อวิ๋นจือชิวที่สวยสง่าเย้ายวนยืนเงียบๆ อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ กระโปรงปลิวเบาๆ อยู่ท่ามกลางสายลม บางครั้งก็ใช้นิ้วงามเกลี่ยไรผมที่ปลิวตามลมไปทัดไว้ที่หลังหู เงยหน้าเล็กน้อยมองไปทางตำหนักคุ้มเมืองที่อยู่ไกลๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
นางคือดอกไม้สดที่กำลังเจิดจ้าสว่างไสว กำลังเบ่งบานรับแสงแดดที่ส่องลงมา ทั้งนุ่มนวลทั้งสุขุม เสน่ห์อันดิบเถื่อนเหมือนสุราหอมที่เคยมี ในตอนนี้นางต้องสำรวมท่าทีเอาไว้ก่อน เปลี่ยนเป็นรอคอยด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น
ภาพนี้ฝังลึกอยู่ในหัวของเหมียวอี้ตลอดไป เหมียวอี้ที่ออกมาแล้วเห็นฉากนี้ยืนนิ่งทันที เพียงมองดูนางเงียบๆ แววตาพลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน
เดิมทีทั้งสองเป็นสามีภรรยากันอย่างสง่าผ่าเผย ตอนนี้กลับต้องทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ เหมียวอี้รู้ว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากทำแบบนี้ และรู้ด้วยว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากให้ผู้ชายของตัวเองแต่งงานรับอนุภรรยาหลายคน ทุกสิ่งที่นางทำล้วนคำนึงถึงผลประโยชน์ของเขา
บางครั้งทั้งสองก็เถียงกัน หาเรื่องกัน ถึงขั้นด่าทอและลงไม้ลงมือ แต่เรื่องบางอย่างเหมียวอี้ก็รู้ชัดอยู่แก่ใจ ผู้หญิงคนนี้คิดกับเขาอย่างไร ในใจเข้ารู้อยู่แจ่มแจ้ง ก็เพราะอย่างนี้ เขาถึงได้รู้สึกผิดมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่จริงแล้ว บางครั้งเวลาที่อวิ๋นจือชิวระเบิดอารมณ์ใส่ เหมียวอี้ก็ไม่ได้กลัวนางหรอก เขาแค่ยอมให้เท่านั้น เขาแค่ไม่อยากทำให้นางเสียใจ เขาอยากให้ผู้หญิงคนนี้เข้าใจ ว่าในปีนั้นตอนที่ทั้งสองมีฐานะแต่งต่างกันลิบลับ แต่นางกลับยินดีเลือกเขา เขาก็ได้บอกนางไว้แล้ว ว่าจะไม่มีทางทำให้นางผิดหวัง จะรับผิดชอบกับการเลือกของนางไปทั้งชีวิต แต่เรื่องระหว่างเขากับหวงฝู่จวินโหรวเมื่อครู่นี้เรียกว่าอะไรล่ะ เขาไม่ได้กลัวนางหรอก เพียงแต่รู้สึกผิดอยู่ในใจ เพียงแค่ในใจเขามีนางอยู่จริงๆ
ก็เหมือนกับคำสัญญาที่ให้ไว้กับนางในปีนั้น เขาอยากจะอยู่กับนางอย่างมีความสุขไปทั้งชีวิตจากใจจริง
ทว่าความรู้สึกระหว่างชายหญิง บางครั้งก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เขารู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองไม่ได้อยากทำแบบนั้นกับหวงฝู่จวินโหรว ก่อนเกิดเรื่องเขาไม่ได้อยากจะทำอย่างนั้น หลังเกิดเรื่องเขาก็ไม่อยากเหมือนกัน แต่ดันทำเรื่องแบบนั้นกับหวงฝู่จวินโหรวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“เถ้าแก่เนี้ย!” พ่อครัวถ่ายทอดเสียงเตือน
อวิ๋นจือชิวหันกลับมามอง เป็นเหมียวอี้กำลังยืนมองตนอยู่บนบันได สายตาแบบนั้นทำให้ในใจนางรู้สึกอบอุ่น นางจึงพยักหน้าพลางยิ้มบางๆ
พอเหมียวอี้ได้สติกลับมา ก็ทำท่าทางเหมือนดีใจเหนือความคาดหมาย แสดงละครให้คนนอกเห็นทันที พอเดินลงบันไดมาก็กุมหมัดคารวะต้อนรับตั้งแต่อยู่ไกลๆ “เถ้าแก่เนี้ยให้เกียรติมาเยือน ขออภัยที่ต้อนรับไม่ดี ขออภัยที่ต้อนรับไม่ดี!”
คนที่มองเห็นภาพนี้อยู่ไกลๆ กลั้นขำ เมื่อครู่นี้มองจนเหม่อแล้ว คิดในใจว่าท่านผู้บัญชาการคงจะสนใจผู้หญิงคนนี้จริงๆ ตอนผู้จัดการจากร้านค้าใหญ่ๆ มาหา ก็ยังไม่ออกมาต้อนรับด้วยตัวเองแบบนี้เลย มีแค่ผู้หญิงคนนี้คนเดียวเท่านั้น สงสัยต่อไปจะต้องประจบผู้หญิงคนนี้สักหน่อยแล้ว ส่วนการที่นายท่านไปชอบผู้หญิงที่มีสามีแล้วแบบนี้ จะมีคุณธรรมหรือไร้คุณธรรม นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาจะต้องพิจารณาแล้ว… เอ! ทำไมไม่เห็นผู้จัดการหวงฝู่นั่นออกมาเสียที?
ไม่มีใครคิดไปถึงเรื่องอย่างว่า เรื่องเกิดมาจนป่านนี้แล้ว บนโลกนี้หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง ความแค้นระหว่างท่านผู้บัญชาการกับผู้จัดการหวงฝู่ พวกเขาก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน เหมือนนายท่านจะโดนผู้จัดการหวงฝู่นั่นบีบจนต้องหนีมาที่เขตเมืองตะวันออก แทบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว ไม่เห็นหรือว่าเมื่อครู่นี้ไม่มีการเชิญให้ดื่มน้ำชาเลย
แต่พอลองคิดดูอีกที ก็รู้สึกว่าผู้จัดการหวงฝู่ยังอยู่ในห้อง ใครจะไปคิดว่าตอนลับหลังศัตรูคู่นี้จะทำเรื่องที่พวกเขาจินตนาการไม่ถึง
“รบกวนให้ผู้บัญชาการออกมารับด้วยตัวเองแล้ว!” อวิ๋นจือชิวคำนับด้วยท่าทางที่งดงาม พ่อครัวกุมหมัดคารวะตามด้วยท่าทางจริงจัง
“ไม่ต้องมากพิธี!” เหมียวอี้ยิ้มพลางผายมือ ปรากฏว่าสังเกตเห็นว่าอวิ๋นจือชิวกำลังมองตนด้วยสายตาแปลกๆ มองสำรวจศีรษะจดเท้า ทั้งยังขมวดคิ้วด้วย
ชั่วพริบตาเดียว ในใจเหมียวอี้ก็เต้นตึกตัก รู้สึกขาดความมั่นใจถึงขีดสุด หรือว่าตัวเองเก็บกวาดไม่เรียบร้อย โดนผู้หญิงคนนี้สังเกตเห็นอะไรบางอย่างเข้าแล้ว? ตอนนี้จะทำยังไงดีล่ะ ถ้าผู้หญิงคนนี้ปรี๊ดแตกขึ้นมาคงแย่แน่!
เมื่อเห็นว่าอวิ๋นจือชิวไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากมาย เขาก็ฝืนตั้งสมาธิให้มั่นคง แล้วหันตัวยื่นมือเชิญ “เชิญด้านใน!”
อวิ๋นจือชิวรักษาระยะห่างกับเขา สำรวมท่าทีให้คนนอกเห็น พยักหน้าเบาๆ แสดงคำขอบคุณ แล้วตามเหมียวอี้เข้าไปในโถงหลัก ส่วนพ่อครัวที่เดินตามหลังไปก็ยืนเฝ้าอยู่ข้างประตู ทำท่าเหมือนเทพเฝ้าประตู
ย่อมมีคนรีบเข้ามารินน้ำชาให้ เพียงแต่เมื่อเทียบกับแขกคนอื่นๆ คนรินน้ำชายิ้มให้อวิ๋นจือชิวมากเป็นพิเศษ เชิญให้ดื่มน้ำชาอย่างเคารพนอบน้อม
ส่วนเหมียวอี้ก็โบกมือเรียกคนรินน้ำชาเข้ามา แล้วถ่ายทอดเสียงถาม “ผู้จัดการหวงฝู่ของร้านสมาคมวีรชนบอกว่าจะเดินเล่นอยู่ในจวนผู้บัญชาการ เจ้าไปเฝ้าข้างนอกไว้ ถ้าเห็นนางออกไปแล้ว ก็เข้ามารายงานทันที”
“ขอรับ!” คนคนนั้นเอ่ยรับ
เหมียวอี้บอกอีกว่า “บอกด้านนอกด้วย ว่าถ้าข้าไม่อนุญาต ก็ห้ามให้ใครเข้าใกล้ที่นี่”
คนคนนั้นรีบแอบมองเถ้าแก่เนี้ยเงียบๆ แวบหนึ่ง คิดว่านายท่านผู้บัญชาการคงจะอยากอยู่กับท่านนี้ตามลำพัง จึงพยักหน้าอย่างรู้อยู่แก่ใจ แล้วรีบออกไปปฏิบัติตาม
ในห้องไม่มีคนนอกแล้ว ตรงประตูก็มีพ่อครัวเฝ้า เหมียวอี้เลิกวางมาดผู้บัญชาการ ลุกขึ้นเดินไปนั่งที่โต๊ะน้ำชาข้างๆ อวิ๋นจือชิว แล้วถามพร้อมรอยยิ้ม “เข้ามาได้ยังไง?”
อวิ๋นจือชิวเหลือบมองแวบหนึ่ง แต่เหมียวอี้สังเกตเห็นทันทีว่าในแววตานางแฝงความหมายลึกซึ้ง ในใจเริ่มกังวลขึ้นมาอีกแล้ว
ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ อวิ๋นจือชิวยืนขึ้นแล้ว นางเดินวนไปรอบๆ ห้องโถง เหลียวซ้ายแลขวา เหมือนกำลังขมวดคิ้วหาอะไรบางอย่าง
เหมียวอี้ตระหนกจนใจสั่น ยืนขึ้นเช่นกัน ยิ้มแห้งๆ พลางถามว่า “เจ้ามองหาอะไรเหรอ?”
“หวงฝู่จวินโหรวล่ะ?” อวิ๋นจือชิวถามกลับ
ท่านขุนนางเหมียวตกตะลึงพรึงเพริด แต่พยายามทำท่าเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางมาที่นี่?”
“เหลวไหล!” อวิ๋นจือชิวกลอกตาใส่เขาอย่างหยาดเยิ้ม “เกี้ยวของนางจอดอยู่ข้างนอก เจ้าเห็นข้าเป็นคนตาบอดรึไง?”
“…” อย่างนี้นี่เอง เหมียวอี้รู้สึกเหมือนตัวเองพลาดก้าวเท้าตกหน้าผาสูงหมื่นจั้ง แต่ใช้มือคว้าขอบหน้าผาปีนขึ้นมาได้ทันเวลา เหมือนยกภูเขาออกจากอก จึงพูดโกหกออกมาส่งเดชว่า “ข้ากับนางไม่มีอะไรดีๆ ต้องคุยกันหรอก คุยกันไม่กี่คำนางก็ออกไปแล้ว บอกว่าจะเดินเล่นในจวนผู้บัญชาการสักหน่อย เจ้าเองก็รู้ว่านางมีคนหนุนหลัง ข้าไม่สะดวกจะขัดใจนางมากเกินไป เลยตามใจ”
อวิ๋นจือชิวจ้องเขาครู่หนึ่ง จ้องจนเหมียวอี้ขนลุก พอหันหน้าไป นางก็มุ่งตรงไปที่โถงด้านหลังแล้ว
เหมียวอี้ตระหนกทันที รีบดึงแขนนางไว้ “เจ้าทำอะไร?” เขาเองก็ไม่รู้ว่าหวงฝู่จวินโหรวออกไปหรือยัง ถ้าโดนกักไว้ด้านหลังคงแย่แน่!
อวิ๋นจือชิวตีมือเขา แล้วขมวดคิ้วมุ่นจ้องสำรวจเขาศีรษะจดเท้า
ยังคงไม่สบายใจอยู่เหมือนเดิม เหมียวอี้แทบจะเสียสติเพราะปฏิกิริยาของนาง อดไม่ได้ที่จะถามอย่างกินปูนร้อนท้อง “วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป เอาแต่มองข้าแบบนี้ทำไม?”
อวิ๋นจือชิวใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่หน้าผากของเขา แล้วก็จิ้มที่จอนผมข้างขวา “ผมเจ้านี่หวียังไง ข้างนี้หวีสั้นไปอย่างเห็นได้ชัด เจ้าไม่รู้เหรอว่าอีกข้างหนึ่งสูงอีกข้างหนึ่งต่ำ? เจ้าออกมารับแขกในสภาพแบบนี้เนี่ยนะ? น่าขายหน้ามั้ย? ข้าว่าเจ้าข้างกายเจ้าขาดผู้หญิงดูแลไม่ได้หรอก น่าเสียดายที่เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ไปสะดวกมาหาเจ้าที่นี่”
เหมียวอี้ราวกับได้ยกหินก้อนใหญ่ออกจากใจ ก็ยังนึกอยู่ว่าทำไมนางเอาแต่มองเขาแบบนี้ ที่แท้ก็เป็นเพราะจอนผมนี่เอง!
เขาเอามือลูบผมตัวเองนิดหน่อย รู้ดีอยู่แก่ใจ เมื่อครู่นี้ตระหนกตกใจเกินไปจริงๆ หวงฝู่จวินโหรวคงฉุกละหุกจนไม่ได้สังเกตเห็นแน่นอน ตกใจแทบตาย!
อวิ๋นจือชิวหันตัวเดินไปที่โถงด้านหลัง เหมียวอี้รีบไปคว้าแขนนางไว้อีก “ทำอะไรของเจ้า?”
“เจ้าเอาแต่ดึงแขนข้าทำไม? ไม่กลัวคนอื่นมาเห็นเหรอ?”
“ไม่ใช่ ข้าถามว่าเจ้าจะเดินไปข้างหลังทำไม?”
อวิ๋นจือชิวตอบอย่างหงุดหงิดว่า “ข้างหลังไม่ใช่สถานที่ลับของเจ้านี่นา? คนอื่นเข้าไปไม่ได้ อย่าบอกนะว่าข้าก็เข้าไปไม่ได้เหมือนกัน? ทรงผมเจ้าเป็นแบบนี้แล้วจะออกไปเจอคนได้อย่างไร ไปข้างหลังสิ ข้าจะช่วยหวีผมให้เจ้าใหม่” ขณะที่พูดก็ดึงแขนเหมียวอี้
เหมียวอี้จะกล้าพานางไปข้างหลังได้อย่างไร ถ้าเจอหวงฝู่จวินโหรวขึ้นมา ก็ไม่มีทางพูดกลบเกลื่อนได้แล้ว จึงพยายามดึงนางไว้ทันที
“เจ้าเป็นอะไรไป ข้างหลังไม่ได้ซ่อนผู้หญิงไว้ใช่มั้ย?” อวิ๋นจือชิวฉงนใจ
ไม่ต้องพูดถึงเลย เดาถูกแล้วล่ะ! แต่ท่านขุนนางเหมียวไม่ยอมรับแน่นอน กลับตอบด้วยท่าทีจริงจังว่า “ไม่สะดวก โค่วเหวินหลานอยู่ข้างหลัง”
การที่เขาอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะไม่ได้อ่อนหัด ความสามารถในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้เรียกได้ว่ายอดเยี่ยม ตราบใดที่กระดาษหน้าต่างไม่ถูกเจาะ เขาย่อมมีวิธีตลบตะแลงอยู่แล้ว
“เอ…” อวิ๋นจือชิวชะงัก แล้วอดไม่ได้ที่จะถามเสียงต่ำอย่างสงสัย “ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าส่งต่องานให้กันไปแล้วเหรอ? เขาจะมาที่นี่อีกทำไม?”
เหมียวอี้กดเสียงตอบว่า “เขามาเก็บของ ข้างหลังยังมีของของเขาอยู่นิดหน่อย เขาจะนำไปไว้ที่ตำหนักคุ้มเมือง”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! อวิ๋นจือชิวพยักหน้า ไม่สะดวกจะให้โค่วเหวินหลานรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจริงๆ ทำได้เพียงล้มเลิก
ขณะเดียวกันนี้เอง พ่อครัวที่เฝ้าอยู่ตรงประตูก็ถ่ายทอดเสียงเตือนทั้งสอง “มีคนมาแล้ว”
ทั้งสองไม่สะดวกจะฉุดกระชากลากยื้อกันอีก รีบถลันตัวออกจากกัน กลับไปนั่งอย่างสง่าผ่าเผยที่ตำแหน่งของตัวเอง
เป็นลูกน้องคนที่ออกไปก่อนหน้านี้ หลังจากเข้ามาคำนับแล้ว ก็ถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “นายท่าน ผู้จัดการหวงฝู่ไปแล้วขอรับ”
“อืม! รู้แล้ว” เหมียวอี้พยักหน้าด้วยท่าทางจริงจัง ในใจเหมือนยกหินก้อนใหญ่ออกจากอก แล้วเตือนอีกว่า “ถ้าข้าไม่อนุญาต ก็ห้ามใครเข้ามาทั้งนั้น รวมทั้งเจ้าด้วย!”
