ที่ห้องรับประทานอาหารในตำหนักด้านข้าง อวิ๋นจือชิวไม่ได้ให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ทำงานหนัก นางเป็นฝ่ายจัดวางอุปกรณ์พวกชามกับตะเกียบให้เหมียวอี้ด้วยตัวเอง เหมียวอี้มองซ้ายมองขวา แล้วกล่าวอย่างรู้สึกขำขัน “ข้าว่านะ ตรงนี้ไม่มีคนนอก ฮูหยินไม่ต้องแสดงละครหรอก?”
“แสดงละคร?” อวิ๋นจือชิวงุนงงไปชั่วขณะ จากนั้นก็เข้าใจทันที ยังคงเติมน้ำแกงใส่ชามวางตรงหน้าเขาต่อไป พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า “ข้าปรนนิบัติเจ้าด้วยเจตนาดี แต่กลายเป็นแสดงละครในสายตาเจ้าเสียแล้ว เจ้ามีมโนธรรมสักหน่อยได้มั้ย? ขอเพียงเจ้าไม่ทำอะไรซี้ซั้ว ข้าก็ปรนนบัติเจ้าด้วยความเต็มใจอยู่แล้ว”
“จริงหรือล้อเล่น? เอ่อคือ…” เหมียวอี้ชี้ไปบนไหล่ของตัวเอง “นวดไหล่ให้ข้าก่อนสิ!”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์รีบเข้ามาทำแทนทันที แต่เหมียวอี้โบกมือห้ามทั้งสอง “พวกเจ้าสองคนไม่ต้องทำหรอก พวกเจ้านั่งกินก็พอ ข้าอยากให้นางปรนนิบัติข้า!”
อวิ๋นจือชิวกลอกตามองเขาอย่างสวยหยาดเยิ้ม รู้ว่าในใจของเจ้าบ้านี่ยังไม่หายโกรธ แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เดินไปข้างหลังเขาจริงๆ นางกดมืออันงดงามอ่อนนุ่มลงบนหัวไหล่เขา แล้วเริ่มบีบนวดด้วยน้ำหนักแรงที่พอเหมาะพอดี ยังถามอีกว่า “น้ำหนักมือเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ก็พอได้!” เหมียวอี้พิงเก้าอี้พร้อมทำสีหน้าผ่อนคลาย แล้วก็ชี้ไปยังเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่กำลังมองตัวเองอยู่ “พวกเจ้านั่งลงสิ นั่งลงเถอะ ตรงนี้ไม่มีคนนอก นั่งลงกินก่อนเลย”
สองสาวสบตากันแวบหนึ่ง แล้วเชียนเอ๋อร์ก็ลองพูดเตือนว่า “นายท่านเจ้าคะ อาหารทั้งโต๊ะนี้ ฮูหยินเป็นคนลงมือทำให้ท่านด้วยตัวเอง วัตถุดิบต่างๆ ฮูหยินก็เลือกสรรเองอย่างเอาใจใส่ ถ้าปล่อยให้เย็นจะไม่อร่อยนะเจ้าคะ”
เหมียวอี้ตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะกวาดสายตามองอาหารชั้นดีที่วางอยู่เต็มโต๊ะ เป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงคนนี้ลงมือทำอาหารให้เขากิน ในใจรู้สึกซาบซึ้งนิดหน่อย
อวิ๋นจือชิวที่กำลังนวดไหล่ให้เขากล่าวอย่างรู้สึกขำขัน “พอแล้ว! พวกเจ้ากินก่อนได้เลย เจ้าบ้านี่ยังไม่หายโกรธ กำลังจงใจทรมานข้า ถ้าไม่ให้เขาระบายอารมณ์สักหน่อย ก็ไม่รู้ว่าต่อไปในใจจะแค้นเคืองข้าอย่างไร อาจจะด่าจนข้าตายด้วยซ้ำ เฮ้อ! ใครใช้ให้ข้าวาสนาดีได้มาแต่งงานกับเขาล่ะ สวรรค์ลิขิตให้ข้าต้องโดนเขาทรมานไปทั้งชาติ หนิวเอ้อร์ เจ้าว่าใช่รึเปล่า?”
