“ใช่ ท่านแม่พูดถูก” ก่วงจวินอันพยักหน้า
จากนั้นก็เดินตามออกจากแปลงดอกไม้ แล้วรีบก้าวเข้ามาประคองมารดาเดินขึ้นบันได แล้วเดินเล่นช้าๆ อยู่ใต้ชายคาระเบียงด้วยกัน
ในขณะนี้เอง มีหญิงรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาแล้ว ถ่ายทอดเสียงบอกเกาจื่อเซวียนสองสามประโยค เกาจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วโบกมือบอกใบ้ให้สาวใชถอยออกไป
พอมองออกว่ามารดาดูไม่สบอารมณ์ ก่วงจวินอันก็ถามว่า “เป็นอะไรไป?”
เกาจื่อเซวียนตอบบเบาๆ “ท่านพ่อเจ้าไปหาหวังเฟยแล้ว เป็นฮูหยินเอกจริงๆ ด้วย ข้าแก่แล้วเทียบไม่ติดหรอก”
ก่วงจวินอันแอบถอนหายใจ การที่มารดาไม่ได้เป็นฮูหยินเอก กลายเป็นปมด้อยที่ใหญ่ที่สุดของเขา แต่ก็ยังพูดปลอบใจด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านแม่ล้อเล่นแล้ว ลูกว่าท่านสวยที่สุดในจวนท่านอ๋องแล้ว ผู้หญิงที่แต่งตัวฉูดฉาดพวกนั้นก็แค่สวยแต่รูป ท่านพ่อไม่ใช่คนเลอะเลือน ในใจย่อมมีแผนการ ก็แค่ลิ้มลองของใหม่ก็เท่านั้นเอง สุดท้ายก็ไม่ลืมที่จะมาหาท่านที่นี่”
“มีแต่เจ้าที่ปากหวาน!” เกาจื่อเซวียนกลอกตามองเขา แต่บนใบหน้ากลับเผยรอยยิ้ม คำพูดของลูกชายใช้ได้ผล ความจริงก็เป็นอย่างนี้ ในจวนท่านอ๋องมีผู้หญิงขึ้นๆ ลงๆ มากมาย แต่นางกลับไม่เคยได้รับความชุ่มฉ่ำจากท่านอ๋องน้อยลงเลย
ทางด้านห้องหลัก หวังเฟยเม่ยเหนียงถอดเปลี่ยนชุดลำลองให้ก่วงลิ่งกง
ก่วงลิ่งกงที่จัดเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วมองไปรอบๆ “เม่ยเอ่อร์ นางหนูนั่น ปกติถ้าข้ามาก็จะกระโดดโลดเต้นเข้ามาแล้ว ทำไมวันนี้ไม่เห็นเลย?”
เม่ยเหนียงถอนหายใจ “นางหนูนั่นไม่เชื่อฟัง ทำให้ข้าโมโห ข้าก็เลยต้องขังนางไว้”
“เฮ่อๆ!” ก่วงลิ่งกงส่ายหน้าหัวเราะ มารดาอบรมลูกสาวก็เป็นเรื่องปกติ จึงไม่ได้ถามอะไรมาก เดินไปฝึกตนที่ห้องสมาธิแล้ว
เมื่อว่างงานแล้ว เม่ยเหนียงถึงได้กลับมาที่โถงหลัก เรียกสาวใช้ที่รออยู่ข้างนอกเข้ามา แล้วถามเบาๆ ว่า “ทางสวนจิ้งเซวียนมีความเคลื่อยชนไหวอะไรบ้าง?”
สาวใช้ตอบเสียงเบาว่า “ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรค่ะ คุณชายใหญ่ก็แค่อยู่ที่นั่น”
เม่ยเหนียงพยักหน้า บอกว่า “จับตาดูต่อไป คอยดูคุณหนูด้วย ถ้าข้าไม่อนุญาต ก็อย่าให้นางติดต่อใครทั้งนั้น”
“ค่ะ!” สาวใช้เอ่ยรับ
เม่ยเหนียงโบกมือให้นางออกไป แล้วนั่งลงครุ่นคิดเพียงลำพังพักหนึ่ง พลางพึมพำว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าเป็นพวกชอบก่อเรื่อง อย่าทำให้ข้าผิดหวังสิ…”
สำนักลมปราณ เรือนรับแขก เมื่อได้รับคำชี้แนะจากท่านป้าแล้ว เกาเหยียนไม่เพียงแค่เข้าใจว่าควรต้องทำอย่างไร ตอนนี้มีความมั่นใจมากขึ้นแล้วเช่นกัน เดินออกจากห้องตัวเองอย่างไม่หวาดกลัวแล้ว
พอมาถึงด้านนอกก็เรียกผู้ติดตาม “ตอนนี้เจ้าไปหาเจ้าจมูกวัวอวี้หลิงนั่นนะ บอกเขาว่าข้าจะแต่งงานกับเป่าเหลียนให้ได้ ถ้าพรุ่งนี้ข้าไม่ได้รับคำตอบที่ถูกต้อง ชีอู๋อาจารย์ของเขาก็จะได้รับความลำบากแล้ว ถึงตอนนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ช่วยพูดให้พวกเขา!”
