ายามนี้ในพรรคเหยากวงที่ตอแยด้วยยากที่สุดก็คือนักบำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานพวกนั้นแล้ว”

 

 

ดูเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ นักบำเพ็ญเพียรก่อนหน้าสีหน้าซีดเซียวทันที ตอบว่า “ศิษย์พี่ตักเตือนได้ถูกต้องยิ่งนัก ศิษย์น้องประมาทชั่วครู่เกือบลืมเสียแล้ว”

 

 

สีหน้าของเหม่ยจิ่งซีดเซียวเล็กน้อย ตั้งแต่ผ่านฝันร้ายฉากนั้น นางก็รู้สึกต่อต้านรังเกียจผู้ชายอย่างบอกไม่ถูก

 

 

เหลียงเฉินแอบกุมมือของเหม่ยจิ่งไว้ เอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่ต้องกลัว มีคุณหนูอยู่นะ”

 

 

มั่วชิงเฉินคุ้นเคยกับสายตาเช่นนี้นานแล้ว ลมเกิดใต้เท้ายิ่งเดินยิ่งเร็ว ไม่นานก็มาถึงนอกโถงประชุม

 

 

“พวกเจ้าสองคนรออยู่ที่นี่ก่อน ไม่นานข้าก็ออกมา” มั่วชิงเฉินกำชับเสร็จก็ก้าวเข้าโถงประชุม

 

 

การตกแต่งของโถงประชุมไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ นักบำเพ็ญเพียรที่เข้าเวรได้ยินความเคลื่อนไหวเงยหน้าขึ้นมา หน้าทารกที่ไร้ความรู้สึกชะงักงันทันที

 

 

“ศิษย์พี่หวัง” มั่วชิงเฉินออกเสียงทักทาย

 

 

นักบำเพ็ญเพียรแซ่หวังยังคงไม่ออกเสียง เพ่งพิศมั่วเชิงเฉินอย่างละเอียดถี่ถ้วน จนกระทั่งมั่วชิงเฉินถูกดูจนกลัว ถึงออกเสียงว่า “เจ้ายังไม่ตาย?!” พูดจบไม่คิดเลยว่ายังกวาดสายตามองบนพื้นอีก

 

 

มั่วชิงเฉินกดเขาที่เหมือนมองหาเงาบนพื้นไว้ มุมปากอดกระตุกอย่างแรงทีหนึ่งไม่ได้ “พึ่งบุญบารมีของศิษย์พี่ น้องยังมีชีวิตอยู่ วันนี้เพิ่งกลับสำนัก จึงมารายงานตัวที่โถงประชุมโดยเฉพาะ” พูดพลางยื่นป้ายประจำตัวไป

 

 

นักบำเพ็ญเพียรแซ่หวังสีหน้าฟื้นคืนปกติแล้ว รับป้ายประจำตัวแล้วกวาดมั่วชิงเฉินอีกปราดหนึ่ง แล้วสีหน้าก็ต้องเปลี่ยนอีกครั้ง ตกใจร้องว่า “เจ้า ไม่คิดว่าเจ้าจะอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลางแล้ว?”

 

 

เมื่อครู่เขาพบว่าคนที่มาไม่คิดเลยว่าจะเป็นนางหนูที่หายสาบสูญที่พูดกันว่าดับสูญไปนานแล้ว ตกตะลึงจะลืมสิ่งอื่น จนกระทั่งยามนี้ถึงสังเกตถึงตบะของนาง

 

 

มั่วชิงเฉินอมยิ้มพยักหน้า “พึ่งบุญบารมีของศิษย์พี่ ยามที่น้องฝึกตนอยู่ข้างนอกโชคดีเลื่อนขั้นแล้ว”

 

 

นักบำเพ็ญเพียรกัดฟัน อะไรเรียกว่าพึ่งบุญบารมีของข้า ถ้าข้ามีบุญบารมีนั่นก็เลื่อนขั้นเองไปนานแล้ว

 

 

