โชคดีที่เหมียวอี้ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง โถงใหญ่ในเรือนด้านหลังของตำหนักคุ้มเมือง เหมียวอี้ยืนอยู่บนบันไดมองเขาด้วยรอยยิ้มแล้วเดินเข้ามา
เขารู้จักเหมียวอี้ ชิงเยว่ที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้เขาก็รู้จักเช่นกัน ขอฉีกหน้ากากออก ผู้ติดตามที่อยู่ทั้งซ้ายและขวาก็ฉีกหน้ากากออกแล้ว
รอจนกระทั่งคนเดินเข้ามาใกล้ เหมียวอี้ก็ไม่ได้วางมาด รีบเดินลงบันไดมา แล้มกุมหมัดคารวะต้อนรับ “จอมพลลิ่งหูเดินทางมาไกล ข้าไม่ได้ไปต้อนรับตั้งแต่ไกลๆ เขาไม่อยากให้คนนอกเห็นแล้วหาเรื่อง หวังว่าจอมพลจะไม่ถือสา!” ขณะเดียวกันก็กุมหมัดคารวะคนทางซ้ายและขวาของลิ่งหูโต้วจ้งเช่นกัน
ลิ่งหูโต้วจ้งเองก็กุมหมัดคารวะแล้วกล่าวอย่างถ่อมตน “แม่ทัพที่รบแพ้ รับชื่อเรียกจอมพลไม่ไหว คารวะผู้ตรวจการใหญ่”
ทั้งสองเจอกันด้วยความสุภาพเกรงใจมาก ถ่อมตัวมากเช่นกัน ไว้หน้ากันและกันมาก แต่ต่างก็รู้ว่าการจะได้นั่งลงเจรจากันหรือไม่ต่างหากที่เป็นประเด็นสำคัญ
“เชิญ!” เหมียวอี้ยื่นมือเชิญให้พวกเขาเข้ามานั่งในห้อง แล้วเดินเคียงข้างลิ่งหูโต้วจ้งขึ้นบันไดเข้า แล้วลิ่งหูโต้วจ้งก็กุมหมัดคารวะชิงเยว่ที่อยู่ข้างๆ อีก ส่วนคนอื่นๆ ในห้องเขาไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวแล้ว
ชิงเยว่ยังไม่รู้ว่าเหมียวอี้ต้องการจะทำอะไร จู่ๆ ก็เห็นลิ่งหูโต้วจ้งมาที่นี่ นางงุนงงเล็กน้อย ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์
ฝูชิงก็ตะลึงค้างเช่นกัน ท่านนี้ก็คือลิ่งหูโต้วจ้ง จอมพลสายขาลงั้นเหรอ? ดูจากภาพเหตุการณ์นี้ ในใจเขาก็ทอดถอนใจไม่หยุด หลายปีมานี้ที่ไม่ได้อยู่กับเหมียวอี้ เขาพบว่าตัวเองกับเหมียวอี้นับวันจะยิ่งแตกต่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่บุคคลระดับลิ่งหูโต้วจ้งก็ยังเกรงใจขนาดนี้ เขาไม่มีทางบรรยายความรู้สึกของตัวเองได้เลยจริงๆ ขณะเดียวกันก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว มาครั้งนี้จะติดตามเหมียวอี้ ไม่อย่างนั้นถ้าตัวเองหลบอยู่ที่นี่ ตัวเองก็เหมือนเด็กน้อยเล่นพ่อแม่ลูก ไร้ระดับเกินไปแล้ว
ตอนแรกหยางเจาชิงก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร จนกระทั่งเหมียวอี้ให้เขาเตรียมคนไปรับลิ่งหูโต้วจ้งมา เขาถึงได้รู้
พอเข้ามาในนี้ก็ไม่ได้แบ่งแยกนายบ่าว เหมียวอี้กับลิ่งหูโต้วจ้งนั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายและขวาของโต๊ะน้ำชา คนของตัวเองก็ยืนอยู่ฝั่งตัวเอง น้ำชายกมาประดับโต๊ะเท่านั้น พวกลิ่งหูโต้วจ้งจะกล้ากินดื่มของที่นี่มั่วซั่วได้อย่างไร ถ้ามีคนเล่นตุกติกขึ้นมาล่ะ?