“รับทราบ!” ผู้ติดตามรีบเอ่ยรับคำสั่งแล้วเดินออกไป
ความคิดของเขาส่งไปถึงอวี้หลิงเจินเหรินอย่างรวดเร็ว ศิษย์พี่และศิษย์น้องทั้งสองที่ยืนอยู่ในลานบ้านมีสีหน้าแย่มาก มองคล้อยหลังลูกน้องของเกาเหยียนที่เดินออกไปอย่างไม่แยแสทุกสิ่ง
“รังแกกันเกินไปแล้ว!” อวี้เลี่ยนเจินเหรินแค้นมาก
อวี้หลิงเจินเหรินหลับตาลงช้าๆ ยามเผชิญกับอำนาจที่แข็งแกร่งแบบนั้น แค่กดดันมานิดหน่อย ฝั่งเขาก็เริ่มทนรับไม่ไหวแล้ว ไม่ใช่เพราะเป่าเหลียนเป็นหลานสาวของตนจึงไม่ยอมให้แต่งงาน แต่ถ้าขายผู้หญิงแลกเกียรติยศจริงๆ จะให้สำนักลมปราณทนความรู้สึกได้อย่างไร? แต่ถ้าไม่ตอบตกลง ชีอู๋เจินเหรินก็ไม่ใช่แค่อาจารย์ของเขาเท่านั้น ทั้งยังเป็นบรรพาจารย์ของสำนักลมปราณด้วย แม้แต่บรรพาจารย์ผู้บุกเบิกสำนักก็ยังทอดทิ้ง แล้วจะให้ชี้แจงกับทุกคนในสำนักลมปราณอย่างไร?
“ศิษย์น้อง เจ้าไปถามเป่าเหลียนแทนข้าหน่อย ถามว่านางยเต็มใจแต่งงานหรือเปล่า” อวี้หลิงเจินเหรินกล่าวอย่างจนใจ
อวี้เลี่ยนเจินเหรินเบิกตากว้าง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “สิ่งนี้ถามได้ด้วยเหรอ? พอเอ่ยปากถาม เป่าเหลียนจะต้องรู้แน่นอนว่าสำหรับแบกรับความกดดันนี้ไม่ไหว มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเสียสละตัวเอง! ตอนนี้ความหวังสุดท้ายของเป่าเหลียนก็คือสำนัก พวกเราจะทำลายความหวังของนางได้ยังไง? คำถามนี้ข้าพูดไม่ออกหรอก ถ้าอยากจะถามก็ไปถามเอง!”
“งั้นเจ้าบอกหน่อยว่าตอนนี้ข้าควรจะทำยังไง?” อวี้หลิงเจินเหรินถอนหายใจ
อวี้เลี่ยนเจินเหรินสะบัดแขนเสื้อ แล้วชี้ไปด้านนอก “ไม่สู้ให้หนิวโหย่วเต๋อเข้ามาแทรกแซงก็สิ้นเรื่องแล้ว อย่างมากก็ยอมเป็นหยกที่แตกละเอียด ดีกว่าเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์”
“แล้วท่านอาจารย์ล่ะ?” อวี้หลิงเจินเหรินถามเสียงดัง “แล้วท่านอาจารย์ควรจะทำยังไง? ท่านอาจารย์อยู่ในมือของทัพตะวันออก เจ้าว่าสำหรับสำนักลมปราณแล้ว เป่าเหลียนสำคัญกว่าหรือท่านอาจารย์สำคัญกว่า?”
“…” อวี้เลี่ยนเจินเหรินพูดไม่ออก “เฮ้อ” ได้แต่ถอนหายใจแรงๆ แล้วหันตัวไปชกต้นไม้ อารมณ์คับแค้นที่แสดงบนใบหน้ายากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ทว่ายามเผชิญกับอำนาจที่แข็งแกร่งแบบนี้ ในใจก็เต็มไปด้วยความรู้สึกจนใจไร้ความสามารถ
“ไปเถอะ!” อวี้หลิงเจินเหรินตบบ่าศิษย์น้อง “เรื่องนี้ข้าเอ่ยปากกับเป่าเหลียนลำบากจริงๆ เจ้าไปพูดให้ดีกว่า”
อวี้เลี่ยนเจินเหรินพลันหันตัวมา “ศิษย์พี่ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อสามารถช่วยชีวิตท่านอาจารย์ได้ล่ะ?”
“เขาล่วงเกินตระกูลอิ๋งถึงขนาดนั้นแล้ว ตระกูลอิ๋งจะปล่อยเขาไปได้ยังไง!” อวี้หลิงเจินเหรินกล่าวด้วยสีหน้าขื่นขม
“แล้วถ้าได้ล่ะ ถ้าไม่ลองจะรู้ได้ยังไง?” อวี้เลี่ยนเจินเหรินถามอย่างคับแค้น
อวี้หลิงเจินเหรินหลับตาถอนหายใจ “ถ้าเขาช่วยท่านอาจารย์ออกมาได้จริงๆ ก็จะทำตามทุกอย่างที่เขาบอก”
อวี้เลี่ยนเจินเหรินหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ทันที อวี้หลิงเจินเหรินพลันคว้าข้อมือเขา แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ศิษย์น้อง นี่คือเรื่องของสำนักลมปราณ ไม่จำเป็นต้องทำให้เขาลำลากไปด้วย”
อวี้เลี่ยนเจินเหรินฝืนแกะข้อมือเขาออกเหมือนอารมณ์เสีย จากนั้นวิ่งไปไกลๆ แล้วติดต่อหาเหมียวอี้ต่อไป
ตอนที่ได้รับข่าว เหมียวอี้ก็ยังเดินทางอยู่ในดาราจักร
ถามสถานการณ์จนรู้ชัด หลังจากจบการติดต่อแล้ว เหมียวอี้ก็เลิกคิ้วแล้วจริงๆ รู้สึกว่าตระกูลก่วงเหมือนจะพุ่งเป้ามาที่เขาแล้วจริงๆ ขนาดสำนักลมปราณตอบว่าจะไปอยู่ฝ่ายนั้นก็ยังไม่ยอมอีก ดึงดันจะแต่งงานกับเป่าเหลียนให้ได้ เป่าเหลียนกลายเป็นมีค่าดั่งทองขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? นี่ไม่ใช่ว่าต้องการจะตบหน้าเขาหรอกหรือ?
เขาหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางเจาชิงทันที ให้เขาชะลอการแลกเปลี่ยนนี้ไว้ก่อน อย่าเพิ่งส่งตัวประกันพวกนั้นให้ตระกูลอิ๋ง
จากนั้นก็รีบเหาะไปยังสถานที่เป้าหมาย ยังคงทำตามแผนที่ร่างไว้ก่อน
ในเรือนของเจ้าสำนัก เมื่อเห็นศิษย์น้องเลิกติดต่อแล้ว อวี้หลิงเจินเหรินก็ถามอย่างค่อนข้างเฝ้าคอย “เขาว่ายังไงบ้าง?”
อวี้เลี่ยนเจินเหรินที่ถือระฆังดาราตอบอย่างไม่แน่ใจ “เล่าสถานการณ์ให้เขาฟังชัดเจนแล้ว ข้าจงใจเน้นเรื่องอาจารย์ เขาบอกว่าเขารู้แล้ว บอกว่าเขาจะจัดการเอง บอกว่าพวกเราอย่าเข้ามาแทรกแซง ไม่ต้องสนใจทางตระกูลก่วง แต่เขาไม่ได้บอกรายละเอียดว่าจะทำยังไง เขาบอกว่าต่อให้ข้ารู้มากกว่านี้ก็ไม่มีความหมาย ในเมื่อเขาเข้ามาแทรกแซงแล้ว ก็จะให้คำชี้แจงกับพวกเราได้”
ตอนที่ครุ่นคิดเงียบๆ อวี้หลิงเจินเหรินก็หวาดระแวงกลัวนิดหน่อย ไม่รู้ว่าเหมียวอี้จะก่อเรื่องอะไรอีก เป็นเพราะแต่ละเรื่องที่เหมียวอี้ก่อในหลายปีมานี้ ไม่มีสักเรื่องที่สำนักลมปราณรับไหว
แต่ตอนนี้เขาก็ไม่มีทางเลือกแล้วเช่นกัน ต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวมแล้วตอบรับเงื่อนไขของเกาเหยียน หรือไม่ก็รอดูฝั่งเหมียวอี้ที่รักษาม้าตายประดุจม้าเป็น…
คนกลุ่มหนึ่งเหาะฝ่าชั้นบรรยากาศ ลงจากฟ้ามาเหยียบลงตรงศาลาบนไหล่เขานอกจวนท่านปู่สวรรค์อันโอ่อ่า ในศาลามีป้ายศิลา บนป้ายมีอักษรตัวใหญ่เขียนว่า : เผชิญฟ้า
ดังนั้นอักษรศิลานี้จึงชื่อว่าป้ายศิลาเผชิญฟ้า เป็นตัวอักษรที่ประมุขชิงเขียนด้วยมือตัวเอง ลายมือมีพลังอำนาจไม่ธรรมดา พริ้วไหวราวกับมังกรบินที่ดิ้นรนจะหนีออกจะกรง
เผชิญฟ้า แฝงความหมายว่าเดชานุภาพสวรรค์อยู่ที่นี่ หรือไม่ก็มาถึงสถานที่ต้องห้ามแห่งแดนสวรรค์แล้ว แขกที่มาเยี่ยมคารวะที่นี่ พอมาถึงที่นี่แล้วล้วนต้องเหาะลงเหยียบพื้น นอกเสียจากฐานะของเจ้าจะเหนือกว่าประมุขชิง
เหมียวอี้ไม่ได้มาที่นี่อย่างกะทันหัน เขาแจ้งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไว้แล้วว่าจะมาเยี่ยมคารวะ นัดเวลากันเรียบร้อยแล้ว จึงมีคนมารอต้อนรับตั้งแต่แรก
ชายหนุ่มที่มารับไม่รู้ถึงตัวตนของเหมียวอี้ หลังจากสัญญาณลับสอดคล้องกันแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น เชิญให้ทั้งสามเดินตามไป
เดินขึ้นบันไดเข้าไปที่จวนท่านปู่สวรรค์ พอมาถึงนอกสวนต้องห้ามสวนต้องห้าม ผู้ที่นำทางมาก็ขอตัวออกไป พวกเหมียวอี้ถูกสกัดขวางเอาไว้ ถูกทหารยามประตูค้นตัว เว่ยซูมองดูอยู่ข้างๆ อย่างสงบเงียบ มองประเมินสองคนที่ติดตามอยู่ข้างกายเหมียวอี้ มองไม่ออกว่าเป็นใคร แต่สังเกตได้ว่าเป็นผู้หญิงสองคน
ผู้หญิงสองคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นชิงเยว่กับซิงนั่นเอง ให้ความรู้สึกเหมือนมีดาวเดือนคอยติดตาม
หลังจากค้นตัวเหมียวอี้เสร็จแล้ว ชิงเยว่กับซิงก็ถูกขวางไว้ ไม่ให้เข้าไปด้วย เว่ยซูกล่าวกับเหมียวอี้ด้วยรอยยิ้มว่า “สวนต้องห้ามคือสถานที่สำคัญ หวังว่าแขกผู้มีเกียรติจะเข้าใจ”
เหมียวอี้หันกลับไปบอกใบ้ให้ทั้งสองรออยู่ข้างนอก ส่วนตัวเองก็ตามเว่ยซูเข้าไปคนเดียว
หลังจากเข้ามาในสวนแล้ว เว่ยซูถึงได้เปิดเผยตัวตนของเหมียวอี้ “ผู้ตรวจการใหญ่สามารถถอดหน้ากากได้แล้ว อยู่ที่นี่สามารถวางใจได้เลย ไม่มีคนนอกรู้”
“พ่อบ้านเว่ยพูดขนาดนี้แล้ว หนิวยังจะพูดอะไรได้อีก” เหมียวอี้ยิ้มพลางถอดหน้ากากออก เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา ตอนที่เซี่ยโห้วท่าสิ้นอายุขัย เขาเคยเจอเว่ยซู่ที่จวนท่านปู่สวรรค์มาก่อน รู้ว่าท่านนี้เมื่ออยู่ที่ตระกูลเซี่ยโห้วก็เป็นรองเพียงหนึ่งแต่อยู่เหนือคนนับหมื่น อาศัยกำลังที่อยู่ในมือก็นับว่าเป็นบุคคลที่มีอยู่น้อยมากในใต้หล้า
เว่ยซูหันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วยื่นมือเชิญอีกครั้ง นำไปที่ทางแยก แล้วมุ่งตรงไปยังต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้าในสวนต้องห้าม
ใต้ต้นไม้ใหญ่ว่าโต๊ะเล็กไว้ตัวหนึ่ง บนโต๊ะวางเครื่องเคียงไว้สองสามอย่าง มีเบาะรองนั่งสองแผนวางแยกกัน เซี่ยโห้วลิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น พอเห็นเหมียวอี้มาแล้ว ก็ยิ้มบางๆ พลางยื่นมือเชิญให้นั่งตรงข้าม แล้วใช้อีกมือรินสุรา
เหมียวอี้ที่เข้ามาใกล้ก็ไม่เกรงใจเช่นกัน นั่งขัดสมาธิตรงข้าม แล้วกล่าวตามมารยาท “จะบังอาจรบกวนให้ท่านปู่สวรรค์รินสุราให้ข้าได้อย่างไร”
เซี่ยโห้วลิ่งรินใส่จอกตรงหน้าให้ตัวเองอีก แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ได้อยู่แล้ว ผู้ตรวจการใหญ่นำทัพใหญ่หนึ่งแสนแดนรัตติกาลไปตีทัพตะวันออกห้าล้าน ทัพตะวันออกตายไปสองล้านกว่า แลกกับจอกนี้ไม่ถือว่าเกินไปเลย”
เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ท่านปู่สวรรค์ข่าวไวจริงๆ ด้วย” รายละเอียดเรื่องตัวเลขคนตายยังไม่ประกาศต่อภายนอก แต่ทางนี้ดันรู้แล้ว เขากำลังคิดว่าเกี่ยวข้องกับหยวนกง
เซี่ยโห้วลิ่งหัวเราะในใจ ข้างกายเจ้ามีคนของข้าอยู่ ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร เขายกจอกสุราขึ้นมา “เชิญดื่ม!”
หลังจากเหมียวอี้ยกจอกสุราดื่มร่วมกัน ก็ปล่อยให้อีกฝ่ายยกกาสุราอีกครั้ง
เซี่ยโห้วลิ่งที่รินสุรากล่าวอย่างสบายๆ ว่า “ผู้ตรวจการใหญ่นัดพบอย่างลับๆ ปลอมตัวมาหา ไม่ทราบว่ามีอะไรจะชี้แนพ?”
เหมียวอี้นั่งตัวตรงแล้วเอามือวางบนเข่า “มาเพื่อช่วยท่านปู่สวรรค์อีกแรง!”
“ช่วยข้าอีกแรงเหรอ? เหอะๆ…” แม้ในใจเซี่ยโห้วลิ่งจะรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ยังส่ายหน้ายิ้ม ทำท่าเหมือนกำลังบอกว่า ‘ข้ายังต้องให้เจ้าช่วยอีกแรงด้วยเหรอ?’ เขาไม่พูดถึงประเด็นนี้ต่อ ได้แต่ยื่นมือเชิญ “ในเมื่อให้ผู้ตรวจการใหญ่เข้ามาใส่สวนนี้แล้ว ผู้ตรวจการใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ กับแกล้มพวกนี้ ผู้ตรวจการใหญ่เชิญตามสะดวก”
เหมียวอี้สีหน้าไม่เปลี่ยน นั่งถามอย่างใจเย็นว่า “หรือว่าท่านปู่สวรรค์สงสัยในความจริงจังของหนิว?”
เซี่ยโห้วลิ่งโบกมือยิ้มอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องช่วยข้าอีกแรงหรอก ดาบของตระกูลอิ๋งพาดอยู่บนคอผู้ตรวจการใหญ่แล้ว ผู้ตรวจการใหญ่ดูแลตัวเองยังลำบาก เหตุใดต้องลำบากใช้แรงใช้ความคิดเพื่อข้าอีก” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ เจ้าดูแลตัวเองให้ดีก่อนเถอะ
เว่ยซูที่อยู่ข้างๆ สังเกตทั้งสองอย่างละเอียด ให้ความรู้สึกเหมือนคนหนึ่งคือสุภาพบุรุษดุจหยก ส่วนอีกคนคือแม่ทัพดุดันที่สงบนิ่งราวกับหญิงสาวบริสุทธิ์ ทั้งสองฝ่ายล้วนกำลังใช้ความคิด
…………………………
Related