พลางบ่นพึมพำพลางบันทึกข้อมูลของมั่วชิงเฉินลงป้ายประจำตัว อายุยี่สิบสองสร้างรากฐาน อายุสามสิบสี่สร้างรากฐานระยะกลาง ตัวอักษรพวกนี้ช่างบาดตาเหลือเกิน

 

 

นักบำเพ็ญเพียรแซ่หวังคิดอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ผ่านไปอีกสองปีตนควรเปลี่ยนมาเรียกนางศิษย์พี่หรือไม่นะ เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์เช่นนั้น ในใจก็อึดอัดทันที มองท่าทางที่มั่วชิงเฉินยืนอมยิ้มอย่างไม่แยแสอีกที ก็รู้สึกขวางหูขวางตาขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

เห็นนักบำเพ็ญเพียรแซ่หวังบันทึกข้อมูลใหม่ลงไปแล้วกลับจับป้ายประจำตัวของตนไว้ไม่ปล่อย มั่วชิงเฉินจึงลองเรียกศิษย์พี่หวังเสียงหนึ่ง

 

 

นักบำเพ็ญเพียรแซ่หวังได้สติกลับมา จึงโยนป้ายประจำตัวของมั่วชิงเฉินข้ามไป

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ใส่ใจ ยังคงยิ้มว่า “ขอบคุณศิษย์พี่หวัง น้องขอตัวก่อนแล้ว”

 

 

มองดูแผ่นหลังของมั่วชิงเฉินที่จากไปอย่างรวดเร็ว จู่ๆ นักบำเพ็ญเพียรหวังก็ออกเสียงว่า “ช้าก่อน”

 

 

มั่วชิงเฉินหันกลับมา เห็นนักบำเพ็ญเพียรหวังใช้แววตาประหลาดมองนางอยู่ จึงอดถามไม่ได้ว่า “ไม่ทราบศิษย์พี่หวังมีอะไรชี้แนะ?”

 

 

“นี่เจ้าจะกลับเขาชิงมู่?” นักบำเพ็ญเพียรแซ่หวังถาม

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้า “น้องย่อมต้องกลับไปคารวะอาจารย์”

 

 

นักบำเพ็ญเพียรแซ่หวังหงายตัวไปข้างหลัง เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ข้าขอเตือนว่าเจ้าอย่าไปจะดีกว่า”

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที “ศิษย์พี่หวังหมายความว่าเช่นไร?”

 

 

นักบำเพ็ญเพียรแซ่หวังยกตามองมั่วชิงเฉิน ถึงเอ่ยว่า “เจ้าไปแล้วก็ไม่ได้เจอนักพรตเหอกวงอยู่ดี”

 

 

“เพราะเหตุใด?” มั่วชิงเฉินถามเสียงร้อนรน แม้แต่ตนก็ไม่สังเกตว่าหน้าถอดสีจนน่ากลัว

 

 

เห็นในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ไม่ใช่สีหน้าสงบไม่แยแสเช่นนั้นอีกแล้ว นักบำเพ็ญเพียรแซ่หวังรู้สึกทันทีว่าสบายใจขึ้นมาสักหน่อย แล้วพูดสิ่งที่น่าตกใจออกมา “ข้าจำได้ว่าเจ้าและศิษย์น้องมั่ว ศิษย์น้องต้วนแห่งเขารั่วสุ่ยสองคนสนิทสนมกันสินะ ใช่แล้ว ยังมีศิษย์พี่เยี่ย”

 

 

มั่วชิงเฉินสงบจิตใจทีหนึ่ง ไม่ได้ปฏิเสธ แม้นางไม่รู้ว่าตนไปสนิทสนมกับศิษย์พี่เยี่ยผู้นั้นตั้งแต่เมื่อไร ทว่ายามนี้มีกะจิตกะใจไปโต้แย้งเรื่องพวกนี้ที่ไหน

 

 

นักบำเพ็ญเพียรแซ่หวังยิ้ม “เจ้าก็ไม่ต้องติดต่อพวกเขาแล้วเช่นกัน พวกเขาล้วนไม่อยู่ที่เขา”

 

 

“ขอบังอาจถามศิษย์พี่หวัง อาจารย์ข้าและศิษย์พี่ทั้งสองอยู่ที่ใด?” มั่วชิงเฉินพยายามถามอย่างใจเย็นเท่าที่ทำได้

 

 

นักบำเพ็ญเพียรแซ่หวังกระดกมุมปากว่า “พวกเขายามนี้ล้วนอยู่โถงลงทัณฑ์!”

