ที่จริงแล้ว คนที่เกาเหยียนอยากแต่งงานด้วยมากที่สุดก็คือก่วงเม่ยเอ๋อร์ ด้วยความงามของก่วงเม่ยเอ๋อร์ แค่มองปราดเดียวก็ทำให้เขาใจเต้นแล้ว มองเป็นร้อยครั้งก็ไม่เบื่อ กอปรกับที่เป็นลูกสาวของอ๋องสวรรค์ก่วง เมื่อแต่งงานด้วยแล้วย่อมได้ผลประโยชน์เยอะมาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงตั้งใจไปเร้าหรือท่านป้าเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย และแม่ซื้อของเขาก็เคยไปหาท่านอ๋องเพื่อคุยเรื่องมงคลแล้ว แต่รายละเอียดเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ สุดท้ายท่านป้าบอกเขาว่าให้ตัดใจ ก่วงเม่ยเอ๋อร์เหมือนไข่มุกล้ำค่าให้มือท่านอ๋อง ไม่ใช่ทุกคนที่มีสิทธิ์จะแต่งงานกับนางได้ จะเก็บไว้รอขายตอนราคาขึ้น!
เกาเหยียนเองก็เข้าใจความหมายแฝงในคำพูดเช่นกัน นั่นก็คือท่านอ๋องดูถูกเขา ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้หญิงคนอื่นเขาคงใช้วิธีการแข็งกร้าวแน่นอน แต่นี่คือลูกสาวของท่านอ๋อง ต่อให้เขาใจกล้ากว่านี้อีกหมื่นเท่าก็ไม่กล้าทำซี้ซั้ว นอกเสียจากเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วเท่านั้น ทำได้เพียงมองบ้างเป็นบางครั้งเพื่อดับความกระหาย
ส่วนร้านขายของชำซื่อตรง ทุกวันนี้ถือเป็นธุรกิจที่หาได้ยากในใต้หล้า ถ้าได้มาควบคุม แค่คิดก็รู้ถึงทรัพยากรที่จะได้แล้ว เกาเหยียนย่อมยินดีปรีดา ส่วนจะชอบหรือไม่ชอบเป่าเหลียนนั้นไม่สำคัญ แต่งงานมีฮูหยินเอกสักคนก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคกับการรับอนุภรรยา ถ้าสามารถควบคุมช่องทางรายได้นี้ให้ตระกูลก่วงได้ ต่อให้ไม่ได้เป็นขุนนางตำหนักสวรรค์ แต่ในภายหลังตระกูลก่วงก็จะมีเส้นทางอื่นให้เดิน ท่านป้าเรียกได้ว่าลำบากลำบนทำให้ด้วยใจ ดังนั้นหลังจากเกาเหยียนเข้าใจแล้วก็ขอบคุณท่านป้าไม่หยุด ขอบคุณที่ตั้งใจจัดการเรื่องนี้ให้
ทว่าสำนักลมปราณกลับอ่านสถานการณ์ไม่ออก บ่ายเบี่ยงเรื่องนี้มาโดยตลอด ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงมาด้วยตัวเองแล้ว
ทางตระกูลก่วงถึงขั้นส่งยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์มาคุมสถานการณ์ ไม่ต้องบอกก็เข้าใจแล้ว การที่สามารถใช้ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ได้ เกาเหยียนก็มีความมั่นใจทันที เห็นได้ชัดว่านี่คือความคิดของลุงเขย ถ้าไม่มีลุงเขยอนุญาตก็ไม่มีทางเป็นไปได้
ตอนที่พวกเขามาถึงนอกประตูใหญ่ของสำนักลมปราณ เกาเหยียนก็มองไปรอบๆ อีกครั้งพร้อมกล่าวชม “เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ!” ที่จริงแล้วปากก็พูดไปอย่างนั้นเอง อาศัยฐานะของเขา เคยพบเจอสถานที่ดีมาแล้วมากมาย ทิวทัศน์ธรรมชาติของที่นี่ก็เป็นแค่สภาพแวดล้อมที่เลวร้ายสำหรับเขาเท่านั้น ทว่ากำลังจะมาสู่ขออีกฝ่าย ก็ย่อมต้องแสดงท่าทีอันดีงามอยู่แล้ว
“เชิญ!” อวี้หลิงเจินเหรินยื่นมือเชิญอีกครั้ง
ตอนนี้เกาเหยียนถึงได้หันตัวเดินตามเข้ามาในตำหนักใหญ่ ทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งเฝ้าอยู่ด้านนอก ข้างกายมีผู้ติดตามเข้าไปด้วยสองคนเท่านั้น
หลังจากเข้ามานั่งในตำหนักใหญ่และวางน้ำชาแล้ว เกาเหยียนก็ไม่ชักช้า พอเอ่ยปากก็เข้าประเด็นเลย “เจ้าสำนักอวี้หลิง เรื่องของผู้น้อยกับเป่าเหลียน ไม่ทราบว่าสำนักของท่านพิจารณาไปถึงไหนแล้ว?”