“แค่กๆ!” เหมียวอี้ไอแห้งๆ สองที “ไม่ได้ทรมานเจ้า…พวกนางสองคนก็พูดมีเหตุผล ถ้าเย็นแล้วจะไม่อร่อย ไปกินก่อนเถอะ กินเสร็จแล้วค่อยนวดให้ข้าก็ยังไม่สาย”
ตอนนี้อวิ๋นจือชิวถึงได้หยุดมือ แต่ไม่ได้รีบเข้ามานั่ง นางถกแขนเสื้อขึ้น แล้วจับตะเกียบคีบอาหารแต่ละอย่างวางใส่จานให้ตรงหน้าเหมียวอี้ “นายท่านลองชิมดูนะเจ้าคะ ดูว่าอาหารจานไหนถูกปาก ถ้าถูกปากก็บอกกันสักหน่อย ถ้ามีโอกาสข้าจะแสดงละครแบบนี้ให้ดูอีก”
เมื่อคีบอาหารเสร็จแล้วก็นั่งลงข้างกายเขา แล้วหันมองเขาชิมอาหารทีละอย่าง ทุกเขาครั้งเขากิน นางก็จะลองถามว่ารสชาติเป็นอย่างไรบ้าง
หลังจากเหมียวอี้ชิมแล้ว ก็เลือกอาหารที่ตัวเองชอบที่สุด แล้วพูดเสริมอย่างรู้สึกเกรงใจอีกว่า “เจ้าก็กินด้วยสิ! ขอแค่เป็นอาหารที่ฮูหยินทำเอง ข้าก็ชอบหมด”
“ปากก็พูดจาน่าฟัง แต่ในใจอาจจะด่าว่าไม่อร่อยก็ได้!” อวิ๋นจือชิวกลอกตามองเขา แต่รอยยิ้มบนใบหน้านั้นยากจะปิดบัง ตอนนี้ใบหน้าของนางดูกระปรี้กระเปร่ามาก นางพูดเสริมอีกว่า “ขอแค่เจ้าไม่รังเกียจที่จะกิน ต่อไปถ้าอยู่ในบ้านข้าจะทำอาหารให้เจ้ากินเอง”
เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก วิธีการ ‘ฟาดหนึ่งกระบอง ป้อนพุทราเชื่อมหนึ่งผล[1]’ แบบนี้ ช่างเหมือนตกนรกทั้งเป็นจริงๆ!
แต่ไม่ว่าจะยังไง เหมียวอี้ก็ยังไว้หน้านาง เพื่อที่จะแสดงออกว่านางทำอาหารอร่อย เขายัดอาหารลงท้องอย่างดุดัน กินจนอวิ๋นจือชิวทำสีหน้าเบิกบานแจ่มใส ลุกขึ้นคีบอาหารให้เขาอีก นางใช้เวลาส่วนใหญ่มองดูเขากิน ในแววตาเต็มไปด้วยความละมุนละไม
เหมียวอี้ซึ้งในน้ำใจของนางแล้ว เพียงแต่ไม่ค่อยชินกับวิถีชีวิตสามีภรรยาแบบนี้ รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว ขนาดเวลากินยังเหนื่อยเลย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เขายังไม่คุ้นชินกับวิถีชีวิตที่มีคนมานั่งกินข้าวกับเขาอย่างใกล้ชิดสนิทสนม ถึงแม้ทั้งสองจะเป็นสามีภรรยากันมาแล้วหลายร้อยปี แต่เวลาที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันจริงๆ ยังไม่เยอะ ทั้งสองยังต้องใช้เวลาเพื่อปรับตัวเข้าหากัน
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ นิสัยเดิมของอวิ๋นจือชิวก็กำเริบอีกแล้ว นางเคยชินกับการอาบน้ำวันละสองครั้ง ขอเพียงไม่มีกิจธุระจำเป็น นางก็จะบังคับเหมียวอี้ด้วย ให้เขารีบไปอาบน้ำ
เห็นแก่ที่นางทำอาหารดีๆ ไว้เต็มโต๊ะ เหมียวอี้จึงไม่เถียงอะไรมาก ตอนกำลังจะเดินไปที่ห้องอาบน้ำ แต่กลับโดนอวิ๋นจือชิห้ามไว้ “ไปอาบกับเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์แล้วกัน คืนนี้ก็นอนกับพวกนาง ข้าจะฝึกตน ไม่ว่างมาปรนนิบัติเจ้า!”