 

 

“อะไรนะ?” มั่วชิงเฉินถามเสียงหลง

 

 

โถงลงทัณฑ์ของพรรคเหยากวง เป็นสถานที่ที่มีไว้ลงโทษนักบำเพ็ญเพียรที่ประพฤติผิดโดยเฉพาะ ตั้งอยู่บนเขาที่อยู่ลึกที่สุดลูกหนึ่งของเขาโฮ่วเต๋อ

 

 

พรรคเหยากวงแต่ไหนแต่ไรมาสนับสนุนอิสระตามสบาย ไม่ผูกมัดศิษย์สักเท่าไร ปกติไปรับการลงโทษที่โถงลงทัณฑ์ส่วนใหญ่เป็นศิษย์ระดับหลอมลมปราณ ต่อให้เป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานก็มีไม่มาก

 

 

พวกมั่วหลีลั่วล้วนเป็นศิษย์ก้นกุฏิ ยิ่งเป็นบุตรที่ได้รับการโปรดปรานจากสวรรค์ในรุ่นนี้ของพรรคเหยากวง ตกลงทำผิดอันใดกันแน่ ถึงกับต้องเข้าโถงลงทัณฑ์?

 

 

ยังมีอาจารย์อีก เขาเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเชียวนะ ไม่นึกเลยว่าก็ไปโถงลงทัณฑ์เช่นกัน หรือว่าทำผิดมหันต์อะไรไว้?

 

 

มั่วชิงเฉินสมองหมุนอย่างไว ใบหน้ากลับใจเย็นลงมา ยิ่งเป็นเวลานี้ ยิ่งไม่อาจร้อนรนได้

 

 

“ศิษย์พี่หวัง บอกน้องได้หรือไม่ว่า ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับอาจารย์ข้าและศิษย์พี่ทั้งสอง เหตุใดถึงได้เข้าโถงลงทัณฑ์?” มั่วชิงเฉินถามอย่างจริงใจ

 

 

ศิษย์พี่หวังมองมั่วชิงเฉินอย่างจะยิ้มก็ไม่ยิ้มปราดหนึ่ง สองมือประสานไว้ที่ท้ายทอย เอ่ยเนิบนาบว่า “เหตุการณ์อย่างเป็นรูปธรรมข้าก็ไม่รู้แล้ว ได้ยินเพียงว่าดูเหมือนล้วนมีความเกี่ยวข้องกับเจ้า”

 

 

มั่วชิงเฉินโมโหจนควันออกหู นางนับว่าดูออกแล้ว ศิษย์พี่หวังผู้นี้จงใจทรมานตนนี่เอง ก็ไม่รู้ว่าตนไปล่วงเกินเขาตั้งแต่เมื่อไร หรือว่ายังปวดใจที่มอบผึ้งวิญญาณเลือดมรกตให้ตนไม่กี่ตัวในปีนั้น?

