สำนักลมปราณ หลังจากอวี้เลี่ยนจินเหรินได้รับข่าวจากเหมียวอี้ ก็รีบปรึกษากับศิษย์พี่อวี้หลิงเจินเหริน เหมียวอี้ขอให้สำนักลมปราณละทิ้งเขาชีอู๋ชั่วคราว ให้สมาชิกทั้งหมดของสำนักลมปราณหนีไปหลบที่ตลาดสวรรค์ก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกตระกูลก่วงก่อกวน
ตั้งแต่ครั้งก่อนที่เหมียวอี้ติดต่อกับอวี้หลิงเจินเหรินแล้วไม่ได้ผล แล้วพบว่าติดต่อกับอวี้เลี่ยนตรงไปตรงมามากกว่า เขาก็ข้ามหัวอวี้หลิงไปติดต่อกับอวี้เลี่ยนโดยตรงเสียเลย
ในตำหนักใหญ่ อวี้หลิงเจินเหรินกำลังเดินไปเดินมา พลางกล่าวอย่างลังเลว่า “หลบที่ตลาดสวรรค์ก็จะพ้นการก่อกวนของตระกูลก่วงเหรอ? สำนักลมปราณมีลูกศิษย์มากมายกระจายอยู่ตามตลาดสวรรค์เพื่อบริการร้านขายของชำ ตระกูลก่วงไปหาได้ทุกเมื่อ ศิษย์น้อง ทำไมข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้หนิวโหย่วเต๋อไม่น่าเชื่อถือเท่าไร ถ้าบอกว่าหลบการก่อกวนจากตระกูลอิ๋งยังน่าเชื่อกว่าหน่อย เจ้าฟังมาผิดหรือเปล่า?”
อวี้เลี่ยนจินเหรินยักไหล่สองข้าง “ศิษย์พี่ ไม่ผิดจริงๆ ข้ายืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาหมายความอย่างนี้แหละ ท่านไม่ต้องสงสัยมากแล้ว เจ้าหนุ่มนั่นไม่เหมือนในอดีตแล้ว แต่ละเรื่องที่เขาทำไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะเข้าใจได้ ตอนนี้อีกฝ่ายเป็นคนที่ทำงานใหญ่ โลกทัศน์และฝีมือล้วนเหนือกว่าพวกเรา เรื่องที่พวกเราไม่เข้าใจก็อาจไม่ใช่เรื่องที่ผิดก็ได้ ที่เขาเตรียมการแบบนี้ แปลว่าเขาต้องมีแผนของตัวเองแน่นอน”
จุดนี้อวี้หลิงเจินเหรินไม่อาจปฏิเสธได้ แม้จะไม่รู้ว่าเหมาะสมหรือไม่ แต่ฝีมือในการช่วยแก้ไขปัญหาให้ก่อนหน้านี้ พวกเขาล้วนเห็นแล้ว ประกอบกับผลงานในการคุมสถานการณ์ของเหมียวอี้ในอดีต คำพูดของเหมียวอี้เริ่มมีบารมีความน่าเชื่อถือต่อศิษย์พี่และศิษย์น้องคู่นี้แล้ว
“ก็ได้ งั้นก็ทำตามที่เขาบอกแล้วกัน” อวี้หลิงเจินเหรินพยักหน้า ในที่สุดก็ตอบตกลงแล้ว เมื่อลองไตร่ตรองดู ก็พบว่ามิอาจไม่ตอบตกลง เพราะท่านอาจารย์ชีอู๋กลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของหนิวโหย่วเต๋อไปแล้ว
สำนักลมปราณไม่เหมือนในอดีตอีกแล้ว ตอนนี้มีกำลังทรัพย์พอสมควร ทั้งสำนักมีจำนวนลูกศิษย์เกินห้าแสนคน แม้ส่วนใหญ่จะวรยุทธ์ไม่สูง แต่การย้ายคนจำนวนมากออกไปตามเจตนาของเหมียวอี้ ก็จะต้องกระจายไปอยู่ตามตลาดสวรรค์ อวี้หลิงเจินเหรินจึงใช้ข้ออ้างว่าส่งลูกศิษย์ระดับกลางไปเรียนรู้หาประสบการณ์ที่ร้านขายของชำตามตลาดสวรรค์ จากนั้นก็สั่งให้ลูกศิษย์ระดับสูงพาคนส่วนหนึ่งออกไป
พวกอวี้หลิงเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ออกไปจากที่นี่ พวกเขายืดเวลาอยู่ที่นี่เพื่อเจรจากับคนที่ตระกูลก่วงส่งมา ขอร้องให้อีกฝ่ายขยายเวลาออกไป บอกประมาณว่าต้องขอความเห็นที่เป็นหนึ่งเดียวจากในสำนัก สรุปก็คือกำลังถ่วงเวลา นี่ก็เป็นความคิดของเหมียวอี้เช่นกัน เขายังต้องใช้เวลาเพื่อเตรียมงานให้เหมาะสม ถ้าจู่ๆ สำนักลมปราณหนีไปหมด ตระกูลก่วงอาจจะไปกดดันที่ร้านขายของชำทางตลาดสวรรค์ก็ได้ ถ้าจัดการไม่ดีก็อาจมีปัญหาใหม่สอดแทรกเข้ามา ตอนนี้เรื่องของสำนักลมปราณยังไม่ถึงเวลาสะสางขั้นสุดท้าย เขาต้องทำงานใหญ่ก่อน
ใช้เวลาไปเกือบหนึ่งเดือน รอจนกระทั่งคนของสำนักลมปราณออกไปหมดแล้ว พวกอวี้หลิงถึงได้ออกไป ก่อนจะไปก็มองสำนักลมปราณที่ว่างเปล่าด้วยความสะท้อนใจไร้ที่เปรียบ…เดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลัง
ในตำหนักประชุมของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ภายใต้คำสั่งของรองหัวหน้าภาค บรรดาแม่ทัพมากันครบแล้ว
หลังจากมาถึง บรรดาแม่ทัพถึงได้พบว่ามีภารกิจลับ หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นคำสั่งทางทหารจากเหมียวอี้ พวกเขาก็ทำได้เพียงตั้งตารอดู
หยางเจาชิงนำรายชื่อที่ร่างไว้แล้วแจกจ่ายลงไป นี่คือรายชื่อกำลังพลที่คัดจากความสามารถและความน่าเชื่อถือในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา เป็นการดึงตัวกำลังพลสี่หมื่นกว่าออกมาจากทัพใหญ่แดนรัตติกาลหกหมื่นอย่างลับๆ เพื่อที่จะรักษาความลับเอาไว้ ฝั่งนี้ยังเหลือกำลังพลอีกสองหมื่นเอาไว้ทำภารกิจประจำวันเพื่อตบตาคนอื่น อยู่ควบคุมไม่ให้กำลังพลเบื้องล่างใช้ระฆังดาราติดต่อกับภายนอก กำลังพลที่กำลังจะถูกย้ายไปก็ทำอย่างนี้เช่นกัน
หลังจากถ่ายทอดคำสั่งลับแล้ว บรรดาแม่ทัพก็แยกย้ายกันไปทำงาน
คำสั่งทหารหนักแน่นดุจขุนเขา คนส่วนใหญ่เร่งฝีเท้าเดินออกจากตำหนักประชุม ส่วนหลงซิ่นยังไม่ไป อยู่ขอคำชี้แนะจากหยางเจาชิง “แม่ทัพภาคหยาง ผู้ตรวจการใหญ่ต้องการจะทำอะไรกันแน่?” เขาฉงนใจมาก!
มีแค่เขาคนเดียวเสียที่ไหน สวีถังหรานที่อยู่ข้างๆ ก็งงมากเช่นกัน
หยางเจาชิงมองหลงซิ่นด้วยสายตาเย็นเยียบ “ผู้ตรวจการใหญ่ย่อมมีแผนของผู้ตรวจการใหญ่”
หลงซิ่นขมวดคิ้ว “แล้วตอนหลังต้องทำยังไงอีก ต้องให้ข้าเตรียมใจบ้างไม่ใช่รึไง?”
หยางเจาชิงกล่าวเสียงเรียบ “เมื่อถึงเวลาก็ย่อมประกาศ ผู้บัญชาการใหญ่หลง นี่คือคำสั่งลับของผู้ตรวจการใหญ่ กรุณาปฏิบัติตาม!” เขาจะสื่อว่าอย่าถามเยอะ
“…” หลงซิ่นพูดไม่ออก สุดท้ายก็ขมวดคิ้วเดินจากไปเงียบๆ
สวีถังหรานเกาศีรษะ ที่จริงเขาก็อยากจะสืบถามอีกสักหน่อย แต่พอได้ยินแบบนี้แล้ว เขาก็ทำได้เพียงกลืนคำถามลงท้องไป
จะว่าไปแล้ว แม้ตำแหน่งของเขาจะเป็นรองเพียงเหมียวอี้ แต่ในเวลานี้เขาก็ทำได้เพียงให้ความร่วมมือกับหยางเจาชิงเต็มที่
หลังจากออกจากจวนหัวหน้าภาค ต้วนอวิ๋นเปียวกับหยวนกงก็ไปด้วยกัน แอบถ่ายทอดเสียงถามว่า “พี่หยวน ผู้ตรวจการใหญ่กำลังจะทำอะไร?”
“เฮ่อๆ! ในเมื่อเป็นคำสั่งลับ พวกเราก็ไม่ต้องสืบเยอะหรอก ปฏิบัติตามคำสั่งก็พอ!” หยวนกงปากก็พูดไปหัวเราะไป ทั้งที่ในใจก็เคลือบแคลงสงสัยเช่นกัน แต่เขาก็ได้รับคำสั่งมาจากหัวหน้าตระกูลแล้ว สั่งไม่ให้เขาเพิ่มปัญหายุ่งยากให้หนิวโหย่วเต๋อ ในใจเขารู้ดี ว่าหัวหน้าตระกูลอาจจะรู้เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อกำลังจะทำแล้วก็ได้
มหาสมุทรสีเขียวมรกต บนเรือโหลวฉวนที่งดงามหรูหรา อวิ๋นจือชิวนำผู้หญิงกลุ่มหนึ่งขี่ลมฝ่าคลื่นอยู่บนทะเลอันกว้างใหญ่
ไม่ว่าจะดีใจจริงหรือไม่ แต่ผู้หญิงกลุ่มนี้ก็ยังไว้หน้าอวิ๋นจือชิวมาก พากันไปรับลมที่หัวเรือ พูดคุยกันอย่างสนุกสนานรื่นเริงมาก ไม่ใช่แค่เฟยหงกับพวกหลินผิงผิงเท่านั้น ยังมีคนในครอบครัวของแม่ทัพบางส่วนในจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลด้วย ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เหมียวอี้เองก็ไม่อาจขอให้ลูกน้องอยู่เป็นโสดได้ ที่จริงแล้วบางคนได้อวิ๋นจือชิวเป็นคนกลางติดต่อให้ด้วยซ้ำ
ในวันธรรมดาทั่วไป เหมียวอี้ดูแลงานในกองทัพ ส่วนอวิ๋นจือชิวก็ไปมาหาสู่กับผู้หญิงของบรรดาแม่ทัพ เป็นการกระชับความสัมพันธ์กับทุกคน ถือว่าเป็นอีกวิธีการหนึ่งในการช่วยคุมขวัญกำลังใจทหาร อย่าได้ดูถูกอานุภาพข้างหมอนของผู้หญิงพวกนี้เชียว เพราะตั้งแต่สมัยโบราณ มีหลายงานแล้วที่พังเพราะผู้หญิงข้างหมอนพวกนี้
ในจุดนี้อวิ๋นจือชิวจัดการได้ดีมาก เดิมทีนางก็ถนัดเรื่องเข้าสังคมอยู่แล้ว ยามปกติก็คุยเรื่องมโนสาเหร่กับผู้หญิงพวกนี้ เวลาใครถูกผู้ชายของตัวเองรังแก ก็จะร้องไห้มาฟ้องอวิ๋นจือชิว ขอให้อวิ๋นจือชิวทวงความยุติธรรมให้ ถ้าเป็นเรื่องที่มีเหตุผล อวิ๋นจือชิวก็จะเรียกแม่ทัพคนนั้นมาด่าสักยกหนึ่ง แต่ถ้าเป็นเรื่องไม่มีเหตุผล นางก็จะช่วยให้พวกเขาปรองดองกัน
คนเราล้วนมีอารมณ์ความรู้สึก ระหว่างสามีภรรยาไม่อาจเลี่ยงความขัดแย้งได้ แม้แต่อวิ๋นจือชิวเองก็ยังทะเลาะกับเหมียวอี้เลย ถึงขั้นลงไม้ลงมือสู้กันแล้วด้วย ส่วนแม่ทัพพวกนั้นก็ย่อมไม่ขัดที่ผู้หญิงของตัวเองจะมีสายสัมพันธ์อันดีกับฮูหยินผู้ตรวจการใหญ่ เพราเมื่อถึงเวลาสำคัญก็ยังสามารถอาศัยช่องทางนี้พูดขอร้องให้ไว้หน้ากันได้
“ทุกคน ฮูหยินเชิญไปที่ตึกเรือ” เสวี่ยเอ๋อร์ลงมาที่ดาดฟ้าเรือ เดินมาแจ้งตรงหน้ากลุ่มผู้หญิงที่ด้วยรอยยิ้ม
ผู้หญิงกลุ่มนี้ย่อมไม่มีใครปฏิเสธ ทยอยกันออกจากหัวเรือแล้วขึ้นไปบนตึกเรือ
หลังจากอวิ๋นจือชิวยิ้มทักทายพวกนางแล้ว ก็เชิญให้พวกนางนั่งลงตรงสองฝั่งของโต๊ะ หลังจากกวาดสายตามองซ้ายมองขวารอบหนึ่ง ก็ถามด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเองว่า “ไม่ทราบว่าทุกคนเชื่อใจอวิ๋นจือชิวหรือเปล่า?”
พวกผู้หญิงมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่านางถามอย่างนี้ทำไม เสวี่ยหลิงหลงเป็นคนแรกที่ตอบ “ข้าย่อมเชื่อใจฮูหยินอย่างไร้ความสงสัย”
“ใช่แล้ว ฮูหยินมีอะไรจะกำชับหรือคะ?” หลินผิงผิงกล่าวสนับสนุน จากนั้นคนอื่นๆ ก็พูดคล้อยตามเช่นกัน ล้วนแสดงออกว่าเชื่อใจอวิ๋นจือชิวมาก
อวิ๋นจือชิวพยักหน้ายิ้ม “งั้นก็ดี ในเมื่อทุกคนเชื่อใจข้า ข้าก็มีหนึ่งคำขอที่ไร้เหตุผล ข้าจะพาทุกคนเดินทางไปที่อันแสนไกล แต่ก่อนอื่นต้องขอให้ทุกคนส่งข้าวของเครื่องใช้บนตัวมาให้ข้าก่อน ไม่สามารถนำขึ้นมาดูหรือใช้งานได้แม้แต่น้อย เพื่อรับประกันความเป็นส่วนตัวของทุกคน หลังจากกลับมาแล้วจะคืนของให้ ข้ารู้ว่าทุกคนมีคำถาม ข้าจะสรุปสั้นๆ แล้วกัน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับกิจทหารของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล เพื่อที่จะรักษาความลับ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ทุกคนห้ามติดต่อกับภายนอกชั่วคราว อย่างอื่นไม่ต้องถามอะไรมากอีก”
ผู้หญิงกลุ่มนี้ฉงนสนเท่ห์ ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรให้จริงจังขนาดนี้ ศึกใหญ่สระน้ำมังกรดำผ่านไปแล้วไม่ใช่เหรอ?
