“เจ้านี่ไม่รู้จักจบสักทีนะ!” เหมียวอี้เอามือลูกหลังศีรษะ เพราะโดนจิ้มจนเจ็บ ทั้งยังโดนจิ้มที่เดิมด้วย
อวิ๋นจือชิวหัวเราะคิกคัก พูดไม่หยุด ยิ่งพูดยิ่งฮึกเหิม แล้วจิ้มเขาอีกหลายครั้งติดต่อกัน “ได้ยินแล้วหรือยัง?”
เหมียวอี้ทำอะไรนางไม่ได้ “พอแล้วๆ ข้ารู้แล้ว ข้ากำลังจะกลับไปที่ทะเลดาวนักษัตรพอดี”
“ไปทะเลดาวนักษัตรทำไม?” อวิ๋นจือชิวแปลกใจ
เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ที่ตัวเองเผชิญให้นางฟัง บอกว่าตัวเองได้รับอนุญาตจากโค่วเหวินหลานแล้ว เตรียมจะดึงคนจากทะเลดาวนักษัตรมาเป็นผู้ช่วย
“แบบนี้จะเหมาะสมเหรอ? ไม่กลัวพวกเขาจะทรยศหรือไง?” อวิ๋นจือชิวถาม
เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว พวกเขากับเขาเคยปล้นเกาะศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน นี่คือโทษตายนะ ถ้าไม่กลัวตายก็ลองหาเรื่องข้าดูสิ ข้าคิดดูอย่างละเอียดแล้ว ตราบใดที่ช่องทางการไปกลับพิภพเล็กยังอยู่ในมือเรา ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ยุ่งยาก ก่อนหน้านี้ยังโกหกตบตาพวกเขาได้ แต่ถ้าตอนนี้ยังปิดบังเส้นทางไปกลับต่อไป ก็กลัวว่าพวกเขาจะวิจารณ์ในใจ ถึงอย่างไรทะเลดาวนักษัตรก็ยังมีลูกน้องของพวกเขาอีก”
อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว “พวกเขาตามเจ้าไปปล้นเกาะศักดิ์สิทธิ์ ถ้ามาที่นี่แล้วจะไม่โดนคนจำได้เหรอ?”
“จะจำได้ง่ายๆ ขนาดนั้นได้ยังไง ตอนนั้นก็ปลอมตัวแล้ว ถ้าจำได้ข้าจะได้มานั่งอยู่ตรงนี้เหรอ คงจะโดนจำได้ไปนานแล้ว จักรวาลใหญ่ขนาดนี้ ใช่ว่าตำหนักสวรรค์จะทำได้ทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นพิภพเล็กคงถูกตำหนักสวรรค์ใส่ไว้ในอาณาเขตตั้งนานแล้วล่ะ” เหมียวอี้ตอบ
อวิ๋นจือชิวใช้สองมือประคองบ่าเขา “งั้นตอนนี้เจ้าก็ยังไม่ต้องกลับไปหรอก ถึงยังไงเจ้ากับประมุขถิ่นสี่ทิศก็เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน เรื่องที่ไม่อยากให้พวกเขารู้เส้นทางไปกลับ ถ้าเจ้าเอ่ยปากบอกเองคงไม่ดี สัจจะที่ควรจะมีก็ยังต้องมี”
เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “ข้าเองก็ไม่มีหนทางแล้วเหมือนกัน รู้จักคนที่ตำหนักสวรรค์ไม่เยอะ ในมือก็ไม่มีคนที่สามารถใช้งานได้เลย! ผู้บัญชาการอย่างข้าคงจะพาคนไปเฝ้าประตูเมืองไม่ได้หรอกมั้ง? คิดไปคิดมาก็มีแต่พวกเขาแล้ว”
“ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ในเมื่อเจ้ารู้สึกว่าใช้งานพวกเขาได้ งั้นเจ้าก็ใช้งานไปสิ เพียงแต่เรื่องนี้คงไม่สะดวกให้เจ้าออกหน้าเอง ก็อย่างที่ข้าบอก พวกเจ้าเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน ต้องรักษาชื่อเสียงด้านสัจจะไว้ให้มั่นคง…เดี๋ยวข้าจะเป็นคนร้ายๆ แทนเจ้าเอง ถึงอย่างไรตอนอยู่ที่พิภพเล็ก ฉายา ‘รองเท้าขาด’ ของข้าก็แพร่ไปข้างนอกแล้ว จะทำทำตัวปลิ้นปล้อนหรือน่าไม่อายก็ยังพอฟังขึ้น เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะช่วยพาคนมาให้เจ้าแน่นอน และต่อไปจะไม่ให้พวกเขาเอ่ยปากถามเรื่องเส้นทางกับเจ้าอีก” อวิ๋นจือชิวกล่าว
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วยกมือจับมือของนางที่วางอยู่บนบ่า “ทำไมพูดเรื่องรองเท้าขาดอีกแล้วล่ะ ขนาดข้ายังไม่สนใจเรื่องเฟิงเสวียนเลย เจ้ายังเก็บมาใส่ใจอยู่อีกเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวบุ้ยปาก “ปากก็พูดดีแบบนี้ แต่ลับหลังข้าอาจจะหาไว้อีกคนแล้วก็ได้ ถึงตอนนั้นรองเท้าขาดอย่างข้าน่ะ ยังเดินไปไม่ถึงไหนก็คงโดนเจ้าถีบส่งไปไกล แล้วมั้ง!” ขณะที่พูดก็เหล่ตามองปฏิกิริยาของเหมียวอี้
เหงื่อแตก! พอได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็รู้สึกผิดสุดๆ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินตอนอยู่ในห้องนี้ อับอาย รู้สึกผิด! จึงไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “พูดเหลวไหลอะไร เจ้าคือภรรยาเอกของเหมียวอี้ โลกนี้ไม่มีใครแทนที่เจ้าได้แล้ว ถ้าข้าผิดคำสาบาน ขอให้ฟ้าดินลงโทษ!”
อวิ๋นจือชิวพ่นเสียงทางจมูกๆ แล้วบิดหูเขา “หนิวเอ้อร์ นี่เจ้าพูดเองนะ ข้าจดจำเอาไว้แล้ว ถึงตอนนั้นไม่ต้องให้ฟ้าดินลงโทษหรอก เพราะข้าจะตอนเจ้าก่อน ถ้าไม่เชื่อเจ้าก็ลองดู วันนี้ข้าจะบอกเอาไว้ตรงนี้เลย เจ้าเป็นคนรับปากเองนะ ข้ามีอำนาจตัดสินใจในบ้าน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหน้าไหน ถ้าข้าไม่อนุญาต ก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้ก้าวเข้าประตูมา นอกเสียจากเจ้าจะฆ่าข้าทิ้ง ไม่อย่างนั้นข้าก็รับรองได้เลย ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะมีอิสระ ถ้าข้ายอมแลกทุกอย่างโดยไม่สนใจอะไร รับรองว่าเจ้าจะได้บทเรียนจากผลที่ตามมาแน่!”
เหมียวอี้แทบจะไม่คิดอะไรเลย พยักหน้าทันที แสดงออกว่าเห็นด้วยอย่างจริงจัง “ก็เป็นแบบนี้มาตลอด พวกเวยเวยข้าก็ได้รับอนุญาตจากเจ้าก่อนถึงได้แต่ง ข้ารับรอง ตราบใดที่เจ้าไม่ยินยอม ข้าก็จะไม่แต่งใครเข้าบ้านอีกเด็ดขาด!”
“แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย!” อวิ๋นจือชิวทำเสียงฮึดฮัดแล้วจิ้มเขาอีกทีหนึ่ง “เอาตามนี้แล้วกัน ทางพิภพเล็กเจ้าอย่าเพิ่งกลับไป เดิมทีเจ้าก็ไม่มีกำลังคนที่มีความสามารถอยู่แล้ว ถ้าเจ้าออกไปอีกก็จะไม่เหมาะ เรื่องที่ทะเลดาวนักษัตรข้าจะช่วยจัดการให้เจ้า ข้าจะกลับไปจัดการเรื่องส่งส่วยประจำปีพอดี จะถือโอกาสจัดการให้เจ้าด้วย”
“ได้!” ผู้บัญชาการเหมียวผู้น่าเกรงขามที่เผชิญหน้ากับผู้จัดการร้านมากมาย ในตอนนี้กลับเอ่ยรับอย่างว่าง่ายราวเด็กน้อย แม้แต่ความเห็นเพิ่มเติมก็ไม่กล้าเสนอ เป็นเพราะกลัวว่าจะเผยพิรุธอะไร ในเวลานี้ในสถานที่นี้ เป็นวัวสันหลังหวะจริงๆ!
“ยังมีอีกเรื่อง” อวิ๋นจือชิวพูดอีก
“เจ้าพูดมาสิ ข้าฟังอยู่” เหมียวอี้ขานรับทันที
“ข้าลองคิดดูแล้วนะ ครั้งนี้ข้าเตรียมจะกลับไปรับหลางหลางกับหวนหวนมาที่นี่ด้วยเหมือนกัน”
เหมียวอี้หันขวับ ถามอย่างตกตะลึงว่า “ไม่ใช่แล้วมั้ง? เจ้าจะพาพวกนางมาด้วยเหรอ? ทำแบบนี้เหมาะสมเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวตอบว่า “ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม พอเจ้าพูดเรื่องทะเลดาวนักษัตร ก็ถือเป็นการเตือนข้าเหมือนกัน ตราบใดที่เส้นทางไปกลับพิภพเล็กยังอยู่ในมือเราก็พอ แล้วอีกอย่าง ตอนนี้เจ้าก็ได้เลื่อนขั้นร่ำรวยแล้ว ที่แดนฝึกตนมีผู้หญิงร่านที่จ้องจับคนมีเงินเพื่อหาทรัพยากรฝึกตนเยอะเกินไป ข้ากลัวว่าเจ้าจะกระดกหางซี้ซั้ว ทนความยั่วยวนของนางผู้หญิงใจแตกไม่ไหว พาผู้หญิงในบ้านมาให้เจ้าเปลี่ยนรสชาติสักสองคนดีกว่า จะได้ทำให้เจ้าสำรวมตัวเองหน่อย เจ้าจะได้ไม่เบื่อหน่ายเพราะเจอแต่หญิงแก่หน้าเหลืองอย่างข้าคนเดียว ถ้ามีกำลังวังชาก็เลี้ยงคนในบ้านให้อิ่มก่อน คนในบ้านจะได้ปรองดองกัน ดีกว่าไปเจอพวกผู้หญิงมีเจตนาร้ายแอบแฝงที่มาวางแผนทำร้ายเจ้า ใช่มั้ยล่ะ? หนิวเอ้อร์ ผู้หญิงในบ้านตัวเองต่างหากที่น่าไว้วางใจ!” คำพูดของนางค่อนข้างลึกซึ้งและจริงใจ
เหมียวอี้กลับใจสั่นด้วยความกลัว รู้สึกว่าคำพูดนางมีความหมายแฝง สงสัยว่านางจะดูอะไรออกแล้วหรือเปล่า แต่ดูจากท่าทางของนาง ก็ไม่เหมือนว่านางดูออก ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยโหดเหี้ยมของผู้หญิงคนนี้ คงจะลงไม้ลงมือกับเขาไปนานแล้ว
ยิ่งรู้สึกผิดก็ยิ่งไม่กล้าสู้ แต่ยังคงกล่าวอย่างหวาดระแวง “จะพายกโขยงมาทั้งบ้านก็คงไม่ดีมั้ง ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาก็จะหนีไม่รอดสักคนเลยน่ะสิ”
“ดังนั้น! เจ้าต้องหาร้านค้ามาอีกร้านหนึ่ง ตอนนี้เจ้าเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกแล้ว คิดหาทางหามาให้สักร้านคงไม่ยากหรอกมั้ง? จะเล็กจะใหญ่ก็ไม่เป็นไร จะให้พวกนางมาค้าขายอะไรสักอย่าง ให้มีงานทำสักหน่อย ทั้งยังได้อยู่ข้างกายเจ้าด้วย พวกนางจะได้ไม่คิดอะไรฟุ้งซ่าน”
“ไม่ใช่แล้วมั้ง! ตอนนี้ข้าจีบผู้หญิงมีสามีแล้วอย่างเจ้าคนเดียวก็ชื่อเสียงแย่พอแล้ว ครั้งก่อนยังโดนปี้เยว่ฮูหยินตำหนิด้วย ถ้าให้ข้าวิ่งไปที่ร้านพวกนางอีก แล้วข้าจะหาเหตุผลอะไรได้อีกล่ะ?”
“เจ้าโง่รึเปล่า! ก็แกล้งทำเป็นไม่เกี่ยวข้องกับพวกนางสิ คบหาเป็นสหายกับพวกนางก็สิ้นเรื่องแล้ว ถึงอย่างไรเจ้าก็มาที่ร้านของข้าบ่อยๆ พวกเจ้ามาเจอกันที่ร้านข้าก็ได้ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องจัดการก่อน?”
“เรื่องอะไร?”
“หญิงรับใช้สี่คนของหลางหลางกับหวนหวน จะต้องพามาด้วยกันแน่นอน เจ้าต้องทำตัวกระปรี้กระเปร่าเจ้าชู้ใส่พวกนางสักหน่อย ถ้าพามาแล้วเจ้าต้องรีบนอนกับสาวใช้สี่คนนั้น ถ้าไม่ทำให้กลายเป็นคนของตัวเอง ถ้าพามาแล้วข้าก็ไม่วางใจเลยจริงๆ ถ้าวันไหนบังเอิญไปเจอคนที่รักใคร่กันขึ้นมา ผู้หญิงก็จะควักหัวใจให้ง่ายๆ ถ้าโดนคนอื่นล่อลวงไปแล้ว อดีตที่น่ารังเกียจอะไรก็คงเอาไปบอกคนนอกหมด เจ้าเองก็คงรู้ผลที่ตามมานะ”
“เจอกับฮูหยินแบบเจ้า ข้าช่างโชคดีจริงๆ!” เหมียวอี้ยิ้มทื่อๆ “เจ้าคงไม่ได้เห็นข้าเป็นหมูพ่อพันธุ์หรอกใช่มั้ย?”
“อย่ามาพูดจาคลุมเครือแปลกๆ! ในใจชอบเลยล่ะสิ? ข้าเห็นพวกพี่ชายน้องชายของข้าแล้ว แต่งเมียเข้าบ้านมาเป็นฝูง อย่านึกว่าข้าไม่รู้สันดานผู้ชายอย่างพวกเจ้านะ ข้าขอเตือนไว้ก่อน ในบ้านก็มีผู้หญิงไม่น้อยแล้ว อย่าไปหาเด็ดอกไม้ริมทางนอกบ้าน ถ้าข้าจับได้ขึ้นมา เจ้าคอยดูแล้วกันว่าข้าจะจับเจ้าตอนได้หรือเปล่า!”
พอพูดคำว่าเด็ดอกไม้ริมทาง เหมียวอี้ก็หายใจลำบากเป็นพิเศษ หดหัวไม่พูดอะไรแล้ว นับว่ายอมตอบตกลงแล้ว
อวิ๋นจือชิวกลับลงมืออย่างโหดเหี้ยม ใช้มือดึงผมเขาไว้ ยกหัวที่หดของเขาขึ้นมา ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังระบายอารมณ์กับเขา เขาเจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟันร้องโอดโอย แล้วก็โดนนางเตะอย่างแรงอีกหนึ่งครั้ง ทำให้หุบปากทันที!
หวีผมให้เสร็จแล้ว ทั้งสองออกจากชัยภูมิถ้ำสวรรค์ อวิ๋นจือชิวเองก็ไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่นาน ก่อนจะออกไปนางก็เตือนอีกว่า “เป็นผู้บัญชาการแล้วก็อย่าหลงระเริงจนลืมตัวนะ อย่าลืมรากเหง้าของตัวเอง เรื่องฝึกตนก็ขยันๆ หน่อย ถ้าไม่มีความสามารถ เจ้าก็ไม่มีทางยืนอยู่ที่นี่ได้นานหรอก”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องบอกหรอก ในใจข้ารู้ดี ที่จริงช่วงนี้ข้าก็ครุ่นคิดเรื่องฝึกตนอยู่ตลอด ตอนที่ประมือกับปีศาจโลหิตครั้งก่อน ข้าเหมือนจะตระหนักอะไรบางอย่างได้ บางทีอาจจะเพิ่มกำลังความสามารถให้ตัวเองได้ตัวเองได้เยอะ เพียงแต่ช่วงนี้งานล้นมือตลอด รอให้ผ่านช่วงที่งานยุ่งนี้ไปก่อน ข้าเตรียมจะหาสถานที่ที่มีปัจจัยเหมาะสมสักแห่งเอาไว้ฝึกตน”
“ยังต้องหาที่อื่นอีกเหรอ? ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ไม่ได้เหรอ?”
“ไม่ได้ ข้าตระหนักอะไรบางอย่างได้จากวิชาทวน ข้าอยากจะใช้วิชาทวนของข้าให้ถึงระดับสูงสุด ไม่อย่างนั้นเวลาใช้กระบวนท่าสังหารไปแค่ครั้งเดียว ร่างกายตัวเองก็จะเสื่อมโทรม ไม่มีทางใช้งานเกิดประสิทธิภาพได้เลย แล้วข้าก็อยากทดสอบด้วย ดูว่าจะสามารถนำสิ่งที่ตระหนักได้จากการใช้วิชาทวนมาใช้ประโยชน์บนร่างกายได้หรือเปล่า ข้าก็เลยอยากจะหาสถานที่ที่มีปัจจัยเหมาะสมเพื่อฝึกร่างกาย ช่างเถอะ ใช้เวลาสั้นๆ อธิบายให้เจ้าเข้าใจไม่ได้หรอก”
“อืม! ในเมื่อเจ้ามีแผนในใจแล้ว ข้าก็จะไม่พูดอะไรมาก ถ้าต้องการอะไรก็บอกข้า ข้าจะหาทางช่วยรวบรวมมาให้เจ้า”
“ตอนนี้ข้ายังไม่ต้องการอะไรหรอก ยาเม็ดปีศาจของปีศาจโลหิตยังเพียงพอให้ข้าใช้ได้นาน เจ้าเอาใจใส่เรื่องวรยุทธ์ของตัวเองให้มากๆ เถอะ ของที่อยู่ในมือเจ้าคงจะเพียงพอให้เจ้าฝึกตนได้เป็นเวลานาน เออใช่ ถ้าเป็นไปได้ เจ้าดูหน่อยว่าสามารถทำภาพพิกัดของพวกดาวหลักได้ไหม เรื่องหาสมบัติที่ข้าคุยกับเจ้าครั้งก่อน ถ้ามีโอกาสข้าจะพยายามช่วงชิงมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดินมาไว้ในมือด้วยเหมือนกัน”
“รู้แล้ว ข้าจะไปถามทางปี้เยว่ฮูหยินให้ จะไปถามหวงฝู่จวินโหรวด้วยเหมือนกัน นางตั้งใจจะมาตีสนิทกับข้าพอดี ร้านค้าสมาคมวีรชนมีอำนาจอิทธิพลมาก เข้าถึงอย่างกว้างขวาง ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยพวกเราแก้ปัญหาได้ ข้าตีสนิทกับพวกสตีสูงศักดิ์ไว้บ้างแล้ว ค่อยๆ สืบข่าวเอาก็ได้ เจ้าไม่ต้องใจร้อนกับเรื่องนี้หรอก ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า ถ้าใจร้อนเกินไปจะทำให้คนสงสัยได้”
พอพูดถึงหวงฝู่จวินโหรว เหมียวอี้ก็ค่อนข้าง…จึงเตือนว่า “หวงฝู่จวินโหรว ผู้หญิงคนนั้นเจตนาไม่ดี เจ้ารักษาระยะห่างกับนางไว้ดีกว่า” เขากลัวที่สุดว่าทั้งสองจะสนิทกันเกินไป กลัวว่าจะเปิดโปงเรื่องอะไรออกมา
อวิ๋นจือชิวเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าบอกเป็นนัยว่ารู้แล้ว และไม่ได้พูดอะไรอีก
ตอนที่เหมียวอี้เดินออกจากโถงหลักมาส่ง อวิ๋นจือชิวก็เหลือบมองพ่อครัวที่ยืนเฝ้าประตูแวบหนึ่ง แล้วสายตากวาดมองไปยังใต้ร่มไม้ที่อยู่ไม่ไกล เกี้ยวที่เคยจอดอยู่ตรงนั้นหายไปแล้ว
หลังจากออกจากจวนผู้บัญชาการ พอออกประตูมา อวิ๋นจือชิวก็ถ่ายทอดเสียงถามพ่อครัวทันที “หวงฝู่จวินโหรวออกไปเมื่อไร?”
พ่อครัวไม่รู้ว่านางถามแบบนี้ทำไม จึงตอบว่า “ก็ก่อนที่พวกท่านจะเข้าไปที่โถงด้านหลัง เถ้าแก่เนี้ย มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่มีอะไร กลับกันเถอะ!” อวิ๋นจือชิวตอบส่งๆ แต่บนใบหน้ากลับเรียบเฉยไร้อารมณ์ ในดวงตางามฉายแววเย็นเยียบอำมหิต!
…………………………