เหมียวอี้เชิญให้ดื่มแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก ตัวเองจิบชาอย่างช้าๆ เหลือบตาขึ้นยิ้มตาหยีเป็นระยะ รอให้อีกฝ่ายเอ่ยปาก เจ้ามาขอร้องข้า ไม่ใช่ข้าขอร้องเจ้า ความเกรงใจก่อนหน้านี้ก็ส่วนความเกรงใจ
ลิ่งหูโต้วจ้งแอบกลุ้มใจ แต่กลับยอมรับในความกล้าหาญของเหมียวอี้ เจ้าเด็กนี่ช่างกล้ามาพบเขาโดยไม่ตรวจสอบเขา แน่ใจแล้วเหรอว่าเขาไม่กล้าทำซี้ซั้ว?
“ไม่ทราบว่าผู้ตรวจการใหญ่พิจารณาเรื่องนี้ไปถึงไหนแล้ว?” สุดท้ายลิ่งหูโต้วจ้งก็เอ่ยปากก่อน
“คุยง่าย!” เหมียวอี้พยักหน้า วางถ้วยน้ำชาลง “ท่านจอมพลมาขอพึ่งพา ไว้หน้าหนิว มีหรือที่หนิวจะไม่รับไว้”
ลิ่งหูโต้วจ้งโน้มตัวไปทางฝั่งเขาเล็กน้อย สังเกตสีหน้าของเขา “พูดแบบนี้ แสดงว่าผู้ตรวจการใหญ่ยินดีจะให้ที่ยืนกับพวกเราที่แดนรัตติกาลเหรอ?”
ตอนนี้พวกชิงเยว่ถึงได้ฟังอะไรออกแล้วนิดหน่อย สงสัยวพวกลิ่งหูโต้วจ้งคงจะไม่มีทางยืนที่ทัพตะวันออกได้แล้ว ต้องการจะไปที่แดนรัตติกาล เพียงแต่ว่า จะตอบรับสิ่งนี้ได้เหรอ? เรื่องที่เกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลังยุ่งยากเกินไปจริงๆ
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่เอ่ยเรื่องที่จะมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ก็เดาออกแล้วว่าคงจะมาพร้อมกับความหวังที่จะช่วงชิงตำแหน่ง เหมียวอี้จึงพูดให้ชัดเจนเสียเลย เรายังสบายๆ ว่า “ข้าก็มีความตั้งใจนี้นะ ทว่ามีความตั้งใจแต่ไร้ความสามารถ พวกเจ้าเป็นขุนนางที่มีความผิดทั้งนั้น จะต้องมีคนดูอยู่แน่นอน”
ลิ่งหูโต้วจ้งมองพวกลูกน้องแวบหนึ่ง แล้วกุมหมัดคารวะเหมียวอี้ “ยินดีเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาและเชื่อฟังคำสั่งของผู้ตรวจการใหญ่”
พวกชิงเยว่หัวใจกระตุกวูบ นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?
เหมียวอี้ไม่รีบตอบตกลง แต่ถามกลับว่า “ท่านจอมพลรู้ถึงความลำบากใจของข้าหรือเปล่า?”
“ไม่ทราบ ยินดีรับฟังรายละเอียด!” ลิ่งหูโต้วจ้งแกล้งโง่
เหมียวอี้มองไปที่ลูกน้องของลิ่งหูโต้วจ้งเช่นกัน แล้วบอกว่า “อิ๋งจิ่วกวงหนีข้อหาก่อกบฏไม่พ้น ทุกคนอยู่ในฐานะอะไรล่ะ? ขุนนางนักโทษ! ไม่ได้บอกว่าวางแผนก่อกบฏ แต่ก็ช่วยเหลือกันวางแผนก่อกบฏ ถ้าช่วยทุกคนรักษายศเดิมเอาไว้อีก อย่าว่าแต่ข้าเลย เกรงว่าแม้แต่ฝ่าบาทก็ทำไม่ได้ ข้อหาหนักขนาดนี้ ถ้าไม่เห็นอยู่ในสายตาก็จะฟังดูเหลวไหล เกรงว่าขุนนางทั้งราชสำนักคงไม่มีใครยอมสักคน ถ้าเปิดช่องโหว่นี้ จะไม่แย่หรอกหรือ? สรุปก็คือต้องให้คำชี้แจงกับคนในใต้หล้าสักหน่อยสิ!”
ลิ่งหูโต้วจ้งถอนหายใจ “เฮ้อ! หมดหนทางแล้วจริงๆ แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พูดอะไรตอนนี้ก็สายไปแล้ว ไม่ทราบว่าผู้ตรวจการใหญ่เตรียมจะให้พวกเราให้คำชี้แจงอย่างไร?”
เหมียวอี้เหล่ตามองแวบหนึ่ง “ในภายหลังพวกเราอาจจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันก็ได้ ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมแล้ว ถ้าฝ่าบาทให้คำชี้แจงเรื่องนี้กับคนในใต้หล้าไม่ได้ ข้าก็ไม่มีความสามารถที่จะรับพวกเจ้าไว้ การช่วยเหลือกบฏเป็นข้อหาร้ายแรง ถ้าไม่ลงโทษให้หนักก็จะฟังดูเหลวไหล ทุกคนเริ่มจากยศระดับต่ำสุดก่อนแล้วกัน แบบนี้ถ้าถึงจะรายงานขึ้นไปที่ตำหนักสวรรค์ได้ ฝ่าบาทจะได้ให้คำชี้แจงต่อขุนนางในราชสำนักได้ ท่านจอมพลว่ามั้ย?”
ลิ่งหูโต้วจ้งสบตากับกลุ่มลูกน้อง แล้วถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไม่ทราบว่าจะให้พวกข้าลดยศลดตำแหน่งไปถึงขั้นไหน?”
เหมียวอี้เอามือวาดบนปากถ้วยชา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฐานะของตำแหน่งของท่านจอมพลที่นี่ ไม่ว่าจะลดตำแหน่งยังไง ข้าก็ไม่สะดวกใจที่จะทำเกินไป ตายสังกัดของข้ายังเหลือตำแหน่งรองหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลหวยให้ท่านจอมพล ส่วนคนอื่นก็ลดหลั่นไปตามลำดับ คาดว่าส่วนใหญ่คงจะต้องเป็นพลทหาร”
ลิ่งหูโต้วจ้งสีหน้าเครียดขรึมลงแล้ว จากตำแหน่งท่านจอมพลลดลงมาเป็นรองหัวหน้าภาค แบบนี้ทำเกินไปแล้ว
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะพูดเสริมต่อไปว่า “ตำแหน่งที่ลดหลั่นกันไปรวมเป็นตำแหน่งรอง ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ต้องการจะตัดอำนาจทางทหารของทุกคน!”
ลูกน้องคนหนึ่งของลิ่งหูโต้วจ้งทนไม่ไหวแล้ว จู่ๆ ก็ก้าวออกมาบอกว่า “ผู้ตรวจการใหญ่รังแกกันเกินไปหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนี้ เราจะไม่กลายเป็นเนื้อปลาให้คนอื่นสับหรอกเหรอ?”
เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก ถ้าอีกฝ่ายเกรงใจเขาก็เกรงใจ ถ้าอีกฝ่ายไม่เกรงใจ เช่นนั้นก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้ยินคำพูดดีๆ จากเขา “คำพูดนี้กล่าวเกินไปหน่อย ลูกน้องข้ามีแค่ไม่กี่คนเอง แต่พวกเจ้ามีกันเท่าไหร่ล่ะ คนเบื้องล่างล้วนเป็นลูกน้องเก่าของพวกเจ้าทั้งนั้น ถ้าพวกเจ้าต้องการจะก่อเรื่อง ก็ยังไม่รู้เลยว่าใครจะเป็นเนื้อปลาของใครกันแน่ เกี่ยวด้วยเหรอว่าพวกเจ้าจะมีอำนาจทางทหารหรือไม่? ถ้าพูดแบบไม่น่าฟังหน่อย ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นประสงค์ของฝ่าบาท ข้าก็ไม่อยากจะสร้างปัญหานี้เลย แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง ข้าไม่ได้รังแกเกินไปหรอก แต่ถ้าพวกเจ้ากุมอำนาจทางทหารต่อไป เจ้าคิดว่าจอมพลเถิง จอมพลเฉิงหรือคนอื่นๆ จะวางใจได้เหรอ? ถ้าจะให้คำชี้แจงกับตำหนักสวรรค์ ก็ต้องทำให้ดูด้วยสิ ทำไมล่ะ แค่ให้ทำแค่นี้ยังไม่อยากทำเลยเหรอ? ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะมาจัดการข้าที่แดนรัตติกาลใช่ไหม? วันนี้ข้าจะพูดเอาไว้ตรงนี้เลย แดนรัตติกาลก็คืออาณาเขตของข้า ถ้าเขาไม่อนุญาต ฝ่าบาทก็เข้ามาแทรกแซงไม่ได้ ข้าไม่สนใจว่าพวกเจ้าจะมากันเท่าไหร่ ข้าจะกำจัดพวกเจ้าให้หมด ถ้าไม่เชื่อพระเจ้าก็ลองดูสิ! ไม่ต้องทดลองหรอก ถ้าข้าไม่อนุญาต พวกเจ้าก็เลิกคิดได้เลยว่าจะได้เข้าไป ขนาดอิ๋งจิ่วกวงข้ายังไม่กลัวเลย นับประสาอะไรกับพวกเจ้า?”
คำพูดนี้ ฝูชิงฟังจนแอบเดาะลิ้น ซิงเหมียวอี้ด้วยแววตาเป็นประกาย ชิงเยว่ฟังจนเลิกคิ้ว แต่ก็รู้สึกว่าน่าสนใจ ไม่เสียแรงที่ตัวเองมายอมลดเกียรติมาอยู่ที่แดนรัตติกาล
กลับเป็นหยางเจาชิงที่ทำสีหน้าสุขุมเยือกเย็น เขาติดตามเหมียวอี้อย่างจงรักภักดีมาตลอด ย่อมมีสาเหตุที่ทำให้เขาเชื่อถือและศรัทธา
ลิ่งหูโต้วจ้งสีหน้าแย่มาก แต่ก็ยังยื่นมือไปห้าม บอกใบ้ลูกน้องคนนั้นให้ระงับไฟโกรธแล้วถอยกลับไป ก่อนจะหันกลับมาตอบอย่างเด็ดขาด “ได้! พวกเราตกลง!”
เขาเองก็ไม่มีทางเลือกแล้วเหมือนกัน ก็เหมือนอย่างที่เหมียวอี้บอก กำลังพลห้าสิบล้านล้วนเป็นกำลังพลสายตรงของเขา ถ้ามีเรื่องขึ้นมาจริงๆ ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเชื่อฟังใคร อาศัยคนจำนวนเล็กน้อยของเจ้าคิดจะมาควบคุมพวกเรางั้นเหรอ? รอให้ยืนอย่างมั่นคงแล้วผ่านด่านยากตรงหน้านี้ไปก่อนค่อยว่ากัน
“อย่าเพิ่งรีบตกลงเร็วเกินไปนักเลย” เหมียวอี้หันมามองเขาตรงๆ “ตลาดสวรรค์นับพันแห่งถูกข้าโจมตีแล้ว ตลาดสวรรค์หนึ่งแห่งมีร้านค้าสิบร้าน เดาว่าร้านค้าของตระกูลเซี่ยโห้วมีไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นร้านที่โดนปล้นไป น่าจะเป็นฝีมือกำลังพลของท่านจอมพลทั้งหมด นำทรัพย์สินส่วนนั้นมาให้ข้า!”
ลิ่งหูโต้วจ้งหัวเราะเจื่อน แล้วส่ายหน้าตอบว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ให้นะ ผู้ตรวจการใหญ่ดูกำลังพลขงข้าที่เหลืออยู่ก็จะรู้แล้ว ส่วนใหญ่ทรยศข้าไปแล้ว พอรู้ว่าอ๋องสวรรค์อิ๋งรบแพ้ คนพวกนั้นรีบตามมาไม่ทัน ผู้ตรวจการใหญ่คิดว่าพวกเขายังจะมาตามหาพวกเราอีกเหรอ? เดาว่าทำไมกบฏไปขอพึ่งพาเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อ ก็คงหนีเพ่นพ่านไปทั่ว ทรัพย์สินมากขนาดนั้น บางทีอาจจะเยอะกว่าค่าจ้างทั้งชีวิตของพวกเขาเลยก็ได้ ดีกว่าให้พวกเขามาทำงานรับเงินที่แดนรัตติกาลอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเอาไปมอบให้ทัพเหนือ ใต้ ตะวันตก ก็เพียงพอที่จะปกป้องตัวเองได้แล้ว”
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว สงสัยจะตักตวงทรัพย์สินพวกนั้นไม่ได้แล้ว
ใครจะคิดว่าทหารคนหนึ่งจะบอกว่า “อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ขนาดร้านค้าของพวกเราตามที่ต่างๆ พวกเราคอยติดต่อมาตลอดทาง พบว่าคนที่ดูแลร้านคงรู้ว่ากิจการในนามของพวกเราจะโดนตำหนักสวรรค์ยึด มีคนไม่น้อยกวาดทรัพย์สินไปขอพึ่งพาพวกลูกพี่ใหญ่คนอื่นๆ แล้ว หรือไม่ก็หอบของหนีไป ครั้งนี้คงรู้ว่าพวกเราถูกผู้ตรวจการใหญ่ลดตำแหน่งแล้วกลับตัวไม่ได้เดาว่าพวกที่คอยหลบสังเกตการณ์อยู่ก็คงไม่ปรากฏตัวอีกแน่ ว่ากันว่าไม้ล้มวานรกระเจิง มันเป็นอย่างนี้นี่เอง! ไปแล้วก็ดี ในภายหลังก็เลี้ยงพวกเขาไม่ไหวแล้วเหมือนกัน”
ชิงเยว่แอบทอดถอนใจ นางเป็นคนหนึ่งที่เข้าใจสิ่งนี้ดีที่สุด ตอนที่เหมียวอี้มองมา นางก็พยักหน้าเบาๆ ให้เขา เพียงแต่ถ่ายทอดเสียงบอกอีกว่า “ตลาดมืด…”
เหมียวอี้หันมาบอกว่า “พวกเจ้าอย่าบอกเชียวนะว่ามีแต่กำลังพลในที่แจ้ง ไม่มีกำลังพลในที่ลับคอยช่วยทำงานเลย ข้าต้องการรายชื่อ!”
ลิ่งหูโต้วจ้งตอบกลั้วหัวเราะ “เมื่อไม่มีกิจการแล้ว พวกเราก็เลี้ยงพวกเขาไม่ไหว ในท่านอยากจะช่วยพวกเราเลี้ยงหรอ?”
เหมียวอี้ไม่สนใจเลย แสดงความละโมบต่อไป “ยังมีกิจการของพวกเจ้าที่ตลาดมืดอีก ส่งมาให้หมด!”
พวกเขาสีหน้าดำมืดแล้ว ลิ่งหูโต้วจ้งลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ แล้วกล่าวเสียงต่ำ “ถ้าผู้ตรวจการใหญ่พูดแบบนี้ งั้นพวกเราก็ไม่ต้องเจรจากันแล้ว พวกเราพาคนในครอบครัวมาด้วย อาศัยรายได้เล็กน้อยของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล จะดำรงชีวิตอยู่ได้ยังไง?”
เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบว่า “ถ้าพวกเจ้าให้ข้าคุมกิจการที่ตลาดมืดของพวกเจ้า ก็ยังสามารถปกป้องไว้ได้! ตำหนักสวรรค์ไม่รู้ว่าพวกเจ้ากระจายกิจการอยู่ที่ตลาดมืด แต่ตระกูลเซี่ยโห้วจะไม่รู้เชียวหรือ? หรือพวกเจ้านึกว่าตระกูลเซี่ยโห้วอ่อนด้อย? ของพวกนี้มีแต่ต้องอยู่ในมือข้าเท่านั้น ตระกูลเซี่ยโห้วแตะต้องตระกูลไหน ในใจข้าล้วนมีข้อมูล ถ้ามาแตะต้องของข้า ข้าจะต้องทวงกลับคืนมาแน่นอน แต่สถานการณ์ของพวกเจ้าตอนนี้ เกรงว่าคงทวงคืนกลับมาไม่ได้แล้ว เอาอย่างนี้ อิงตามกิจการที่ทุกคนส่งมาให้ เขาจะแบ่งปันผลกำไรบางส่วนให้ทุกคน! แน่นอน เขาไม่ได้บังคับ จะไม่ส่งมาก็ได้ แต่ถ้าต่อไปโดนตระกูลเซี่ยโห้วฮุบไว้ เขาก็จะไม่ออกหน้าให้หรอกนะ จะไม่ได้อะไรเลย หรือจะเอาส่วนแบ่งผลกำไร พวกเจ้าก็พิจารณาเอาเองแล้วกัน นอกจากนี้ ข้าจะพูดสิ่งที่ไม่ค่อยน่าฟังสักหน่อย ต่อให้พวกเจ้าไปขอพึ่งพาคนอื่น ก็ยังไม่ต้องพูดถึงส่วนแบ่งเลย คนอื่นไม่ให้โอกาสพวกเจ้าได้รวมตัวกันมีกำลังทหารของตัวเองอีกแน่ๆ จะต้องจับพวกเจ้าแยกออกจากกัน ถึงตอนนั้นแม้แต่เศษกระดูกก็ต้องบีบให้พวกเจ้าคายออกมา! เมื่อไม่มีกำลังอำนาจแล้ว บรรดาสาวงามดุจดอกไม้ในบ้านพวกเจ้าจะมีจุดจบเป็นยังไงก็ไม่ต้องให้ข้าพูดเยอะ ข้าอยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็รับประกันได้ว่าพวกเจ้าจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว พวกเจ้าพิจารณาเอาเองแล้วกัน! ก็อย่างที่บอก ข้าไม่บังคับ!”
……………
Related