พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 981 กระโดดขึ้นสองขั้น

บทที่ 981 กระโดดขึ้นสองขั้น

เซี่ยโห้วหลงเฉิงวิ่งมาอาละวาด คนแรกที่ต้องการจะทำร้ายไม่ใช่เหมียวอี้ แต่เป็นสวีถังหราน แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เหมียวอี้แอบร่าเริงได้หลายวัน

ไม่ใช่แค่ร่าเริงได้หลายวัน แต่เรื่องดีที่แท้จริงมาถึงแล้ว เมื่ออยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมแล้วพลิกวิกฤตช่วยชีวิตตัวเองไว้ได้ ช่วงเวลาอันงดงามที่แลกมาด้วยชีวิตก็มาถึงเสียที

อาการบาดเจ็บของสวีถังหรานยังไม่หายดี แต่ก็ยังกัดฟันไปที่จวนผู้บัญชาการใหญ่พร้อมกับเหมียวอี้ บ่าข้างหนึ่งไม่สามารถงอกออกมาได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน แต่เวลาที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นเศรษฐีมาถึงแล้ว ต่อให้คลานเขาก็จะต้องคลาน มีหรือที่จะพลาด!

ในจวนผู้บัญชาการใหญ่ โค่วเหวินหลานนั่งอยู่บนบัลลังก์ เกราะรบเปลี่ยนเป็นเกราะทองหกแถบแล้ว ประกอบกับคนที่ตัวดำเมี่ยม กลับทำให้ดูน่าเกรงขามขึ้นหลายส่วน แต่พอเขาสะบัดผ้าเช็ดหน้าออกมา เหมียวอี้ก็อยากจะอาเจียน รู้สึกสะอิดสะเอียนเกินทน… เดิมทีผู้ชายที่ทำตัวตุ้งติ้งก็น่าสะอิดสะเอียดพอแล้ว มิหนำซ้ำยังเป็นผู้ชายที่ตัวดำขนาดนี้อีก!

แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร โค่วเหวินหลานก็ได้อยู่ในจุดสูงสุดของทหารเลวแล้ว ถ้าทหารเลวหกแถบก้าวขึ้นไปอีกขั้น ก็จะได้เป็นแม่ทัพหนึ่งแถบแล้ว!

ทางซ้ายและขวามีคนนำเกราะรบชุดหนึ่งมาส่งให้ตรงหน้าเหมียวอี้และสวีถังหราน ทั้งสองรับของมา แล้วเปลี่ยนใส่ตรงนั้น

ทหารยศต่ำทั้งสองกระโดดข้ามตำแหน่งรองผู้บัญชาการไปเป็นผู้บัญชาการโดยตรง เท่ากับกระโดดข้ามสองขั้นในรวดเดียว แบบนี้ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปกติ ยังต้องขอบคุณโค่วเหวินหลาน เป็นเพราะโค่วเหวินหลานพยายามช่วงชิงมาให้ทั้งสอง ประการแรกเป็นเพราะโค่วเหวินหลานรับปากพวกเขาไว้แล้ว ประการต่อมา การที่โค่วเหวินหลานได้เลื่อนขั้นในครั้งนี้ ก็เป็นเพราะอาศัยให้พวกเขาสองคนเสี่ยงชีวิตจับตัวเฮยหวัง

อย่างน้อยสถานการณ์ที่โค่วเหวินหลานรู้ว่าก็เป็นแบบนี้

นอกจากนี้ คนมากมายที่พาออกไปด้วยก็ตายเกือบหมดแล้ว เหลือคนที่รอดกลับมากับเขาแค่สองคน ไม่ต้องพูดเลยว่าในใจรู้สึกผิดขนาดไหน อย่างน้อยการต่อสู้เข่นฆ่าจนมาถึงขั้นนี้ ถ้าไม่ตบรางวัลหนักๆ ก็กลัวว่าจะทำให้ลูกน้องท้อแท้ผิดหวัง

ยิ่งไปกว่านั้น ทุกบ้านย่อมมีวิธีการดูแลควบคุมเด็กๆ ของบ้านตัวเอง และต้องแสดงให้คนอื่นเห็นด้วย ว่าคนที่ทุ่มเททำงานรับใช้ข้า ข้าจะไม่ปฏิบัติด้วยอย่างขาดความยุติธรรม พวกเจ้าดูพวกเขาสองคนสิ ข้าเลื่อนขั้นให้พวกเขาสองขั้นติดต่อกันเลย!

