มั่วชิงเฉินเบนสายตาออกอย่างรีบร้อน หลบสายตาของเยี่ยเทียนหยวน
เยี่ยเทียนหยวนเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง แววตามืดมนลง จากนั้นกระดกมุมปากขึ้น ฝืนยิ้มแล้วเก็บสายตากลับไป
หลังจากนั้นผู้เฒ่าไท่ซ่างโส่วเต๋อเจินจวินกล่าวปาฐกถาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ขอข้ามไปไม่พูด
หลิวซางเจินจวินยืนอยู่กลางแท่นพิธี ไหว้ฟ้าก่อน แล้วไหว้ดิน สุดท้ายกราบไหว้อวี้ชิงหยวนเส่อเทียนจุน ซ่างชิงหลิงเป่าเทียนจุน ไท่ชิงเต้าเต๋อเทียนจุนเทพเจ้าสามองค์ที่ตั้งอยู่บนลานกว้าง พิธีฉลองการเลื่อนขั้นเล็กถือว่าเสร็จพิธี
ต่อจากนั้นก็คืองานเลี้ยงที่ศิษย์ในสำนักแสนกว่าคนตั้งตารอ
งานเลี้ยงจัดขึ้นบนลานกว้างเขาโฮ่วเต๋อโดยตรง โต๊ะยาวหยกเขียวเรียงรายขึ้นในพริบตา โดยมีศิษย์จิปาถะยกอาหารรสโอชา ผลไม้ทิพย์สุราเซียนขึ้นมาดั่งสายน้ำ และนี่คือโอกาสที่ศิษย์จิปาถะพรรคเหยากวงได้สัมผัสความครึกครื้นเช่นนี้อย่างใกล้ชิด ดังนั้นแต่ละคนกลับเห็นงานนี้เป็นงานที่พึงปรารถนา กรูกันเข้ามา
ศิษย์เป็นทางการพวกนั้นยิ่งร่าเริงยินดีใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พิธีฉลองทั่วทั้งสำนักเช่นนี้ บางทีร้อยปียังไม่มีสักหน พรรคเหยากวงในฐานะที่เป็นอันดับสามในสี่สำนักแปดนิกายแห่งดินแดนเทียนหยวนย่อมไม่ตระหนี่ สุราทิพย์ผลไม้ทิพย์ยกขึ้นมาไม่ขาดสาย และสุราทิพย์ผลไม้ทิพย์เหล่านี้ ต่อให้เป็นศิษย์อย่างเป็นทางการปกติก็เสียดายไม่ยอมกิน ศิษย์อย่างเป็นทางการปกติ ล้วนใช้หินวิญญาณไปกับการบำเพ็ญเพียร ยอมซื้อของฟุ่มเฟือยพวกนี้ที่ไหน
โดยเฉพาะวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์นอกสำนัก ศิษย์ในสำนัก ยังมีศิษย์หัวกะทิ ต่างละทิ้งฐานะนั่งปนอยู่ด้วยกัน บ้างแลกเปลี่ยนเคล็ดลับในการบำเพ็ญเพียร บ้างเล่าข่าวลือในสำนัก ความครึกครื้นในนี้ ไม่ต้องพูดก็รู้
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดห้าท่าน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อนแก่นปราณ ศิษย์ก้นกุฏินับร้อยคนต่างมีสถานที่ไปตามตบะที่ต่างกันของแต่คน มั่วชิงเฉินตามศิษย์ก้นกุฏิที่มีจำนวนมากที่สุดไปโถงดอกไม้แห่งหนึ่ง
พูดไปแล้ว นี่ยังเป็นครั้งแรกที่มั่วชิงเฉินเห็นศิษย์ก้นกุฏิมากมายถึงเพียงนี้ คนเหล่านี้ก็คือบุตรที่ได้รับความโปรดปรานจากฟ้าที่ว่ากันของพรรคเหยากวงแล้ว
มั่วชิงเฉินพิจารณาอย่างเงียบๆ ศิษย์เหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน มีเพียงไม่กี่คนที่มีตบะระดับหลอมลมปราณ ทว่าไม่ว่าเช่นไร สิ่งที่พวกเขาต่างจากศิษย์ธรรมดาทั่วไปอย่างเห็นได้ชัดคือ ท่าทางการวางตัวที่สำรวมกว่าหลายส่วน
นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ศิษย์หลายแสนคน ที่ยืนอยู่ตรงนี้เพียงแค่ร้อยกว่าคน ไม่ว่าเป็นใครก็เพียงพอให้ภาคภูมิใจแล้ว ยิ่งกว่านั้นคนเหล่านี้สามารถกลายเป็นศิษย์ก้นกุฏิของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ส่วนตัวต้องมีสิ่งที่เหนือคนอื่นแน่นอน
มั่วชิงเฉินสอดส่ายสายตา แล้วก็เห็นมั่วหลีลั่วและต้วนชิงเกอ เห็นชัดว่าทั้งสองคนก็เห็นนางแล้วเช่นกัน กวักมือเรียกนางอยู่
สามคนจึงนั่งอยู่ด้วยกัน
ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อมั่วชิงเฉินมองดูต้วนชิงเกอ ในใจก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย
“เป็นอันใดหรือ ศิษย์น้องชิงเฉิน?” ต้วนชิงเกอสีหน้าสงบไม่ใส่ใจดังเดิม ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
มั่วชิงเฉินเสียงฝืดเล็กน้อยว่า “ศิษย์พี่ชิงเกอ เจ้าผอมลงแล้ว”
ต้วนชิงเกอเม้มปากยิ้ม
จู่ๆ มั่วหลีลั่วก็ถอนใจว่า “ชิงเฉิน เจ้าไม่เห็นหรือไร คนที่ผอมลงไม่ได้มีชิงเกอคนเดียวหรอกนะ?”
“ศิษย์พี่มั่ว!” ต้วนชิงเกอต่อว่า จากนั้นหลุบหน้าลงต่ำ
มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าควรรับคำเช่นไรเหมือนกัน ในสมองแวบภาพหน้าที่ผ่ายผอมเช่นกันของอาจารย์และศิษย์พี่เยี่ยโดยไม่รู้ตัว
มั่วหลีลั่วเห็นสองคนเป็นเช่นนี้ จึงเม้มปาก ยกมือขึ้นทันทีกางเขตอาคมกั้นเสียงขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทั้งสามคนจึงไม่ได้ยินว่าคนอื่นพูดอะไรบ้าง คนอื่นก็ไม่ได้ยินบทสนทนาของทั้งสามคน
“เอาล่ะ พวกเราพี่น้องสามคน ก็คุยกันดีๆ เถอะ” มั่วหลีลั่วตบมือ พูดลางมองมั่วชิงเฉินว่า “ชิงเฉิน พวกเราแยกกันเพียงสองปี เจ้าก็อยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลางแล้ว ยิ่งกว่านั้นคลื่นพลังวิญญาณสม่ำเสมอ รากฐานมั่นคง ตบะเกรงว่าจะล้ำลึกกว่าข้าเสียอีก รีบบอกเรามาเร็วๆ สองปีนี้เจ้าใช้ชีวิตมาอย่างไร?”
มั่วชิงเฉินจึงเริ่มเล่าตั้งแต่ถูกปลาประหลาดกลืนลงท้อง เล่าจนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่ทะเลขนาบใจ แน่นอนข่าวลับของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณเหล่านั้นข้ามไปไม่พูดถึง ต่อให้เป็นเช่นนี้ ความโลดโผนหักมุมในนี้ ยังคงทำให้สองคนฟังจนชะงักงัน
รอมั่วชิงเฉินเล่าจบ ปากลิ้นเหือดแห้งหยิบขวดสุราขึ้นรินสุราทิพย์จอกหนึ่งดื่มจนเกลี้ยง ทั้งสองคนถึงได้สติกลับมา มั่วหลีลั่วถอนใจว่า “ชิงเฉิน ต่างเดินทางฝึกตนเหมือนกัน ไยของเจ้าถึงตระการตาเช่นนี้นะ!”
ต้วนชิงเกอหัวเราะเช่นกันว่า “ชิงเฉิน ข้าควรเปลี่ยนมาเรียกศิษย์พี่แล้วใช่หรือไม่?”
มั่วชิงเฉินโบกมือ “เรียกเช่นนี้ข้าไม่ชินเลย”
โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรถือพลังความสามารถเป็นใหญ่ วันนี้ยังเรียกกันว่าศิษย์พี่ศิษย์น้อง พรุ่งนี้ก็อาจเปลี่ยนมาเรียกอาจารย์อา ทว่านั่นล้วนเป็นคนที่คบกันเพียงผิวเผิน เรียกมาหลายสิบปีเช่นพวกนาง จู่ๆ เปลี่ยนคำเรียก ทั้งสองคนต่างปรับตัวไม่ค่อยได้
มั่วหลีลั่วหัวเราะ “พวกเจ้าก็เรียกกันด้วยชื่อก็หมดเรื่อง ตามที่ข้าดูแล้ว ศิษย์น้องชิงเฉินอีกไม่นาน ไม่แน่ตบะก็ข้ามเลยข้าไปแล้ว ถึงเวลาพวกเราก็เรียกกันด้วยชื่อโดยตรงก็แล้วกัน”
“เช่นนี้ไม่เลว” มั่วชิงเฉินพูดพลางมองต้วนชิงเกออย่างไม่รู้ตัวปราดหนึ่ง ถึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นพวกเจ้าล่ะ ต่อมาออกจากหุบเขานั่นอย่างไร?”
ต้วนชิงเกอหัวเราะว่า “วันนั้นเห็นเจ้าถูกปลาประหลาดกลืนเข้าไป พวกเราต่างร้อนใจมาก พูดไปก็แปลก ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ชื่อหลิวหลิงเอ๋อร์คนนั้น ไม่คิดว่าจะกระโดดลงไปเร็วกว่าเราก้าวหนึ่งอีก ต่อมาเราต่างกระโดดลงไปหาเจ้า กลับพบว่าก้นทะเลสาบมีปากถ้ำอยู่ ทุกคนเดินอยู่ในถ้ำที่มืดไม่เห็นเดือนเห็นตะวันไม่รู้นานเพียงใด ในที่สุดก็เดินออกมาได้ ถึงพบว่าได้หลุดออกจากหุบเขา มาถึงอาณาเขตของนิกายอวี้กุยแล้ว”
มั่วชิงเฉินในใจบีบรัดคราหนึ่ง นางไม่เข้าใจหลิวหลิงจือมาตลอดว่าไยจึงไม่ยอมรับว่ารู้จักตน ไม่คิดว่าถึงเวลาสำคัญสุดท้ายนางก็ยังเป็นห่วงตนอยู่ น่าเสียดายเวลานั้นนางไม่ยอมพูดคุยกับตนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ไยถึงได้ถูกผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำพวกนั้นตามฆ่า ยังถูกศิษย์ร่วมสำนักจับ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เมื่อใดที่พวกเขาหลุดพ้นจากอันตราย คนที่ประสบเคราะห์คนแรกต้องเป็นหลิวหลิงจือแน่!
“หลิวหลิงเอ๋อร์คนนั้นเป็นเช่นไรแล้ว?” มั่วชิงเฉินแกล้งทำใจเย็นแล้วถาม ในใจกลับตื่นเต้นอยู่บ้าง
มั่วหลีลั่วรับคำว่า “ทุกคนเพิ่งยืนยันความปลอดภัยของตนเองเสร็จ ถังอีผู้นำคนชุดดำก็ลงมือต่อหลิวหลิงเอ๋อร์ทันที ส่วนผู้หญิงสามคนของนิกายเหอฮวนดูเหมือนเตรียมพร้อมไว้นานแล้ว สู้กันอีนุงตุงนังกับถังอีขึ้นมาทันที”
“ระดับสร้างรากฐานระยะกลางคนหนึ่ง ระดับสร้างรากฐานระยะต้นสองคน คิดจะรับมือถังอีและถังเอ้อร์คงลำบากมากสินะ?” มั่วชิงเฉินถาม
มั่วหลีลั่วโกรธว่า “ก็ใช่น่ะสิ ดังนั้น หวังเยี่ยนเย่ว์ผู้หญิงคนนั้นจึงลากข้าและชิงเกอลงน้ำ ส่วนหลิวหลิงเอ๋อร์ไม่รู้เสกคาถาลับอะไร ไม่คิดว่าจะหนีรอดไประหว่างที่สู้กันอุตลุด”
มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าในใจโล่งไปอึดใจหนึ่ง ถามว่า “ต่อจากนั้นล่ะ?”
“ถังอีเห็นหลิวหลิงเอ๋อร์หนีไปแล้ว หาตัวไม่เจอ ก็บ้าคลั่งขึ้นมา เพียงครู่เดียว หวงเจียนก็ถูกฆ่าแล้ว ยามนั้นหวังเยี่ยนเย่ว์ลนแล้ว รีบบอกว่าหลิวหลิงเอ๋อร์ก็หนีไปแล้ว ทุกคนสู้กันต่อไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา ขอให้ถังอีปล่อยพวกนางไป ทว่าเรื่องที่หลิวหลิงเอ๋อร์หนีรอดไปได้ดูเหมือนสร้างความกระทบกระเทือนต่อถังอีมาก เขาไม่พูดสักคำ กลับยิ่งโจมตียิ่งฮึกเหิม ข้าและชิงเกอเดิมทีไม่ยอมเข้าแผนของหวังเยี่ยนเย่ว์ อีกทั้งคิดจะรักษาพลังไว้ ดังนั้นจึงไม่ค่อยออกแรง ทว่าเห็นท่าทางถังอีเช่นนี้ ไม่แน่อาจจะคิดกำจัดพวกเราให้สิ้นซาก นี่ถึงได้สู้อย่างเต็มกำลัง พวกเราสี่คนร่วมมือกัน อีกทั้งหาโอกาสฆ่าถังเอ้อร์ได้อีก ถึงพอกล้อมแกล้มตีเสมอกับถังอี” มั่วหลีลั่วเอ่ย
ระดับสร้างรากฐานระยะกลางสองคน ระดับสร้างรากฐานระยะต้นสองคน รับมือระดับสร้างรากฐานระยะปลายหนึ่งคนยังคงลำบาก คิดว่าต้องเป็นเพราะมั่วหลีลั่วและต้วนชิงเกอนับว่าพลังความสามารถอยู่แถวหน้าของผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน ถึงไม่ได้พ่ายแพ้
ต้วนชิงเกอเอ่ยต่อว่า “การต่อสู้เข้าสู่สภาพไม่รู้แพ้ชนะ ต่อมาสะเทือนไปถึงผู้บำเพ็ญเพียรนิกายอวี้กุย ถังอีถึงได้หนีไป พวกเราก็รอดมาได้ จากนั้นข้าและศิษย์พี่มั่วตามหาเจ้าไปทั่ว หาอยู่หลายเดือนก็หาไม่พบ จึงได้แต่กลับสำนัก”
“ก็ไม่รู้ว่าหลิวหลิงเอ๋อร์ตกลงทำสิ่งใดไว้กันแน่ ถึงก่อปัญหาใหญ่โตเช่นนี้?” มั่วชิงเฉินพึมพำว่า
มั่วหลีลั่วรู้สึกไม่ดีต่อผู้บำเพ็ญเพียรนิกายเหอฮวนเสมอมา ได้ยินดังนั้นจึงฮึเสียงเบาเสียงหนึ่งว่า “เอาเป็นว่าไม่ใช่เรื่องดีก็แล้วกัน ยามนั้นที่อยู่ในหุบเขา ข้าได้ยินถังอีและหวังเยี่ยนเย่ว์ทะเลาะกันโดยบังเอิญ ดูเหมือนพวกผู้บำเพ็ญเพียรหญิงของนิกายเหอฮวนจ้องของอะไรของฝ่ายถังอีมาตลอด สุดท้ายถูกหลิวหลิงเอ๋อร์ได้ไป นี่ถึงทำให้ทั้งสองฝ่ายชิงตัวนางกัน”
อย่างไรเสียหลิวหลิงจือก็เป็นสหายสนิทเพียงคนเดียวของมั่วชิงเฉินยามเด็ก ได้ยินดังนั้นทนแย้งไม่ได้ว่า “เรื่องแบบนี้มีผู้บำเพ็ญเพียรสักกี่คนที่ไม่เคยทำ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกกระมัง เพียงแต่นางไม่ได้วางทางหนีทีไล่ไว้ให้ดี นี่ก็ถือว่าบ้าบิ่นแล้ว”
มั่วหลีลั่วหัวเราะฟู่เสียงหนึ่ง “ชิงเฉิน เจ้ารู้เพียงเรื่องหนึ่งในนั้นยังมีเรื่องที่เจ้าไม่รู้อีก ข้ายังได้ยินถังอีด่าคนของนิกายเหอฮวนด้วยความโกรธว่าไร้ยางอาย บอกว่าหลิวหลิงเอ๋อร์…ยอมพลีกายให้นายน้อยท่านหนึ่งในสำนักพวกเขา ยามที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มก็ฆ่านายน้อยเสีย ถึงได้ของสิ่งนั้นมา…” พูดถึงตรงนี้ ก็พูดไม่ออกแล้วจริงๆ
ในใจมั่วชิงเฉินบอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไร ได้แต่นิ่งเงียบ
“ชิงเฉิน เจ้าไม่เป็นไรนะ?” ต้วนชิงเกอตบมือของมั่วชิงเฉินถาม เวลาที่ทั้งสองคนคบกันนานกว่ามั่วหลีลั่วมาก ย่อมเข้าใจกันมากกว่า
มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะ
มั่วหลีลั่วล้อเล่นว่า “ชิงเกอ ไยเจ้าต้องห่วงแทนศิษย์น้องชิงเฉินด้วย บัดนี้คนที่เป็นห่วงนางมีเยอะจะตาย ไม่ต้องพูดถึงอื่นไกล ผู้ชายเช่นอาจารย์อาเหอกวงนั้น เพื่อนางแล้วถึงกับบุกเดี่ยวไปท้ารบกับนิกายเหอฮวนเลยนะ! ชิงเฉิน เรื่องนี้เจ้าคงได้ยินแล้วกระมัง?”