นึกไม่ถึงว่าจะตรงไปตรงมาขนาดนี้! อวี้หลิงเจินเหรินฝืนยิ้มพร้อมตอบว่า “นายท่านเกาเดินทางมาไกล ดาวไร้ลักษณ์แห่งนี้แม้จะจืดชืด แต่ก็มีสถานที่ที่น่าสนใจเช่นกัน ไม่สู้ให้ข้าไปเดินเล่นเป็นเพื่อนนายท่านเกาสักหน่อยดีมั้ย?”
ฟังออกแล้วว่ากำลังปฏิเสธ เกาเหยียนเลิกคิ้ว เก็บพัดในมือ แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “เรื่องเที่ยวชมธรรมชาติเอาไว้คุยกันทีหลังก็ได้ หลังจากเรื่องของผู้น้อยกับเป่าเหลียนสมหวังแล้ว ในภายหลังดาวไร้ลักษณ์ก็ย่อมเป็นบ้านของตัวเอง อยากจะมาเที่ยวเล่นเมื่อไรก็ได้ ยังกลัวจะไม่มีโอกาสอีกหรือ?” พอเขากระดกพัดไปข้างหลัง ลูกน้องคนหนึ่งก็นำบัตรเชิญหนึ่งฉบับและกำไลเก็บสมบัติหนึ่งวงออกมาทันที แล้วใช้สองมือยื่นให้ตรงหน้าอวี้หลิงเจินเหริน
“นี่คือ…” อวี้หลิงเจินเหรินลุกขึ้นอย่างลังเล
เกาเหยียนก็ลุกตามเช่นกัน ใช้พัดชี้พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สินสอด!”
ศิษย์สำนักลมปราณที่อยู่ใต้ตำหนักได้ยินแล้วสีหน้าเปลี่ยนกันหมด นี่จะมัดมือชกกันชัดๆ!