นี่ก็คือแบบอย่างที่ดี คนอื่นเห็นแล้วย่อมอิจฉาตาร้อน ในภายหลังย่อมทุ่มเททำงานรับใช้เขา!

สำหรับโค่วเหวินหลาน สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือวรยุทธ์ของทั้งสองต่ำไปหน่อย โดยเฉพาะเหมียวอี้ เพิ่งวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง การให้เหมียวอี้เป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก เขาก็ต้องแบกความกดดันไว้เยอะมากจริงๆ แต่ก็ไม่เป็นไร เขามอบปัจจัยให้ทั้งสองคน ย่อมเป็นทรัพยากรฝึกตน เชื่อว่าทั้งสองต้องวรยุทธ์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแน่นอน

เกราะรบของทหารเลวห้าแถบ สีทองอร่ามงามตากึ่งโปร่งแสง ราวกับหยกสีเหลือง เมื่อสวมไว้บนตัวดูมีสง่าราศีจริงๆ แบบสีทองคำบริสุทธิ์ดูบ้านนอกไปหน่อย

อาวุธก็เปลี่ยนด้วยเหมือนกัน แจกจ่ายทวนยาวและดาบยาวสีอำพันให้ทั้งสอง ทั้งยังเป็นอาวุธขั้นสี่ด้วย ส่วนแบบขั้นห้าแจกให้แม่ทัพเท่านั้น ส่วนขั้นหกก็เป็นของแม่ทัพใหญ่

เล่าหนานซง กงอวี่เฟย  ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผู้ช่วยของโค่วเหวินหลาน และเป็นรองผู้บัญชาการใหญ่เช่นกัน ผู้ช่วยสองคนของโค่วเหวินหลานไม่ได้ถูกแต่งตั้งโดยโค่วเหวินหลาน เป็นปี้เยว่ฮูหยินที่แต่งตั้งให้เอง ก็เหมือนกับรองผู้บัญชาการหงกับรองผู้บัญชาการซุนก่อนหน้านี้ ไม่ได้ถูกแต่งตั้งโดยผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกเช่นกัน เป็นผู้บัญชาการใหญ่แต่งตั้งให้โดยตรง นับว่าเป็นวิธีการหนึ่งที่เบื้องบนใช้ควบคุมเบื้องล่าง

แต่รองผู้บัญชาการใหญ่สงท่านนี้ก็เป็นผู้ช่วยของอดีตผู้บัญชาการใหญ่เช่นกัน ปี้เยว่ฮูหยินโยกย้ายแค่ผู้บัญชาการใหญ่ออกไป ไม่ได้แตะต้องผู้ช่วยสองคนนี้

มู่หรงซิงหัว หยางไท่ ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง แบ่งเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือและผู้บัญชาการเขตเมืองใต้ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองก็มีอำนาจหนุนหลังเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางเป็นผู้บัญชาการเขตของตลาดสวรรค์ได้เลย เพียงแต่คนหนุนหลังไม่ได้ใหญ่เท่าโค่วเหวินหลานแค่นั้นเอง ไม่อย่างนั้นตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ก็คงไม่ตกมาถึงโค่วเหวินหลานเหมือนกัน