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ น้องก็ขอตัวก่อนแล้ว” มั่วชิงเฉินโยนคำพูดออกมาอย่างเย็นชา หันหลังจากไป

 

 

ออกจากประตูใหญ่โถงประชุม มั่วชิงเฉินพบว่ามีศิษย์ระดับหลอมลมปราณสองสามคนล้อมสาวใช้สองคนของตนไว้ พี่น้องสองคนตกใจจนหน้าถอดสี สายตามองไปทางประตูใหญ่โถงประชุมเรื่อย กลับไม่กล้าเข้ามา

 

 

“นี่พวกเจ้าทำอะไร!” มั่วชิงเฉินเดิมทีในใจก็โมโหอยู่แล้ว เห็นสภาพการณ์เช่นนี้แล้วยิ่งไม่สบอารมณ์ จึงตะคอกเสียงกังวานว่า

 

 

“คุณหนู!” เหลียงเฉินเหม่นจิ่งเห็นเป็นมั่วชิงเฉิน เผยสีหน้าเหมือนได้รับการปลดแอกออกมา

 

 

ศิษย์ระดับหลอมลมปราณทั้งหมดเห็นนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งเดินสวบๆมา สะดุ้งเฮือกทันที คารวะอย่างอกสั่นขวัญแขวนว่า “ขอคารวะท่านอาจารย์อา!” พูดจบ ก็ตั้งท่าจะรีบหนี

 

 

มั่วชิงเฉินกวาดมองพวกเขาอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง ตะคอกว่า “หยุดอยู่กับที่ให้หมด!”

 

 

ทันใดนั้นทุกคนหยุดอยู่ที่เดิม มองมั่วชิงเฉินอย่างสะดุ้งกลัว

 

 

“พวกเจ้าตามข้ามา!” มั่วชิงเฉินพูดพลางอัญเชิญเรือเล็กออกมา พาศิษย์ระดับหลอมลมปราณไม่กี่คนขึ้นอาวุธเวทเหินหาวไป หายอดเขาที่ไม่มีคนแห่งหนึ่งถึงค่อยๆ ร่อนลง

 

 

“แย่…แย่แล้ว อาจารย์อาท่านนี้คงไม่ฆ่าพวกเราปิดปากนะ?” ศิษย์ระดับหลอมลมปราณขั้นเจ็ดคนหนึ่งส่งเสียงทางจิตตัวสั่น

 

 

“ทำลายศพกลบร่องรอย?” ศิษย์อีกคนหนึ่งสีหน้ายิ่งซีด

 

 

“ไม่…ไม่หรอกกระมัง แม้บอกว่านักบำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานของสำนักเราร้ายกาจไปบ้าง ทว่าก่อนหน้านี้ลงโทษไปสองสามคนมิใช่หรือ ได้ยินมาว่าบัดนี้ศิษย์หญิงไม่น้อยล้วนเก็บงำไปมากแล้ว” ศิษย์อีกคนหนึ่งฝืนทำใจเย็นว่า

 

 

มั่วชิงเฉินจิตตระหนักเทียบได้กับนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลาย การคุยกันผ่านจิตตระหนักของศิษย์ระดับหลอมลมปราณระยะปลายไม่กี่คนนี้ถูกนางคอยสอดแนมเห็นตั้งนานแล้ว ใจว่าเป็นไปตามคาด คนที่รู้ข่าวคราวมากที่สุดก็คือคนพวกนี้แล้ว

 

 

“ข้ามีเรื่องถามพวกเจ้าสักหน่อย หากพูดออกมาตามจริง ก็จะละเว้นพวกเจ้า หากไม่เช่นนั้น พวกเจ้าเกี้ยวพาราสีสาวใช้ประจำตัวข้า ข้าก็ไม่ลงมือหรอกนะ พวกเจ้าไปรับโทษเองที่โถงลงทัณฑ์!” มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบ

 

 

พูดถึง ‘โถงลงทัณฑ์’ สามคำ ศิษย์ไม่กี่คนสีหน้าซีดเซียว ศิษย์พรรคเหยากวงใครไม่รู้ถึงความน่ากลัวของโถงลงทัณฑ์บ้าง ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ระดับหลอมลมปราณ สร้างรากฐานหรือว่าก่อแก่นปราณ ย่อมมีวิธีจัดการกับเจ้า

 

 

“อาจารย์อาเชิญถามได้ ขอเพียงเป็นสิ่งที่ศิษย์รู้ ต้องบอกหมดอย่างไม่ปิดบังแน่นอนขอรับ” ศิษย์ที่หน้าตาเฉลียวฉลาดรีบเอ่ยว่า

 

 

มั่วชิงเฉินลังเลทีหนึ่ง ไตร่ตรองแล้วว่า “ข้าได้ยินมาว่า ในโถงลงทัณฑ์ขังนักพรตเหอกวงไว้ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย พวกเจ้ารู้สาเหตุหรือไม่?”

 

 

ศิษย์สองสามคนหน้าถอดสีเล็กน้อย มั่วชิงเฉินรู้สึกดีใจ ดูท่าได้เรื่องแล้ว

 

 

“เอ่อ…” ศิษย์สองสามคนมองหน้ากัน ใครก็ไม่กล้าออกเสียง

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าเย็นชาลง กวาดมองพวกเขาปราดหนึ่ง อานุภาพของนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานทำให้สองสามคนขาสั่นขึ้นมาทันที

 

 

“อา…อาจารย์อา นักพรตเหอกวงจะเป็น…จะเป็นที่วิจารณ์ส่งเดชของพวกเราศิษย์ระดับหลอมลมปราณตัวเล็กๆ ได้อย่างไรขอรับ” ศิษย์คนหนึ่งรวบรวมความกล้าว่า

 

 

ประกายแสงสองสามสายแวบมา ศิษย์สองสามคนนึกว่าอาวุธลับซัดมา รีบกอดศีรษะวิ่งหนี ประกายแสงนั่นซัดถึงบนมือถึงพบว่าไม่นึกเลยว่าจะเป็นยาลูกกลอนรวมวิญญาณขวดหนึ่ง

 

 

มั่วชิงเฉินพูดอย่างจำใจว่า “พวกเจ้ารีบมานี่ ข้าเพียงแต่ถามเพราะอยากรู้อยากเห็น ไม่พูดออกไปส่งเดชหรอก พวกเจ้าลองพูดดูจะเป็นไรไป?”

 

 

ศิษย์สองสามคนมองตากันปราดหนึ่ง รู้ว่าวันนี้ไม่พูดก็หลบไม่พ้นแล้ว จึงดันคนออกมาคนหนึ่งว่า “เรียนอาจารย์อา ที่จริงเรื่องนี้ศิษย์ในสำนักที่รู้ก็มีไม่น้อย ได้ยินมาว่า ได้ยินมาว่าศิษย์เพียงคนเดียวของนักพรตเหอกวงต้องตายเพราะนางมารแห่งนิกายเหอฮวน นักพรตเหอกวงลงเขาไปตามหาแม้แต่ศพก็ไม่ได้กลับมา ด้วยความโมโหไม่นึกเลยว่าจะไปนิกายเหอฮวนตามลำพัง ไม่เพียงแต่ฆ่านางมารสองคนที่ทำให้ศิษย์ต้องตาย ยังท้าประลองเดี่ยวกับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณของนิกายเหอฮวนรวดเดียวเจ็ดคนอีก”

 

 

ศิษย์อีกคนหนึ่งพูดแทรกว่า “นักพรตเหอกวงร้ายกาจเหลือเกิน มือถือกระบี่ชิงมู่เล่มเดียว ไม่ว่าจะเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะต้นหรือว่าก่อแก่นปราณระยะปลายล้วนพ่ายแพ้ใต้กระบี่ พูดได้ว่าไปทางไหนก็ราบเป็นหน้ากลอง ถึงตอนหลังในที่สุดก็สะเทือนถึงนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแห่งนิกายเหอฮวน นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดผู้นั้นติดที่ฐานะพิเศษของนักพรตเหอกวงจึงแจ้งข่าวมาทางผู้เฒ่าไท่ซ่างแห่งเขาโฮ่วเต๋อของเรา”

 

 

“หลังจากนั้นล่ะ?” มั่วชิงเฉินพูดไม่ถูกว่าในใจรู้สึกเช่นไร จึงพึมพำถามว่า

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset