ความรู้สึกบางอย่างสามารถติดต่อกันได้ เหมียวอี้สัมผัสได้ถึงความคิดของนางแล้ว เขาตบหลังนางเบาๆ “ยังอยู่ในลานบ้านนะ ระวังจะมีคนเหาะผ่านแล้วมองเห็น”
อวิ๋นจือชิวเก็บสำรวมอารมณ์ แล้วดึงมือเขาเข้าไปในห้อง “ชัยภูมิถ้ำสวรรค์ล่ะ? ข้ายังไม่เคยเห็นชัยภูมิถ้ำสวรรค์ชั้นหนึ่งของผู้บัญชาการตำหนักสวรรค์เลยนะ”
ทำไมคำพูดนี้ฟังดูคุ้นหูนักล่ะ พอลองนึกย้อนกลับไป ก็พบว่าหวงฝู่จวินโหรวเคยพูดประมาณนี้เหมือนกัน ใช้ข้ออ้างนี้ดึงเขาเข้าไปทำเรื่องอย่างนั้นในชัยภูมิถ้ำสวรรค์
พอนึกถึงเรื่องนี้ก็อกสั่นขวัญแขวนนิดหน่อย แต่พอนึกได้ว่าหวงฝู่จวินโหรวไปแล้ว เขาก็พาอวิ๋นจือชิวเข้าไปในศาลเจ้านั้นเสียเลย
ท่าทีที่มีต่ออวิ๋นจือชิวกับท่าทีที่มีต่อหวงฝู่จวินโหรวย่อมต่างกัน เหมียวอี้เป็นฝ่ายพานางไปดูเครื่องมือรวบรวมลูกแก้วพลังปรารถนาที่อยู่ในนี้
หลังจากแสดงความมหัศจรรย์ของเครื่องมือรวบรวมลูกแก้วพลังปรารถนาของที่นี่ให้ดู อวิ๋นจือชิวกลับมีความคิดเห็นต่างออกไป นางบอกว่า “เครื่องมือรวบรวมลูกแก้วพลังปรารถนาแบบนี้ ที่พิภพเล็กก็ทำได้เหมือนกัน เพียงแต่พวกเราต้องเสริมการควบคุมกำลังพลเบื้องล่าง ถึงได้มีการส่งส่วยประจำปีเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นพิภพเล็กที่ไม่มีระฆังดาราไว้ติดต่อกัน เวลากำลังพลเบื้องล่างไปที่ไหนมาบ้างเราก็ไม่รู้เลย”
“อย่างนี้เองเหรอ!” เหมียวอี้เข้าใจกระจ่างในทันที
“ข้าอยู่ที่นี่นานไม่ได้ จะรีบช่วยเจ้าจัดแต่งทรงผมใหม่สักหน่อย” อวิ๋นจือชิวดึงเขาเข้าไปที่ห้องนอน
ท่านขุนนางเหมียวรู้สึกกดดันทางอารมณ์ ในห้องนอนก่อนหน้านี้… พอผลักประตูเข้ามาในห้องนอน เหมียวอี้ก็เอ๋อแดกนิดหน่อย!
บนเตียงยังคงยับยู่ยี่ ไม่น่าเชื่อว่าหวงฝู่จวินโหรวจะไม่ช่วยเก็บที่นอนให้เขาสักหน่อยเลย และที่ทำเกินไปที่สุดก็คือ เสื้อชั้นในมาจากไหน?
จะมาจากไหนได้ล่ะ เหมียวอี้แทบจะประสาทกิน โยนเสื้อชั้นในไว้บนเตียงส่งเดช มันสะดุดตาเกินไปแล้วมั้ง!
ความรู้สึกของเหมียวอี้ยุ่งเหยิงยิ่งกว่าสิ่งที่อยู่บนเตียง ในใจด่าหวงฝู่จวินโหรวอย่างบ้าคลั่ง นารีเป็นเหตุ บ้าไปแล้วกระมัง!
อวิ๋นจือชิวตัวนิ่งทื่อแล้ว ก้าวเท้าลำบากมาก สายตาหยุดจ้องอยู่บนเตียง จ้องเสื้อชั้นในตัวนั้นที่อยู่บนเตียง จากนั้นก็ค่อยๆ เลิกคิ้วสูง แล้วหันช้าๆ กลับมาจ้องเหมียวอี้ แววตาค่อนข้างเย็นเยียบ
เหมียวอี้อยากจะเอาหัวโขกกำแพงให้ตาย แต่ภายนอกยังคงสงบนิ่ง ทั้งยังขมวดคิ้วถามด้วยว่า “โค่วเหวินหลานเล่นบ้าอะไรเนี่ย เจ้าตุ้งติ้งนี่คงไม่ได้เอาเสื้อชั้นในผู้หญิงมาใส่หรอกใช่มั้ย? หรือว่าเขาซ่อนผู้หญิงเอาไว้ที่นี่?”
“เจ้าถามข้า แล้วจะให้ข้าไปถามใครล่ะ?” อวิ๋นจือชิวถามเสียงเรียบ แต่แววตากลับเหมือนเหลือบมองผมที่หวีสูงขึ้นมาข้างหนึ่งของเหมียวอี้ จากนั้นก็ปล่อยมือเหมียวอี้ แล้วหันตัวเดินไปข้างเตียง มองดูภาพระเกะระกะบนเตียงคร่าวๆ แล้วถามว่า “นี่คือผลงานชิ้นเอกของโค่วเหวินหลานเหรอ?”
เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะว่า “นอกจากเขาแล้วจะมีใครอีกล่ะ หลังจากข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการ ช่วงไม่กี่วันมานี้ข้าก็ไม่ทันได้มาที่นี่ คอยต้อนรับพวกผู้จัดการร้านใหญ่ๆ ตลอด”
“จะอธิบายมากขนาดนั้นทำไม ข้าไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของเจ้า” อวิ๋นจือชิวพูดเหน็บแหนม แล้วโน้มตัวยื่นนิ้วเกี่ยวเสื้อชั้นในตัวนั้นขึ้นมาดู ทั้งยังเอามาดมใกล้ๆ ด้วย กลิ่นกายหอมที่อยู่บนนั้นทำให้นางเลิกคิ้วอีกครั้ง สุดท้ายนางก็สะบัดมือ โยนเสื้อชั้นในกลับไปไว้บนเตียง “โค่วเหวินหลานนี่ก็จริงๆ เลย ไม่รู้จักเก็บกวาดให้เรียบร้อย”
นางหันตัวเดินไปตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วชี้บอก “นั่งลง ข้าจะช่วยจัดแต่งทรงผมให้เจ้าใหม่”
“ในนี้ระเกะระกะ ออกไปข้างนอกกันดีกว่า” เหมียวอี้กล่าวอย่างค่อนข้างอึดอัด
“ข้าให้เจ้านั่ง เจ้าก็นั่งสิ ส่องกระจกจะได้จัดทรงผมได้ง่ายๆ” อวิ๋นจือชิวชี้ไปที่กระจก กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธ
เหมียวอี้ทำได้เพียงเดินเข้าไปนั่งลง อวิ๋นจือชิวที่เดินมาข้างหลังช่วยถอดปิ่นปักผมออกให้เขา เส้นผมสยายออก ตอนที่สายตาทั้งสี่สบประสานผ่านกระจก จู่ๆ นางก็หมอบที่บ่าของเขา ใช้มือคล้องคอ แล้วคลอเคลียข้างหู “ท่านสามี เราไม่ได้จู๋จี๋กันมานานแล้ว ไม่เคยสะดวกเลย วันนี้กำลังดีเลย เจ้าต้องการข้าหรือเปล่า?”
เหมียวอี้แอบปาดเหงื่อในใจ ก่อนหน้านี้รีบร้อนเกินไป บนร่างกายยังมีรอยกัดอยู่เลย ถ้าถอดเสื้อผ้าออกหมดก็กลัวจะเผยพิรุธ มิหนำซ้ำก่อนหน้านี้ก็เพิ่งทำเรื่องอย่างว่ากับหวงฝู่จวินโหรว ถ้าตอนนี้จะมาทำกับฮูหยินของตัวเองอีก มันก็จะเกินไปหน่อยแล้ว! จึงจับมือเรียวงามของนาง พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มทันที “ข้าต้องการอยู่แล้วล่ะ แต่วันนี้ไม่เหมาะ อีกประเดี๋ยวจะต้องมีผู้จัดการจากร้านอื่นมาเยี่ยมอีกแน่ๆ เดี๋ยววันหลังข้าจะไปหาเจ้า”
“เอาอย่างนี้เหรอ!” อวิ๋นจือชิวมองเขาผ่านกระจกด้วยแววตาล้ำลึก แล้วก็ล้มเลิกความคิดทันที ช่วยจัดแต่งทรงผมให้เขา แล้วเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ได้ยินว่าคนที่มาแสดงความยินดีกับเจ้าต้องต่อแถวกัน ไม่กี่วันนี้รับของขวัญจนมือไม้อ่อนเลยล่ะสิ?”
พอพูดถึงเรื่องนี้ เหมียวอี้ก็หัวเราะเบาๆ พลิกฝ่ามือนำกำไลเก็บสมบัติยื่นไปข้างหลัง “ก็ค่อนข้างเยอะนะ ข้าเองก็ยังเจียดเวลาไม่ได้ ที่นี่ไม่มีลูกน้องที่ไว้ใจได้ ไม่สะดวกจะเอามานับ ของอยู่ในนี้แล้ว เจ้านำกลับไปให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์จัดการแล้วกัน ดูว่ามีใครให้อะไรมาบ้าง”
อวิ๋นจือชิวนำกำไลเก็บสมบัติมาดู อดไม่ได้ที่จะยิ้มเช่นกัน “สงสัยท่านสามีจะได้เลื่อนขั้นร่ำรวยแล้วจริงๆ ได้ เดี๋ยวกลับไปข้าจะรีบช่วยเจ้านับ แล้วอีกสองสามวันจะค่อยไปเอาที่ข้า”
เหมียวอี้ “เจ้าจัดการตามเห็นสมควรแล้วกัน ข้าไม่มีเวลาจัดการของพวกนี้หรอก เดี๋ยวเขียนรายการให้ข้าดูก็พอ ข้าจะได้รู้ว่าคนพวกนั้นให้อะไรมาบ้าง”
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “เจ้าเพิ่งขึ้นรับตำแหน่ง ต้องแสดงน้ำใจต่อเบื้องบนสักหน่อย เอาอย่างนี้แล้วกัน เหลือไว้ครึ่งหนึ่งให้พวกเราจัดการเอง เดี๋ยวเจ้านำอีกครึ่งหนึ่งไปให้โค่วเหวินหลานกับปี้เยว่ฮูหยิน ข้าจะแบ่งเอาไว้ให้เจ้า เจ้าเจียดเวลามาเอาไปมอบให้พวกเขาก็พอแล้ว”
เหมียวอี้พยักหน้า “อืม” แล้วก็นำกำไลเก็บสมบัติอีกวงยื่นไปข้างหลัง “อันนี้ไม่ต้องให้ใครแล้ว เป็นของพวกเราทั้งนั้น”
หลังจากอวิ๋นจือชิวรับมาดู ก็รู้สึกตกใจนิดหน่อย ตกใจเพราะของที่กองเป็นภูเขาอยู่ข้างใน ถามอย่างตกตะลึงว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้านำสมบัติมาจากไหนมากมายขนาดนี้? ผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกคงไม่ได้มีผลประโยชน์มากขนาดนี้หรอกมั้ง? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ จะได้หุ้นของร้านขายของชำซื่อตรงหรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว”
เหมียวอี้จ้องผู้หญิงที่กำลังตกตะลึงผ่านกระจก พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่ผลประโยชน์เสียที่ไหนกัน ถ้ามีผลประโยชน์ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเยอะขนาดนี้ ถ้าเยอะขนาดนี้จริงๆ ตำแหน่งผู้บัญชาการคงไม่วนมาถึงข้าหรอก นี่เป็นของตอนที่ร้านค้ารอบๆ โดนพังก่อนหน้านี้ เป็นของที่คนของจวนผู้บัญชาการปล้นมา ตอนอยู่ที่ภูเขาโอนเอนคนพวกนั้นรบตายแล้ว ของก็ย่อมปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ ข้าเลยถือโอกาสเก็บมาหมด สมบัติของคนเขตเมืองตะวันตกที่รบตาย ทั้งยังมีของลูกสมุนเฮยหวังอีก ข้ากวาดมาหมดเลย ของชิ้นเล็กชิ้นน้อยรวมไว้ด้วยกัน คาดว่ามูลค่าคงเกือบแปดล้านล้านผลึกแดงได้! ถึงอย่างไรธุระในบ้านก็ยกให้เจ้าจัดการแล้ว ข้าขี้เกียจสนใจ เจ้าจัดการตามเห็นสมควรแล้วกัน”
“แปดล้านล้าน!” อวิ๋นจือชิวตกตะลึงถึงขีดสุด หลังจากได้สติกลับมา ก็ถามว่า “เจ้าฮุบของพวกนี้ไว้คนเดียวเหรอ? โค่วเหวินหลานไม่ว่าอะไรเหรอ?”
“จะว่าอะไรได้ เขารวยตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว ความคิดไม่ได้อยู่กับของพวกนี้เลย เขาสนใจอำนาจมากกว่า บอกอย่างสบายใจว่าให้ข้ากับสวีถังหรานแบ่งกันคนละครึ่ง มองออกเลยว่าเขาไม่มั่นใจกับจำนวนของพวกนี้ ถ้ามั่นใจคงไม่พูดแบบนี้ออกมาหรอก สวีถังหรานกลับรู้อยู่แก่ใจ อยากจะขอแบ่งครึ่งหนึ่ง แต่ก็ต้องดูว่าเขามีความสามารถนั้นหรือเปล่า แล้วอีกอย่าง ก็มีแค่ข้าคนเดียวที่รู้ว่าเก็บของมาได้จำนวนเท่าไร ไม่มีทางมาตรวจสอบจำนวนได้หรอก ข้าบอกว่าเท่าไรก็แปลว่าเท่านั้น ให้ของเขาไปส่งเดชนิดหน่อยก็ไล่เขาไปได้แล้ว” เหมียวอี้กล่าว
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้าเดาะลิ้น แต่พอนึกได้ว่าของพวกนี้ล้วนแลกมาด้วยชีวิตของเหมียวอี้ ก็ไม่ถือว่าดีใจเท่าไรนัก แค่เพ่งมองเหมียวอี้ผ่านกระจกด้วยแววตาล้ำลึกพักหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำมถึงถอนหายใจเบาๆ
เหมียวอี้หันกลับมาบอกว่า “เป็นอะไรไป? ร่ำรวยแล้วเจ้าไม่ดีใจเหรอ? เมื่อมีของพวกนี้แล้ว ก็จะทำให้เจ้าบรรลุวรยุทธ์ถึงระดับบงกชรุ้งได้เร็วๆ”
อวิ๋นจือชิวบอกเขาว่า “ของก็มีไม่น้อย แต่ถ้าอยากให้ถึงระดับบงกชรุ้งก็ยังห่างไกล แล้วอีกอย่าง ได้บรรลุถึงระดับบงกชรุ้งคนเดียวจะมีประโยชน์อะไร? ต่อให้วรยุทธ์สูงก็ยังมีคนที่สูงกว่า รุดหน้าไปคนเดียวก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าพวกลูกน้องตามไม่ทัน โลกกว้างใหญ่ขนาดนี้ ถ้าต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย คงจัดการเรื่องอะไรด้วยตัวคนเดียวไม่ไหว ต้องมีกลุ่มลูกน้องคอยจัดการธุระให้ แบบนั้นถึงจะเป็นวิธีการที่ยั่งยืนถาวร ก็เหมือนกับหกปราชญ์ เลี้ยงคนไว้คุมอาณาเขตให้ เพื่อส่งผลประโยชน์ไปให้พวกเขาในระยะยาว ราชันสวรรค์กับประมุขพุทธะที่พิภพใหญ่ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน”
เหมียวอี้ถอนหายใจอีก “ใช่แล้ว! แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าไม่มีคนที่พอจะใช้งานได้เลย”
อวิ๋นจือชิวอธิบายว่า “ตอนนี้พวกเรายืนที่พิภพใหญ่ได้อย่างมั่นคงแล้ว มีของมากมายขนาดนี้ สามารถเพิ่มวรยุทธ์ให้พวกลูกน้องคนสนิทของเจ้าได้ ทำให้วรยุทธ์ของพวกเขาสูงถึงระดับบงกชทอง หลังจากนี้อีกไม่กี่ปี พิภพเล็กก็จะเป็นของเจ้าแล้ว บางสิ่งที่ทุ่มเทไปตอนนี้ ก็เพื่อแลกกับกลุ่มคนที่จะคุมพิภพเล็กเพื่อเจ้าในระยะยาว และนำผลประโยชน์ของพิภพเล็กมาส่งให้เจ้าในระยะยาว เมื่อเวลาผ่านไปเจ้าจะไม่เสียเปรียบแน่นอน ความหมายของข้าก็คือ ข้าวางใจเวยเวยกับหยางชิ่งได้แล้ว กลับไปก็นำยาแก่นเซียนไปให้พวกเขา เพิ่มวรยุทธ์ให้พวกเขาก่อน ส่วนหลางหลางกับหวนหวน ไม่ใช่ว่าข้ามีอคติกับพวกนางนะ แต่ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าภูมิหลังพวกนางเป็นอย่างไร ตอนนี้ข้ายังไม่ค่อยวางใจ ถ้านำยาแก่นเซียนให้พวกนางแล้วข่าวหลุดถึงหูมู่ฝานจวิน มู่ฝานจวินคไม่ปรานีแน่นอน!”
เหมียวอี้พยักหน้า “เจ้าเป็นภรรยาเอก เป็นเจ้านายของบ้าน เจ้ามีอำนาจตัดสินใจเรื่องในบ้าน เจ้าพูดอะไรพวกนางก็ไม่กล้าขัดคำสั่งหรอก เจ้าจัดการตามเห็นสมควรแล้วกัน”
“เอ๋!” อวิ๋นจือชิวถามหยอก “ไม่กลัวข้าลำเอียงใจแคบแล้วปฏิบัติต่อพวกอนุภรรยาของเจ้าอย่างไม่เป็นธรรมเหรอ?”
“ถ้าเจ้าใจแคบขนาดนั้น ก็คงไม่ให้ข้าแต่งงานกับพวกนางหรอก” เหมียวอี้ยิ้มตอบ
“หลงตัวเอง ได้เปรียบแล้วยังจะแกล้งทำตัวน่าสงสารอีก!” พอจิ้มหลังศีรษะของเขาแรงๆ ทีหนึ่ง อวิ๋นจือชิวก็ถอนหายใจแล้วบอกอีกว่า “แต่จะว่าไปแล้ว เจ้าก็เจียดเวลากลับไปสักครั้งเถอะ อย่าแต่งงานกับพวกนางแล้วทิ้งไว้อย่างนั้นโดยไม่สนใจ แบบนั้นพวกนางจะนินทาข้าลับหลังว่าเป็นผู้หญิงขี้อิจฉา จะนึกว่าภรรยาเอกอย่างข้าขัดขวางไม่ให้เจ้าไปจู๋จี๋กับพวกนาง แบบนั้นก็ผิดพลาดใหญ่หลวง ถึงตอนนั้นพวกเวยเวยต้องเกลียดข้าแย่แน่ เจ้าใส่ใจหน่อยเถอะ ได้แต่งงานกับสาวงามก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว อย่าทำให้กลายเป็นเรื่องแย่”
“เพิ่งห่างกันไม่กี่ปีเอง ไม่ร้ายแรงขนาดนั้นหรอก นึกถึงตอนแรกที่ข้ากับเจ้าไม่เจอกันสามปี เจ้าก็ยังสบายดีไม่ใช่เหรอ”
“หลงตัวเอง! พูดเรื่องจริงจังอยู่นะ ถึงอย่างไรข้าก็เป็นฮูหยินตำหนักหลัก กุมอำนาจมากมายไว้ในมือ ทะเลาะกับเจ้าก็ไม่เป็นไร แต่พวกเวยเวยไม่เหมือนกัน เจ้าต้องเห็นอกเห็นใจผู้หญิง โดยเฉพาะหลางหลางกับหวนหวน ตอนเจ้าไม่อยู่พวกนางก็ต้องวางตัวอย่างระมัดระวัง ขนาดเวลาเจอผู้ชายคนอื่นก็ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ กลัวว่าจะมีข่าวลือไม่ดีแพร่ออกไป วันๆ เอาแต่อยู่ในลานบ้านไม่กล้าออกไปไหน แถมไม่มีอะไรทำด้วย กอปรกับอันหรูอวี้และสามีกำลังโดนลงโทษ ในใจพวกนางขื่นขมนะ อย่าให้พวกนางคับแค้นใจ ครอบครัวปรองดอง ทุกเรื่องก็ราบรื่น เวลาแต่งงานมาแล้ว ผู้หญิงไม่ได้มีหน้าที่ถอดเสื้อผ้านอนกับเจ้าอย่างเดียว เจ้าต้องพูดหวานๆ เอาใจด้วยสิ ใส่ใจหน่อย!” ขณะที่พูดก็จิ้มหลังศีรษะเหมียวอี้อีกที
…………………………