ทั้งสี่แสดงความยินดีที่เหมียวอี้และสวีถังหรานได้ขึ้นรับตำแหน่ง เหมียวอี้ย่อมกุมหมัดแสดงความขอบคุณ ส่วนสวีถังหรานแขนหายไปข้างหนึ่ง แขวนชุดเกราะไว้ชุดหนึ่ง ทำได้เพียงใช้ฝ่ามือข้างเดียวประทับอกแสดงการขอบคุณ

หลังจากพูดคุยและให้กำลังใจกัน โค่วเหวินหลานก็ยืนขึ้นกล่าวว่า “ทุกคนรู้จักกันแล้ว ไม่ต้องคุยอะไรกันเยอะแล้ว ตามข้าไปเยี่ยมคารวะท่านแม่ทัพภาคในตำหนัก!”

“รับทราบ!” ทุกคนเอ่ยรับคำสั่งและตามเข้าไป

ท่านแม่ทัพที่กล่าวถึงก็คือปี้เยว่ฮูหยิน

ระบบของตำหนักสวรรค์ ราชันสวรรค์และราชินีสวรรค์ใหญ่ที่สุด รองลงมาก็คือสี่อ๋องสวรรค์ สิบสองจอมพล สามสิบหกเทพประจำดาว เจ็ดสิบสองโหว พวกนี้ล้วนเป็นนักพรตที่มีพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ และแน่นอน ตำหนักสวรรค์ไม่ได้มีแค่นักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพพวกนี้ พวกเขาเป็นเพียงขุนนางในตำแหน่งหลักเท่านั้น สมาชิกอิสระระดับเดียวกันยังมีพวกเทพเซียนกับเซียนอาวุโสด้วย แล้วก็มีพวกตำแหน่งรอง แต่ตำแหน่งพวกนี้ค่อนข้างไร้อำนาจ ไม่ได้กุมอำนาจผลประโยชน์เหมือนพวกตำแหน่งหลักเท่านั้นเอง อำนาจที่แท้จริงของตำหนักสวรรค์ก็อยู่ในมือของหนึ่งร้อยยี่สิบหกตำแหน่งนี้

ตำแหน่งที่อยู่ใต้เจ็ดสิบสองโหวลงมามีจำนวนเยอะเกินไป ล้วนถูกแบ่งควบคุมโดยเจ็ดสิบสองโหว การแต่งตั้งเพิ่มหรือถอดออกล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ็ดสิบสองโหว แล้วค่อยรายงานขึ้นไป

ตำแหน่งที่อยู่ใต้เจ็ดสิบสองโหวก็คือหัวหน้าภาค หัวหน้าภาคคนหนึ่งจะคุมหนึ่งน่านฟ้า อย่างเช่นอาณาเขตดาวที่ผ่านประตูดวงดาวมาจนถึงดาวเทียนหยวน และดาวเทียนหยวนเองก็เป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในอาณาเขตดาวผืนนี้เท่านั้น

ใต้หัวหน้าภาคก็คือระดับแม่ทัพภาคอย่างปี้เยว่ฮูหยิน ทำหน้าที่ดูแลรักษาการณ์ทั้งดาวเทียนหยวน ส่วนหัวหน้าของปี้เยว่ฮูหยิน ก็คือหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหว และเป็นหัวหน้าของหัวหน้าของนางเช่นกัน ภูมิหลังของปี้เยว่ฮูหยิน ถ้าเทียบกับนักพรตทั่วไปก็นับว่าทระนงองอาจแล้ว ไม่อย่างนั้นคงยากที่จะได้นั่งตำแหน่งที่รายได้ดีแบบนี้

แน่นอน ไม่ใช่ว่าดาวเคราะห์ทุกดวงจำเป็นต้องแต่งตั้งแม่ทัพภาค ต้องดูว่าดาวเคราะห์ดวงนั้นสามารถสร้างผลประโยชน์ได้หรือไม่ คุ้มค่าที่จะส่งคนจำนวนมากไปรักษาการณ์หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่นผู้ที่คุมดาวไร้ลักษณ์ นั่นคือเทพแห่งภูผาที่อยู่ในระดับผู้บัญชาการ และเป็นเทพแห่งภูผาของเกาะศักดิ์สิทธิ์นั้นด้วย