หลังจากลูกน้องออกไปแล้ว ท่านขุนนางเหมียวก็เรียกได้ว่ายิ้มออกมาจากใจจริง ยืนขึ้นแล้วกวักมือบอกอวิ๋นจือชิว “ไป ข้าจะพาเจ้าไปดูข้างหลัง”
อวิ๋นจือชิวไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนความคิด นางมองไปทางห้องโถงข้างหลัง แล้วถามอย่างแปลกใจ “ข้าเข้าไปจะเหมาะเหรอ?” นางจะสื่อว่าโค่วเหวินหลานอยู่ข้างหลัง
“ลูกน้องเพิ่งมารายงาน บอกว่าโค่วเหวินหลานไปแล้ว” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม
พอเขาพูดแบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็หายกังวลแล้ว ก้าวขึ้นไปควงแขนเขา แล้วพูดคุยยิ้มแย้มเดินเข้าไปที่โถงด้านหลังด้วยกัน “ช่วงนี้เจ้าไม่ได้ไปหาข้าเลย ข้าอยากจะถามมาตลอดว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่ ได้ยินว่าคนที่ไปสู้กับเฮยหวังนั่น ที่เขตเมืองตะวันตกมีเซี่ยโห้วหลงเฉิงกลับมาคนเดียวเหรอ ส่วนเขตเมืองตะวันออกของเจ้าก็มีคนรอดกลับมาสามคน นักพรตบงกชทองหกสิบกว่าคน สู้รบจนตายหมดเลยจริงๆ เหรอ?”
“ช่วงนี้ไม่สะดวกจะไปหา ตอนที่ยังไม่ได้ตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกอย่างเป็นทางการ ข้าก็ไม่สะดวกจะเพ่นพ่านไปทั่ว กลัวว่าจะมีคนเล่นไม่ซื่อลับหลัง ส่วนคนพวกนั้น ก็ตายแล้วจริงๆ ของวิเศษในมือเฮยหวังร้ายกาจมาก จะว่าไปแล้วก็เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางของปราชญ์ผีซือถูเซี่ยว…” เหมียวอี้เล่าเหตุการณ์ในตอนนั้นให้ฟังคร่าวๆ
อวิ๋นจือชิวได้ฟังแล้วอกสั่นขวัญแขวน นับว่าเข้าใจแล้ว ว่าตำแหน่งผู้บัญชาการนี้ได้มาเพราะผู้ชายของตนเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น ถ้าเปลี่ยนเป็นนางก็คงจะเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว ภายใต้สถานการณ์วิกฤต ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายของตนจะพลิกอันตรายให้กลายเป็นความปลอดภัยได้
เรื่องบางเรื่องนางเก็บไว้ในใจไม่กล้าพูดออกมา เหมียวอี้เอาชีวิตไปเล่นครั้งแล้วครั้งเล่า นางกลัวจริงๆ ว่าสักวันเหมียวอี้จะพลาดแล้วกลับมาไม่ได้อีก นี่ไม่ใช่เรื่องที่คิดมากไปเอง แต่เป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้สูง ไม่มีใครที่จะโชคดีรอดชีวิตกลับมาทุกครั้งหรอก ทว่าเมื่อเดินบนเส้นทางนี้แล้ว ก็มีเรื่องมากมายที่ทำตามใจตัวเองไม่ได้…
เหมียวอี้คุ้นชินกับเรื่องแบบนี้จนกลายเป็นปกติแล้ว ไม่รู้สึกว่าเป็นอะไร เขาไม่คิดว่าการรอดชีวิตมาได้เพราะดวงดีอย่างเดียว เรื่องบางเรื่องก็ขึ้นอยู่กับการรับมือยามหน้าสิ่วหน้าขวาน เรื่องราวคล้ายๆ กัน เขาผ่านประสบการณ์มาหลายครั้งแล้วก็ย่อมเข้าใจดี
ทว่าหลังจากฟังจบ อวิ๋นจือชิวก็หันตัวมากอดเขา หมอบศีรษะบนบ่า ปล่อยให้เหมียวอี้ถาม นางเอาแต่ส่ายหน้า ไม่อยากพูดอะไรมาก กอดเข้าไว้แนบแน่น ดวงตาแดงก่ำ แต่กลับไม่ให้เหมียวอี้เห็น ไม่อยากให้เขาเป็นห่วงเกินความจำเป็น ถ้าลดความคิดฟุ้งซ่านลงสักเรื่อง ก็อาจจะช่วยให้เขารอดชีวิตยามที่เขาเผชิญอันตรายก็ได้
…………………………