มั่วชิงเฉินได้ยินคำพูดนี้แล้วในใจทั้งเศร้าทั้งหวานชื่นผสานกัน สุดท้ายกลายเป็นความเจ็บปวดเงียบๆ พันเกี่ยวหัวใจ แล้วฝืนยิ้มว่า “ข้าเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของอาจารย์ อาจารย์เป็นห่วงข้า ก็เป็นเรื่องธรรมดา”
ต้วนชิงเกอที่อยู่ข้างๆ กลับจับความเปลี่ยนแปลงของสีหน้ามั่วชิงเฉินได้อย่างเฉียบขาด ในใจหนักอึ้ง การคาดเดาก่อนหน้านี้ยิ่งชัดเจนขึ้นแล้ว ชิงเฉินนางคงไม่ได้มีความรู้สึกที่ไม่ควรมีต่ออาจารย์อาเหอกวงหรอกนะ?
โบราณว่าเป็นอาจารย์วันเดียวเป็นบิดาชั่วชีวิต นางเป็นเช่นนี้…เช่นนี้ไม่เท่ากับผิดศีลธรรมหรอกหรือ?
คิดถึงตรงนี้ไม่กล้าคิดต่อไปอีก กลับมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีต่อเส้นทางความรักของมั่วชิงเฉินในอนาคต
“ใช่แล้ว ชิงเฉิน ข้ายังไม่ได้ถามเจ้า ระหว่างเจ้าและเยี่ยเทียนหยวน ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่?” ในที่สุดมั่วหลีลั่วก็ทนไม่ไหวถามขึ้นมา
มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างจำใจว่า “ศิษย์พี่มั่ว ระหว่างเรามีเรื่องอะไรที่ไหนกัน?”
มั่วหลีลั่วเหล่นาง สีหน้าไม่เชื่อ “ไม่มีอะไร? เรื่องนี้พูดออกไป เกรงว่าแม้แต่หนูของพรรคเหยากวงก็ไม่เชื่อ ยัยเด็กบ้า ชิงเกอต้องซวยเพราะเจ้าแล้วนะ!”
“ศิษย์พี่มั่ว!” ต้วนชิงเกอรีบกระตุกมั่วหลีลั่วทีหนึ่ง ยิ้มให้มั่วชิงเฉินว่า “ชิงเฉิน เจ้าอย่าฟังศิษย์พี่มั่วพูดเหลวไหล อย่าว่าแต่ระหว่างพวกเจ้าไม่มีอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ต่อให้มีอะไร เรื่องของข้าและเขาก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
ถูกแล้ว ผู้ชายคนหนึ่งชอบหรือไม่ชอบตนเอง เดิมทีก็ไม่เกี่ยวกับบุคคลที่สามอยู่แล้ว เหตุผลข้อนี้นางยังพอเข้าใจ
มั่วชิงเฉินมองดูนางที่ซูบผอมลง ในใจรู้สึกอัดอั้นเล็กน้อย ทนไม่ไหวถามว่า “ชิงเกอ เช่นนั้นเจ้าล่ะ เจ้าและเขา…”