เป็นเพราะดาวไร้ลักษณ์มีเกาะศักดิ์สิทธิ์ ไม่อย่างนั้นถ้าเป็นเหมือนดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ แม้แต่คนระดับผู้บัญชาการก็ไม่มีเลย แค่แต่งตั้งพวกเทพเจ้าที่ ผีหลักเมืองไว้จำนวนหนึ่งก็พอแล้ว ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ถ้าเป็นดาวเคราะห์ที่ไม่มีความจำเป็นเลย แม้แต่ขุนนางเล็กๆ ของตำหนักสวรรค์ก็ไม่มีเลยสักคน

ตำแหน่งที่อยู่ใต้แม่ทัพภาคก็คือผู้บัญชาการใหญ่ ที่ต่ำกว่านั้นก็คือผู้บัญชาการ ผู้ช่วยผู้บัญชาการ ผู้บังคับการกองร้อย ผู้บังคับการกองห้า ส่วนตำแหน่งรองอื่นๆ ไม่บันทึกรวมอยู่ในนั้น

ตามการจัดระบบที่สมบูรณ์ของตำหนักสวรรค์ ใต้แม่ทัพภาคหนึ่งคนจะมีผู้บัญชาการใหญ่สิบคน ใต้ผู้บัญชาการใหญ่หนึ่งคนก็จะมีผู้บัญชาการอีกสิบคน ใต้ผู้บัญชาการหนึ่งคนก็จะมีผู้ช่วยผู้บัญชาการอีกสิบคน ลดหลั่นกันไปแบบนี้ แต่ที่ดาวเทียนหยวนไม่จำเป็นต้องวางกำลังคนไว้มากมายขนาดนั้นเลย แต่จำเป็นต้องมีคนที่ศักยภาพเท่าเทียมกันมารักษาการณ์ ดังนั้นใต้แม่ทัพภาคอย่างปี้เยว่ฮูหยินจึงมีผู้บัญชาการใหญ่แค่คนเดียว และใต้ผู้บัญชาการใหญ่ก็มีผู้บัญชาการแค่ห้าคน หนึ่งในนั้นมาเฝ้าคุมอยู่ที่ตำหนักคุ้มเมืองของปี้เยว่ฮูหยิน เป็นลูกน้องคนสนิทของปี้เยว่ฮูหยิเช่นกัน โค่วเหวินหลานเองก็ไปควบคุมไม่ได้ ส่วนใต้ผู้บัญชาการอีกสี่คนก็มีผู้ช่วยผู้บัญชาการแค่หกคน ใต้ผู้ช่วยผู้บัญชาการแต่ละคนก็จะมีผู้บังคับการกองร้อยสี่คน ใต้ผู้บังคับการกองร้อยก็จะมีผู้บังคับการกองห้าอีกสองคน หนึ่งกองห้าที่รวมผู้บังคับการกองห้าไว้ในนั้นก็มีทั้งหมดสิบคน

ตามกฎแล้ว เดิมทีเหมียวอี้สามารถบัญชาการทหารสวรรค์หนึ่งหมื่นนาย แต่อยู่ที่นี่มีแค่ห้าร้อยนายเท่านั้น นี่คือสิ่งที่จัดตามปัจจัยและความจำเป็น การเลี้ยงคนจำนวนมากคือสิ่งที่ไม่จำเป็น แต่ผลประโยชน์ที่ได้ก็ไม่น้อยกว่าผู้บัญชาการตามระบบแน่นอน

ที่จริงแล้วตำหนักคุ้มเมืองคือตำหนักของผู้บัญชาการใหญ่แห่งตลาดสวรรค์ แต่จนใจที่ปี้เยว่ฮูหยินอยากจะอยู่ที่นี่ ก็ช่วยไม่ได้ นี่คือแหล่งที่มีปัจจัยการดำรงชีวิตดีที่สุดของดาวเทียนหยวน สามีของนางเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ ใครจะไม่ไว้หน้านางได้ล่ะ