หญิงรับใช้ทั้งสองหน้าแดงทันที ก้มหน้าจะจัดเก็บโต๊ะอาหาร แต่อวิ๋นจือชิวบอกว่า “พวกเจ้าไม่ต้องเก็บหรอก ไปกับนายท่านเถอะ เดี๋ยวตรงนี้มีคนทำให้” พูดจบก็เรียกนางในสองคนเข้ามา
ดังนั้นคืนนี้ประมุขปราสาทเหมียวจึงสำราญบานใจมาก เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ต้องทำตามที่เขาต้องการแน่นอน และไม่กล้าควบคุมเขาด้วย กอปรกับการที่ทั้งสองถูกอบรมสั่งสอนเรื่องปรนนิบัติผู้ชายมาตั้งแต่เด็ก ย่อมปรนนิบัติประมุขปราสาทเหมียวได้ถึงอกถึงใจอยู่แล้ว…
เพียงแต่วันต่อมา เหมียวอี้ก็ยังต้องไปที่ห้องหนังสือแต่โดยดี ไปคัดตัวอักษรสองร้อยตัวนั้น ส่วนอวิ๋นจือชิวก็นำน้ำแกงที่เคี่ยวใส่สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์มาให้ชามหนึ่ง ให้เขาดื่มก่อนแล้วค่อยเขียน แน่นอนว่านางไม่ลืมที่จะพูดหยอกล้อ บอกว่าช่วงนี้ร่างกายของนายท่านคงจะขาดสารอาหารอย่างหนัก ต้องบำรุงมากๆ หน่อย
ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องส่วนตัว อวิ๋นจือชิวมีพื้นเพมาจากนภาจอมมาร เรียกได้ว่าอยากพูดอะไรก็พูดออกมาหมด
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ย่อมหน้าแดงเหมือนก้นลิง เหมียวอี้กลับไม่เป็นอะไร ผู้ชายก็เป็นแบบนี้เหมือนกันทั้งโลก ขอแค่ไม่ไปทำซี้ซั้วข้างนอก การหาความสุขในบ้านก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เดิมทีเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็เป็นผู้หญิงของเขาอยู่แล้ว ไม่มีอะไรน่าเขินอาย
ค่านิยมของสังคมไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ชายเท่านั้น ส่งผลกระทบต่อผู้หญิงด้วยเหมือนกัน ภายใต้ค่านิยมอันสมเหตุสมผลที่ฝังรากลึก สำหรับสิ่งนี้ อวิ๋นจือชิวไม่คิดว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง นางคิดว่าการที่เหมียวอี้ไปนอนกับเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์คือเรื่องที่สมควรเหมือนกัน
เป็นอย่างที่อวิ๋นจือชิวบอก ช่วงสองสามวันนี้ร่างกายของประมุขปราสาทเหมียวขาดสารอาหารอย่างรุนแรงจริงๆ แต่เขาไปนอนกับเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์แค่คืนนั้น สองคืนต่อมายังคงนอนในห้องหลัก ทุ่มเทพลังไปกับร่างกายของอวิ๋นจือชิว เป็นเพราะผลจากค่านิยมในสังคมเช่นเดียวกัน เหมียวอี้เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ต้องสร้างความสมดุลให้ความสัมพันธ์ในบ้าน เวลาไหนที่ควรจะทุ่มเทพลังกายกับภรรยาเอก เขาก็ต้องทุ่มเทพลังกายกับนาง ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปได้ว่าเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์จะโดนภรรยาเอกกำจัดทิ้ง ถ้ายั่วให้อวิ๋นจือชิวโมโหขึ้นมา เหมียวอี้ก็เชื่อว่านางทำแบบนั้นได้
สิ่งที่เรียกว่าผ่อนคลายสามวัน จู่ๆ เหมียวอี้ก็พบว่าวันคืนแบบนี้ก็ไม่ได้แย่ อวิ๋นจือชิวปรนนิบัติเขาได้อย่างเหมาะสม วันไหนที่ไม่ได้ฝึกตน นางก็จะลงมือทำอาหารให้เขาสามมื้อด้วยตัวเอง
หลังจากนั้นสามวัน อวิ๋นจือชิวก็บังคับให้เหมียวอี้ไปฝึกตน แต่เหมียวอี้ก็มีเหตุผลมาอ้างอีกแล้ว บอกว่าตัวเองไม่ได้กลับมาที่นี่หลายปี ต้องไปเยี่ยมเยียนสหายเก่าบ้าง จากนั้นก็จะไปที่นภาจอมมารด้วย
พอเขาอ้างเหตุผลนี้ขึ้นมา อวิ๋นจือชิวก็ลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คัดค้าน เพียงเสนอเงื่อนไขขึ้นมา นั่นก็คือต้องพานางไปด้วย พร้อมทั้งต้องพาฉินเวยเวยไปด้วย
เหมียวอี้ย่อมแปลกใจ เพราะพานางไปคนเดียวก็พอแล้ว จึงถามว่า “พาฉินเวยเวยไปด้วยทำไม?”