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ถือถาดเดินไปทางสองฝั่งทันที เฟยหงเป็นคนแรกที่ส่งของของตัวเองออกมาโดยไม่ลังเล นางวางของไว้บนถาด จากนั้นเสวี่ยหลิงหลงกับหลินผิงผิงก็ไม่ลังเลเช่นกัน เมื่อมีพวกนางคอยนำ ตอนหลังไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ ทุกคนต่างก็ส่งของมาให้แต่โดยดี
ของถูกใส่ไว้ด้วยกัน อยู่ในกำไลเก็บสมบัติวงเดียวกัน ภายใต้การบอกใบ้ของอวิ๋นจือชิว กำไลเก็บสมบัติวงนี้ถูกห้อยไว้บนเอวเชียนเอ๋อร์ ทุกคนได้ควบคุมดูแลด้วยกัน
จากนั้นผู้หญิงพวกนี้ก็ถูกเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์ทั้งหมด ทิ้งเรือโหลวฉวนไว้ในทะเล พวกอวิ๋นจือชิวปลอมตัวแล้วพุ่งขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว ออกจากดาวจันทร์อี่ไปแล้ว…
ดาวเทียนหยวน ตลาดสวรรค์ ชายร่างกำยำนำผู้ติดตามหลายคนเข้ามาทางประตูฝั่งตะวันออก ตอนที่เข้าใกล้ตำหนักคุ้มเมือง ผู้ติดตามที่อยู่ข้างหลังก็แยกตัวออกไป ตอนที่ชายร่างกำยำเดินมาถึงนอกตำหนักคุ้มเมือง ก็มีคนรอต้อนรับอยู่นานแล้ว จากนั้นพาเข้ามาข้างในโดยเลี่ยงการตรวจสอบจากทหารยาม
ในตำหนัก พอเข้ามาถึงประตูใหญ่ของสวนด้านในแล้ว ฝูชิงที่กำลังหลบสายตาผู้คนก็กำลังรออยู่ที่ด้านข้างประตู พอเห็นชายร่างกำยำเข้ามา ก็โบกมือไล่คนที่นำทางออกไปทันที จากนั้นถึงได้กุมหมัดคารวะต่อชายร่างกำยำ “พี่ใหญ่ เหลือแค่ท่านแล้ว” เขายื่นมือเชิญนำทาง
ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือสงเวย ประมุขถิ่นทิศตะวันออกที่ปลอมตัวมา ขณะที่เดินมาด้วยกันก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้ารอง มีเรื่องด่วนอะไรถึงเรียกทุกคนมา?”
ฝูชิงส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “คนที่มาถึงก่อนเร่งเร้าจนข้ากลุ้มใจแล้ว พี่ใหญ่อย่าเพิ่งใจร้อน อีกประเดี๋ยวก็จะรู้เอง!”
เขานำสงเวยไปที่ใต้ตึกศาลา แล้วก็ยื่นมือเชิญให้ขึ้นไปด้านบน
บนตึก หน้าต่างปิดสนิท คนกลุ่มหนึ่งบ้างก็ยืนบ้างก็นั่ง ไม่ใช่ใครที่ไหน ล้วนเป็นคนที่มาจากทะเลดาวนักษัตร อิงอู๋ตี๋ประมุขถิ่นทิศใต้ หงเทียนประมุขถิ่นทิศเหนือ ทูตทั้งแปดของประมุขถิ่นสี่ทิศในปีนั้นก็อยู่ด้วยเช่นกัน แบ่งเป็น จินกวง หยินกวง ลี่เฟิง ชิงเฟิง หลิงเทียน โพ่เทียน เปินเหลย ฮั่นเทียน
เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ทุกคนเปลี่ยนลักษณะการแต่งกายแบบตอนอยู่พิภพเล็กให้เป็นแบบคนทั่วไปตั้งนานแล้ว
บนตึกมีเสียงดัง สายตาของทุกคนพากันมองไปตรงบันได ฝูชิงโผล่หน้ามายืนอยู่ด้านข้างก่อน สงเวยที่อยู่ข้างหลังเดินขึ้นบันไดตามมาอย่างไม่รีบร้อน
สงเวยเดินขึ้นมาข้างบนแล้วหยุดยืนตรงทางเข้า กวาดสายตามองคนคุ้นเคยที่อยู่ตรงหน้า แล้วยกมือขึ้นถอดหน้ากากออก เผยโฉมหน้าที่แท้จริง
คนในห้องทยอยกันลุกขึ้น อิงอู๋ตี๋กับหงเทียนกุมหมัดคารวะด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่!”
ทูตทั้งแปดก็ทยอยกันกุมหมัดคารวะเช่นกัน “พี่ใหญ่!”
เมื่อได้เห็นคนพวกนี้ ในใจสงเวยกลับรู้สึกสะท้อนใจ ตอนนี้บรรดาพี่น้องเป็นขุนนางอยู่ตามตลาดสวรรค์ ขณะเดียวก็ต้องแยกจากกันเป็นเวลานานเพื่อไม่ให้ตกเป็นที่ต้องสงสัย จะไม่ทำอย่างนี้ก็ไม่ได้ เพราะเหมียวอี้ก่อเรื่องเก่งเกินไป แม้ตอนหลังจะดูเหมือนเหมียวอี้ทอดทิ้งพวกเขาไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังเป็นลูกน้องเก่าของเหมียวอี้ บางคนที่อยู่ในอาณาเขตอิ๋งจิ่วกวงก็ต้องทำตัวสงบเสงี่ยม ยกตัวอย่างเช่นฝูชิง พอรับช่วงต่อตลาดสวรรค์ของที่นี่แล้ว ก็จินตนาการได้เลยว่าต้องทำตัวอย่างไร แต่ก็ยังดีหน่อยที่มีปี้เยว่คุ้มครองอยู่
สงเวยก้าวขึ้นมาตบบ่าอิงอู๋ตี๋กับหงเทียน “เจ้าสาม เจ้าสี่” จากนั้นก็มองไปทางอีกแปดคน แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ต่อไปก็ไม่ต้องเรียกว่าคุณชายใหญ่อะไรนั่นแล้ว ตอนนี้ทุกคนล้วนเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ ฐานะเท่าเทียมทัน ถ้าเรียกคุณชายใหญ่อีกจะไม่เหมาะสม ถ้าทุกคนไม่สะดวกจะพูด ก็ให้พวกเขาเรียกว่าพี่ใหญ่ก็แล้วกัน”
ทูตทั้งแปดอึดอัดเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเรียกอย่างนี้จะเหมาะสมหรือไม่
ยังเป็นอิงอู๋ตี๋ที่ตะโกนถามฝูชิง “พี่รอง ตอนนี้ก็บอกทุกคนได้แล้วมั้งว่าเรียกพวกเรามาทำไม?”
“ให้ทุกคนได้เจอกับใครคนหนึ่ง” ฝูชิงยิ้มเจื่อน แล้วหยิบระฆังดาราติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง
รอไม่นาน ใต้ตึกก็มีเสียงฝีเท้าคนเดินขึ้นบันได ตามเสียงที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สายตาของทุกคนเริ่มฉายแววตะลึงงัน เหมียวอี้ที่ใบหน้าเจือรอยยิ้มเดินเข้ามาช้าๆ เพียงลำพัง
………………
Related