ต่อให้คนหนุนหลังจะใหญ่กว่านี้ก็สู้คนในตำแหน่งไม่ได้ โค่วเหวินหลานคงไล่ปี้เยว่ฮูหยินออกไปไม่ได้เช่นกัน อิงตามกฎข้อบังคับ หนึ่งในสามส่วนของตำหนักคุ้มเมืองข้างหน้าคือที่อยู่ของเขา สองในสามส่วนที่อยู่ข้างหลังคือที่อยู่ของปี้เยว่ฮูหยิน

คนกลุ่มหนึ่งเข้ามาที่ตำหนักหลัง โค่วเหวินหลานนับว่านำกำลังหลักของตัวเองมาแนะนำตัวอย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากปี้เยว่ฮูหยินให้โอวาทเสร็จ สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่เหมียวอี้ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ “หนิวโหย่วเต๋อ ไม่ได้เจอกันเป็นครั้งแรก ภาพที่เจ้าขายเครื่องประดับให้ข้าในปีนั้น ข้ายังจำได้อยู่เลย นึกไม่ถึงว่าชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกแล้ว”

“ล้วนเป็นเพราะผู้บัญชาการใหญ่สนับสนุนช่วยเหลือ ข้าน้อยจะตั้งใจทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดขอรับ” เหมียวอี้ตอบอย่างมีมารยาท

โค่วเหวินหลานยิ้มบางๆ หน้ายังดำเหมือนเดิม

ปี้เยว่ฮูหยินกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “พอพูดถึงเครื่องประดับ เจ้าของเครื่องประดับตัวจริงก็ปรากฏตัวแล้ว ข้าได้ยินว่าเจ้าจีบเถ้าแก่เนี้ย ‘ร้านโฉมเมฆา’ มาโดยตลอด เจ้าตัวเป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว เจ้าทำแบบนี้อาจจะไม่เหมาะสมกระมัง? แน่นอน เรื่องส่วนตัวของเจ้า ข้าก็แค่ถามเฉยๆ เท่านั้น แต่ขอพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้ก่อน ข้ากับเถ้าแก่เนี้ยนับว่าไปมาหาสู่กันบ่อย มีความสนิทสนมกันอยู่บ้าง ถ้าเจ้าอยากจะจีบนางข้าก็ไม่ว่าอะไร แต่ตอนนี้เจ้าเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกแล้ว ถ้าใช้อำนาจหน้าที่แสวงหา ผลประโยชน์ส่วนตัว ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”

เหงื่อแตกพลั่ก! ในใจเหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก สงสัยเมียตัวเองจะมีความสัมนพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับปี้เยว่ฮูหยิน ไม่น่าเชื่อว่าจะเคาะหัวข้าต่อหน้าฝูงชนเพื่อนาง!

คำพูดนี้ทำให้กงอวี่เฟยรองผู้บัญชาการ และมู่หรงซิงหัวผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือเหล่ตามองมา ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือมองเหยียด สำหรับผู้ชายที่จีบผู้หญิงที่มีสามีแล้ว คาดว่าคงมีผู้หญิงไม่กี่คนหรอกที่จะรู้สึกดีด้วย

แม้แต่โค่วเหวินหลานเองก็อดไม่ได้ที่จะเอามือลูบจมูก รู้สึกอับอายนิดหน่อย ถึงอย่างไรตนก็เป็นคนเลื่อนชั้นลูกน้องที่วางตัวไม่ดีแบบนี้เอง

สวีถังหรานยกมุมปากยิ้มเยาะเย้ย นึกไม่ถึงว่าพอหนิวโหย่วเต๋อได้รับตำแหน่ง ก็มีภาพพจน์ที่ไม่ดีต่อหน้าปี้เยว่ฮูหยินทันที นี่คือเรื่องดีสำหรับเขา ในภายหลังหากต้องช่วงชิงตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ สิ่งนี้ก็จะมีประโยชน์กับเขา