“นายท่านเกา เป่าเหลียนเป็นผู้หญิงชาวป่าชาวเขา ไม่เหมาะกับท่านจริงๆ!” อวี้หลิงเจินเหรินปฏิเสธอ้อมๆ เขาจะกล้ารับสิ่งนี้ได้อย่างไร ถ้ารับสินสอดนี้ไว้แล้ว เกรงว่าต่อให้อยากถอยก็ถอยไม่ทันแล้ว จะไปล้อเล่นกับคนในครอบครัวอ๋องสวรรค์ก่วงได้อย่างไร
ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ที่เกาเหยียนพามาด้วยก้าวตามเกาเหยียนขึ้นมาข้างหน้า เกาเหยียนกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เหตุใดเจ้าสำนักต้องเหยียบย่ำหลานสาวตัวเองขนาดนี้ ข้าจริงใจกับเป่าเหลียนจริงๆ ในสายตาผู้น้อยเป่าเหลียนคือคนที่พิเศษไม่เหมือนใคร เจ้าสำนักได้โปรดช่วยให้สมปรารถนา!” พูดจบก็โค้งตัวกุมหมัดคารวะค้างไว้นานมาก
อวี้เลี่ยนเจินเหรินที่อยู่ข้างๆ ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว กล่าวเสียงเย็นว่า “เกรงว่านายท่านเกาคงไม่เคยเห็นแม้กระทั่งหน้าของเป่าเหลียนกระมัง? พุ่งเป้ามาที่ร้านขายของชำซื่อตรงก็บอกมาตรงๆ”
“ศิษย์น้อง!” อวี้หลิงเจินเหรินสีหน้าเปลี่ยนและตะคอกทันที เรื่องบางอย่างทำให้คลุมเครือไว้บ้างจะดีกว่า ถ้าเจาะรูกระดาษหน้าต่างหมดก็จะไม่มีทางหนีทีไล่แล้ว
เป็นอย่างที่คาดไว้ รอยยิ้มบนใบหน้าเกาเหยียนหายไปแล้ว เจ้าตัวค่อยๆ ยืนตัวตรง แล้วจ้องอวี้เลี่ยนเจินเหรินพร้อมบอกว่า “อาหารน่ะกินมั่วได้ แต่จะพูดจามั่วๆ ไม่ได้หรอกนะ แน่นอน ถ้าท่านดึงดันจะคิดอย่างนี้ ข้าเองก็ช่วยอะไรไม่ได้”
อวี้หลิงเจินเหรินรีบหันตัวมา “นายท่านเกา ข้ารับรู้ถึงน้ำใจของท่านแล้ว แต่ท่านอาจจะยังไม่รู้ ว่าเป่าเหลียนเคยเป็นลูกน้องคนสนิทผู้ตรวจการใหญ่หนิวโหย่วเต๋อ ข้างนอกมีข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับเป่าเหลียน พวกเราเองก็กังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของนายท่านเช่นกัน”
เขาเองก็หมดทางเลือดแล้ว ถึงได้อ้างชื่อเหมียวอี้ออกมา ตอนที่เกาเหยียนเริ่มกวนใจ ทางฝั่งนี้ก็ติดต่อตระกูลอิ๋งแล้ว แต่ตระกูลอิ๋งกลับแสดงท่าทีว่าฐานะของเกาเหยียนไม่ได้ทำให้เป่าเหลียนเสียศักดิ์ศรี หน้าตาก็ไม่ได้แย่ เหมาะสมกับเป่าเหลียนจนเหลือเฟือ เป็นผลดีต่อสำนักลมปราณเช่นกัน นี่คือเรื่องดี!
ทางนี้จึงท้อใจไปแล้วครึ่งหนึ่ง สำนักลมปราณถูกควบคุมอยู่บนอาณาเขตของตระกูลอิ๋ง แม้แต่ตระกูลอิ๋งก็ยังไม่ปกป้อง แค่คิดก็รู้แล้วว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ทางนี้จึงติดต่อไปหาตระกูลฮ่าว ตระกูลโค่วและตระกูลเซี่ยโห้ว ผลปรากฏว่าไม่รู้เพราะอะไร ตระกูลฮ่าวกับตระกูลโค่วถึงไม่อยากเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ แสดงท่าทีคลุมเครือ ส่วนตระกูลเซี่ยโห้ว หลังจากรู้เรื่องนี้แล้วก็ให้ฝั่งนี้อาศัยฝีมือตัวเองเพื่อตักตวงความสุข ฝั่งนั้นรับประกันแล้วว่าจะไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของตระกูลเซี่ยโห้ว ตระกูลเซี่ยโห้วจึงไม่จำเป็นต้องก่อเรื่องเพื่อสำนักลมปราณ อย่างไรเสียคนที่ลงมือด้วยก็ไม่ใช่คนทั่วไป ซ้ำยังไม่รู้ชัดเจนด้วยว่าตระกูลเหล่านั้นร่วมมือกันหรือเปล่า
สุดท้ายจึงทำได้เพียงติดต่อหาสมาคมวีรชน ทว่าสมาคมวีรชนก็ไม่อยากเข้ามาก้าวกายเรื่องนี้เช่นกัน ทั้งยังไม่แน่ใจด้วยว่าตระกูลเหล่านั้นร่วมมือกันหรือไม่ แต่หลังจากนั้นจู่ๆ สมาคมวีรชนก็ติดต่อมาทางนี้อีก บอกว่าเป่าเหลียนเคยเป็นลูกน้องของหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่หรือ? ให้สำนักลมปราณลองอ้างชื่อหนิวโหย่วเต๋อดูสิ นี่ก็คือสาเหตุที่อวี้หลิงเจินเหรินพูดอย่างนี้ออกมาในตอนนี้
และสิ่งที่ทำให้สำนักลมปราณลำบากกว่านั้นก็คือ หลังจากชีอู๋เจินเหรินทราบเรื่อง ก็แข็งใจถอดฐานะขุนนางตำหนักสวรรค์ของเป่าเหลียนเสียเลย ให้นางกลับสำนักลมปราณ จะได้ไม่ถูกฐานะของทัพตะวันออกควบคุม แต่ใครจะคิดว่าหลังจากนั้นชีอู๋เจินเหรินจะถูกกักบริเวณ เห็นได้ชัดว่ากำลังกดดันสำนักลมปราณ
“หนิวโหย่วเต๋อ?” เกาเหยียนแสร้งถามเหมือนแปลกใจ มองซ้ายมองขวาแล้วถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อคือคนไหน?”
จะแต่งงานกับเป่าเหลียน มีหรือที่จะไม่เคยได้ยินว่าเป่าเหลียนเคยทำงานรับใช้อยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ ว่ากันตามจริง เขาหวั่นเกรงหนิวโหย่วเต๋อมาก เพราะเจ้าเวรนั่นมันเป็นคนบ้า ทั้งยังเป็นคนบ้าที่มีความสามารถมากด้วย เป็นคนที่กล้าใช้กำลังปะทะกับทัพตะวันออกห้าล้าน เขาหวาดกลัวนิดหน่อย เหมือนจะได้ยินข่าวลือว่าแม้แต่อิ๋งอู๋หม่าน ลูกชายของอิ๋งจิ่วกวงก็ยังโดนเขาฆ่าทิ้งแล้ว ทั้งยังเคยสังหารหลานชายอ๋องสวรรค์อิ๋งต่อหน้าฝูงชน ภูมิหลังเส้นสายอันน้อยนิดของเขานี้ เอาไว้ใช้ขู่คนอื่นก็ยังพอไหว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหนิวโหย่วเต๋อเขาก็ไม่มีความมั่นใจนั้นเลยจริงๆ!
ยังเป็นท่านป้าที่ปลอบให้เขาสงบใจ บอกว่าในเมื่อฝั่งนี้ให้เขาไปแล้ว ก็ย่อมแสดงว่าเคยแอบสังเกตุการณ์มาแล้ว แม้แต่ศิษย์สำนักลมปราณยังบอกเลยว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ไปมาหาสู่กับสำนักลมปราณนานแล้ว เป็นเพราะในปีนั้นสำนักลมปราณเห็นว่าหนิวโหย่วเต๋อมีปัญหาติดตัว จึงเป็นฝ่ายรักษาระยะห่าง แม้แต่เป่าเหลียนก็ยังถูกชีอู๋เจินเหริน เจ้าสำนักลมปราณคนก่อนรับกลับมาจากตำหนักคุ้มเมืองด้วยตัวเอง ตั้งแต่นั้นมาทั้งสองฝ่ายก็เกิดช่องว่างต่อกันแล้ว ไม่ได้ไปมาหาสู่กันอีก
ข่าวที่สืบมาก็เป็นเรื่องจริง เพียงแต่สถานการณ์ของเหมียวอี้ในปีนั้น แม้แต่จะเอาตัวรอดก็ยังยาก จึงไม่อยากทำให้สำนักลมปราณลำบากไปด้วย จึงปล่อยข่าวพวกนั้นออกมา ที่จริงในปีนั้นเป่าเหลียนก็ไม่ได้อยากหนีออกจากข้างกายเหมียวอี้
ผู้ติดตามที่ถือสินสอดอยู่ข้างๆ กล่าวด้วยรอยยิ้มทันที “ไม่เคยได้ยินเลย”
อวี้หลิงเจินเหรินรีบพูดเสริมว่า “ก็หัวหน้าภาคแดนรัตติกาลไง หนิวโหย่วเต๋อที่ช่วงนี้สร้างผลงานปราบโจรที่สระน้ำมังกรดำ เพิ่งเลื่อนขั้นเป็นผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์”
“อ้อ! ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง ข้าก็ยังนึกว่าใครเสียอีก หนิวโหย่วเต๋อนับเป็นตัวอะไรล่ะ จะมายุ่งเรื่องแต่งงานของข้าเชียวหรือ?” เกาเหยียนกล่าวเหยียดหยามพลางหัวเราะ คิดในใจว่า นี่เจ้ากำลังขู่ใคร ในปีนั้นที่พวกเจ้าจงใจจะตัดสัมพันธ์กับหนิวโหย่วเต๋อเพื่อปกป้องตัวเอง คิดว่าข้าไม่รู้เหรอ ดึงอีกฝ่ายมาตีสนิทแบบนี้ หนิวโหย่วเต๋อจะสนใจเหรอว่าพวกเจ้าเป็นใคร?
อวี้หลิงเจินเหรินแอบตกใจ อีกฝ่ายไม่เห็นหนิวโหย่วเต๋ออยู่ในสายตาเลย วันนี้เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาแล้ว
ทุกวันนี้สำนักลมปราณนับว่าเป็นสำนักที่ใหญ่อันดับหนึ่งของดาวไร้ลักษณ์ มีกำลังทรัพย์ของร้านขายของชำซื่อตรงคอยสนับสนุน ต่อให้เทียบขนาดสำนักกับทั้งใต้หล้า ก็ถือว่าไม่เล็กแล้ว อาจเป็นเพราะผงาดขึ้นมาพรวดพราดเกินไป ขาดคนที่มีอำนาจมาคอยคุมสถานการณ์ในตำหนักสวรรค์ แค่เพราะรากฐานยังไม่หนาพอ ยามเผชิญหน้ากับอิทธิพลนี้ก็ไม่กล้าแม้แต่จะพูดเสียงดังด้วยซ้ำ อีกฝ่ายไม่เล่นงานเจ้าก็แล้วไป ถ้าจะเล่นงานขึ้นมา เจ้าก็ไม่มีแม้แต่ทางถอยด้วยซ้ำ
ในใจอวี้หลิงเจินเหรินเรียกได้ว่าเศร้าสร้อบ แต่บรรทัดฐานของสำนักลมปราณยังมีอยู่ เขายังกัดฟันบอกว่า “นายท่านเกา เรื่องนี้ยังต้องให้ทั้งสองฝ่ายยินยอมพร้อมใจ”
เกาเหยียนกล่าวเสียงเรียบว่า “การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ คำสั่งของพ่อแม่ คำพูดของท่านป้า ผู้อาวุโสสามารถตัดสินใจแทนได้ ถ้าเจ้าสำนักปฏิเสธออีก ก็แสดงว่ารังเกียจที่เกาผู้นี้ไม่เหมาะสมกับหลานสาวท่านใช่มั้ย?”
อวี้หลิงเจินเหรินโบกมือ “ไม่ได้หมายความอย่างนี้เลย เพียงแต่เรื่องนี้กะทันหันเกินไป เพราะเราไม่ได้เตรียมตัวเลยสักนิด…”
เกาเหยียนพูดตัดบทว่า “ที่กล่าวมาก็มีเหตุผล เอาอย่างนี้แล้วกัน รีบร้อนเกินไปคงไม่เหมาะจริงๆ ให้เวลาเจ้าสำนักพิจารณาหนึ่งวัน พวกเราจะรออยู่ที่นี่ คาดว่าสำนักลมปราณคงไม่ถึงขั้นไร้ที่พักรับรองแขกหรอกใช่มั้ย” ไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายปฏิเสธอีกเลย เขาชี้พัดไปที่โต๊ะน้ำชา ผู้ติดตามที่อยู่ข้างกายนำสินสอดมาวางบนโต๊ะทันที
เกาเหยียนหันตัวเดินออกไปแล้ว กางพัดออกแล้วโบกพัดขณะเดินออกจากตำหนักใหญ่ กล่าวด้วยน้ำเสียงเริงร่าว่า “มาที่นี่เป็นครั้งแรก อยากจะตั้งใจเที่ยวชมสถานที่อันล้ำค่าแห่งนี้จริงๆ ใช่แล้ว แม่นางเป่าเหลียนอยู่ที่ไหน?”
“เจ้า…” อวี้เลี่ยนเจินเหรินเดือดดาลราวกับถูกไฟเผา อยากจะพุ่งเข้าไปต่อว่าต่อขาน แต่กลับถูกอวี้หลิงเจินเหรินพาดแขนขวางหน้าอกไว้ แล้วส่ายหน้าช้าๆ บอกใบ้ว่าอย่าวู่วาม
ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ที่อยู่ข้างหลังเกาเหยียนหันขวับ ใช้สายตาเย็นเยียบจ้องอวี้เลี่ยนเจินเหรินที่จะพุ่งเข้ามา ลักษณะท่าทางข่มขวัญทั้งตำหนักใหญ่…
ไร่ศักดิ์สิทธิ์ ใต้ร่มไม้ของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เต๋อสือ นักพรตเต๋าตาเหล่ที่คุมไร่ศักดิ์สิทธิ์กำลังนั่งกางขาอยู่บนกิ่งไม้ เอนตัวพิงต้นไม้พลางกอดน้ำเต้าสุรากระดกดื่ม “เอิ๊ก” เขาเรอหนึ่งที แล้วใช้น้ำเต้าสุรากระแทกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
เต๋อหมิงที่นั่งกอดน้ำเต้าสุราอยู่ข้างๆ เหมือนกันผลักออก เรอหนึ่งทีแล้วบอกว่า “เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว”
ชายตาเหล่ยังคงใช้น้ำเต้าสุราตีแขนเขา “ศิษย์พี่ ลูกสาวท่านมาแล้ว”
“อืม?” เต๋อหมิงที่สะลึมสะลือลืมตามอง เห็นเงาคนรางๆ เดินเข้ามา ร่องตาเริ่มเบิกกว้างทีละนิด พบว่าเป็นเป่าเหลียนถูกสาวของตัวเองจริงๆ ด้วย เขาถอนหายใจ แล้วกระดกดื่มน้ำตาสุราต่อไป ไม่เศร้าโศกและไม่ยินดี
เป่าเหลียนถือไหสุราเดินเข้ามาสองใบ นางมองบิดาตัวเองด้วยสีหน้าหลากความรู้สึก นี่คือคนที่คุมร้านขายของชำซื่อตรงในปีนั้น ตอนนี้กลับแต่งตัวมอมแมมราวกับขอทาน
“เป่าเหลียนมาแล้วเหรอ เอาสุรามาส่งใช่มั้ย?” ชายตาเหล่ทักทายด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
ทว่าเป่าเหลียนกลับนั่งลงข้างกัน นางเอาเยี่ยงอย่างพวกเขาบ้าง นั่งลงบนกิ่งไม้นั่น วางไหสุราใบหนึ่งไว้ ถือไหอีกใบขึ้นมาเปิดจุก แล้วอุ้มให้ขึ้นมาเงยหน้ากระดกดื่มหลายอึก
……………
Related