“เรื่องระหว่างผู้หญิง เจ้าไม่เข้าใจหรอก ไม่เกะกะธุระของเจ้าหรอกน่า เชื่อฟังข้าน่ะถูกต้องแล้ว อย่างน้อยระหว่างทางก็มีคนคอยเล่นหมากล้อมกับเจ้า ไม่ดีเหรอ?”
ดังนั้น เกี้ยวหลังหนึ่งจึงเหาะออกจากปราสาท ช่างไม้และช่างหินยังคงหามเกี้ยวเหมือนเดิม อวิ๋นจือชิวยังคงนอนอยู่ในมุ้ง เหมียวอี้นั่งด้านนอกเกี้ยว ทุกคนรู้สึกว่าภาพนี้ดูคุ้นตาเหมือนเคยเกิดขึ้นมาก่อน…
ประมุขปราสาทและฮูหยินมาหาด้วยตัวเอง ฉินเวยเวยย่อมรู้สึกตกตะลึง หลังจากรู้ว่าต้องการจะพานางไปเยี่ยมเยียนแขกด้วยกัน นางก็ตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม แต่ในเมื่อฮูหยินเอ่ยปากแล้ว นางก็ไม่มีทางปฏิเสธได้ ทำได้เพียงร่วมทางไปด้วยกัน
เกี้ยวหลังงามเหาะอยู่บนฟ้า เหมียวอี้กับฉินเวยเวยแข่งหมากล้อมกัน ส่วนอวิ๋นจือชิวก็นั่งหันหลังพิงเหมียวอี้ ปากขยับพึมพำร้องเพลงเบาๆ ปล่อยให้ผ้ามุ้งบางปลิวปะทะหน้า
พวกเขาไปไปเยี่ยมเยียนซือคงอู๋เว่ยกับเถาชิงหลีที่อยู่ใกล้ก่อน จากนั้นก็ไปหาจ้าวเฟยกับอูเมิ่งหลัน ส่วนทางด้านกู่ซานเจิ้ง ถานเล่า เย่ซิน พวกเขาก็ไปเยี่ยมเยียนเช่นกัน จากนั้นก็ไปเยี่ยมพี่ใหญ่ร่วมสาบานทั้งสี่ที่ทะเลดาวนักษัตร
พวกเขามาค้างที่ทะเลดาวนักษัตรหลายวัน เหมียวอี้คุยกับปีศาจเฒ่าทั้งสี่นานมาก เมื่ออยู่กับประมุขถิ่นสี่ทิศจะคุยเรื่องอะไรได้ล่ะ ทั้งสี่ย่อมสนใจพิภพใหญ่อยู่แล้ว ถามเขาว่าหลายร้อยปีมานี้ไปพิภพใหญ่มาใช่มั้ย
เหมียวอี้บอกทั้งสี่ว่า เขาไปพิภพใหญ่มาแล้วจริงๆ แต่เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด เพราะโดนขังที่ค่ายกลมารโลหิตหลายร้อยปี โชคดีที่ได้เจอคนของปราสาทดำเนินนภา อีกฝ่ายสามารถสู้กับปีศาจโลหิต ตนถึงได้หนีรอดชีวิตกลับมาได้ หลังจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ที่พิภพใหญ่โดนปล้น ข่าวสารก็ยังน่ากังวลมาก มีการสืบค้นตรวจสอบอยู่ทั่วทุกที่ เขาเองก็ยังไม่กล้าไปเหมือนกัน ให้ทั้งสี่ล้มเลิกความคิดที่จะไปพิภพใหญ่เอาไว้ชั่วคราว
จากนั้นปีศาจเฒ่าทั้งสี่ก็พาเหมียวอี้ไปยังตำหนักประมุขถิ่นกลาง ตำหนักนี้สร้างได้งดงามหรูหราจริงๆ ปีศาจเฒ่าใช้ความคิดไปมากจริงๆ ทั้งยังขอความเห็นจากอวิ๋นจือซ้ำแล้วซ้ำอีก ตำหนักนี้ตั้งอยู่บนยอดภูเขาหิมะสูง ใหญ่โตโอ่อ่า ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังพุ่งขึ้นฟ้า
ที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือ ด้านหลังของตำหนักประมุขถิ่นกลางเป็นภูเขาสูงและทะเลสาบ ที่นั่นเป็นฤดูใบไม้ผลิทั้งปี เป็นทิวทัศน์ที่งดงามไร้ที่สิ้นสุดอย่างแท้จริง ราวกับอยู่ในผ้าแพรลายดอกไม้ เพียงแต่สองสามีภรรยายังไม่ได้เข้ามาอาศัยอยู่ที่นี่ ตำหนักประมุขถิ่นกลางว่างมาตลอด มีปีศาจกลุ่มหนึ่งคอยรับผิดชอบเฝ้าดูแลและงานทำความสะอาดประจำวัน
ตอนที่เดินมาถึงริมทะเลสาบพร้อมกับอวิ๋นจือชิวและฉินเวยเวย เหมียวอี้ก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ ถ้ามีปัจจัยพร้อมก็นำค่ายกลแปดทิศมาใช้ที่นี่ ล้อมรัศมีของที่นี่ไว้สักสิบลี้ แล้วส่งคนมาคอยเฝ้าดูแล เวลาที่อยากมาอยู่ก็ค่อยมาอยู่”
อวิ๋นจือชิวกำลังเดินคู่อยู่กับฉินเวยเวย นางเหลือบมองเหมียวอี้ที่เดินเอามือไขว้หลังอยู่ข้างหน้าแวบหนึ่ง แล้วพูดหยอกล้อว่า “ถ้าเลี้ยงอนุภรรยาไว้อีกสักสองสามคนก็ดีกว่าใช่มั้ยล่ะ?”
เหมียวอี้ไอแห้งๆ แล้วเตือนว่า “ปากไม่มีหูรูด เดี๋ยวเวยเวยได้ยินเรื่องน่าหัวเราะเยาะหรอก”
อวิ๋นจือชิวพ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “เจ้าอย่าพูดไปเลย ถ้าเจ้าแต่งคนอื่นมาเป็นอนุภรรยา ข้าก็ไม่ยอมรับหรอก แต่ถ้าเจ้าแต่งกับเวยเวยน้องสาวข้า ข้าก็จะสนับสนุนแน่นอน!”
ฉินเวยเวยหน้าแดงเรื่อทันที เรียกได้ว่าเขินอายมากจริงๆ นางแอบมองปฏิกิริยาของเหมียวอี้โดยจิตใต้สำนึก
“แค่กๆ!” เหมียวอี้กำหมัดไอแห้งๆ แล้วเตือนว่า “ฮูหยิน ถ้าพูดจาเหลวไหลอีก ระวังจะมีเรื่องกับผู้การใหญ่หยางนะ!”
“ข้าไม่ได้พูดขาเหลวไหลนะ ขอแค่เวยเวยตอบตกลง ข้าก็จะจัดงานให้พวกเจ้าสองคนทันที นิสัยอย่างเจ้าน่ะ ถ้าเวยเวยชอบก็แปลกแล้ว” อวิ๋นจือชิวพูดดูถูกเขา แล้วหันมาถามฉินเวยเวยว่า “น้องสาว เจ้าคิดเหมือนกันมั้ย?”
ฉินเวยเวยหน้าแดงก่ำ อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
ส่วนเหมียวอี้ก็ส่ายหน้า รับมือกับผู้หญิงบ้าคนนี้ไม่ไหว นางกล้าพูดทุกอย่างที่คิดจริงๆ
หลังจากออกจาตำหนักประมุขถิ่นกลาง เหมียวอี้รู้สึกกังวลใจอยู่บ้าง ไม่มีอารมณ์เล่นหมากล้อมกับฉินเวยเวยแล้ว ตอนนี้ต้องไปนภาจอมมารแล้ว ต้องไปเข้าพบปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน ท่านนั้นคือยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งพิภพเล็ก ไม่รู้ว่าจะมีบุคลิกท่าทางอย่างไร ไม่รู้ด้วยว่าจะมองหลานเขยคนนี้อย่างไร!