จากนั้นโค่วเหวินหลานก็ถามเรื่องเซี่ยโห้วหลงเฉิง ปี้เยว่ฮูหยินตอบอย่างไม่ใส่ใจ ส่งต่อให้ตำหนักสวรรค์ลงโทษแล้ว เห็นได้ชัดเจนมาก ว่านางเองก็ไม่สะดวกจะลงมือ จึงผลักไปให้เบื้องบน

ก่อนจะจากกัน ปี้เยว่ฮูหยินก็สั่งโค่วเหวินหลานอีกว่า “ติดประกาศที่ตลาดสวรรค์ ประกาศเรื่องที่ประหารชีวิตเฮยหวังให้ทุกคนรู้ จะได้ไม่มีใครเอาเป็นเยี่ยงอย่าง!”

“รับทราบ!” โค่วเหวินหลานเอ่ยรับคำสั่ง แล้วนำลูกน้องกล่าวอำลาออกมา

เมื่อออกจากตำหนักหลังมาแล้ว โค่วเหวินหลานก็นำสิ่งที่ปี้เยว่ฮูหยินบอกแจกจ่ายลงไปให้ผู้บัญชาการทั้งสี่จัดการ

เมื่อพวกลูกน้องที่เขตเมืองตะวันออกรู้ข่าว จนกระทั่งเหมียวอี้สวมเกราะทองห้าแถบเหาะลงมาจากฟ้า ลูกน้องหลายร้อยคนที่มารอต้อนรับนานแล้วก็กล่าวคารวะเสียงดังทันที “คารวะท่านผู้บัญชาการ!”

“ไม่ต้องมากพิธี!” เหมียวอี้ผายมือ กวาดสายตามองกลุ่มคน ตอนนี้ในมือเขาขาดรองผู้บัญชาการสองคน ผู้ช่วยผู้บัญชาการหกคน ผู้บังคับการกองร้อยยี่สิบสี่คน รวมแล้วขาดนักพรตบงกชทองสามสิบสองคน จะให้ตัวเองไปหาจากไหนมาเติมภายในเวลาสั้นๆ แบบนี้

โค่วเหวินหลานเรียกได้ว่าใช้งานคนโดยไม่ระแวง มีความใจกว้างตรงไปตรงมาต่อเด็กๆ ในบ้านตัวเอง ให้เหมียวอี้จัดการเองตามเห็นสมควร ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ให้ไปขอความช่วยเหลือจากเขา ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นโค่วเหวินหลานจะคุ้มครองให้

ประเด็นสำคัญคือจะหานักพรตบงกชทองมาจากไหนมากมายในรวดเดียว คนของตำหนักสวรรค์ตัวเองก็รู้จักไม่เยอะ แต่ถ้าจะให้หาคนที่ฉวยโอกาสแทงข้างหลังเหมือนสวี่เต๋อ ตัวเขาเองก็ไม่วางใจ เขานับว่าได้บทเรียนจากคนของตำหนักสวรรค์แล้ว ที่ปราสาทดำเนินนภาก็พอจะมีคนอยู่บ้าง แต่อีกฝ่ายไม่อยากมาพัวพันกับตำหนักสวรรค์ลึกซึ้งเกินไป ส่วนนักพรตบงกชทองของสำนักลมปราณก็มีไม่พอใช้ นับไปนับมาก็มีแค่พวกทะเลดาวนักษัตรของพิภพเล็กแล้ว เพียงแต่การให้คนสามสิบกว่าคนเข้ามาอยู่ในตำหนักสวรรค์ในรวดเดียว ก็อาจจะยุ่งยากนิดหน่อย แล้วอีกอย่าง ถ้าจะให้ลูกน้องทั้งหมดเป็นปีศาจ อาจจะดูเกินไปหน่อยรึเปล่า?

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset