ละอองน้ำที่เย็นสดชื่นไม่มีทางดับความร้อนรุ่มในใจปีศาจโลหิตได้ เรือนร่างอ่อนช้อยซุกเข้ามาในอกเขา ใช้สองมือประคองใบหน้าเขา แล้วจูบริมฝีปากเขาอย่างดูดดื่มหิวกระหาย ทั้งวาบหวามทั้งเร่าร้อน ถึงแม้จะไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากศีลแปด แต่สำหรับปีศาจโลหิต นี่ก็คือวิธีการได้เขาอย่างหนึ่งเหมือนกัน เป็นวิธีการครอบครองอย่างหนึ่ง
ท่ามกลางความหลงใหล ขณะกำลังเคลิบเคลิ้ม มือก็ลื่นไหลเข้าไปในเสื้อผ้าของเขา เลื้อยเข้าไปในหน้าอก เริ่มตั้งแต่บนลงล่าง จนกระทั่งถึงตรงหว่างข้า หลังจากนางในจับก้อนปรารถนาของเขา ก็พบว่ามันยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย สิ่งนี้ทำให้นางได้สติกลับมาหลายส่วน ดวงตาที่หรี่ปรือพลันเบิกกว้าง จ้องมองเขาทันที
เมื่อเห็นรอยยิ้มบางๆ ของศีลแปด รอยยิ้มยังคงสะอาดบริสุทธิ์ เกิดข้อเปรียบเทียบชัดเจนกับภาพลักษณ์ที่ล่องลอยเหลวไหลของนาง ปีศาจโลหิตโมโหทันที เพราะรู้สึกได้ถึงความอัปยศอดสู จู่ๆ นางก็บีบคอศีลแปดอย่างแรง อยากจะบีบคอเขาให้ขาด ตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด บีบคอเขาเขย่าอย่างไม่รู้ว่าจะไประบายความโมโหที่ไหน “ลืมตาขึ้นมา มองข้า!”
ศีลแปดโดนบีบคอจนหน้าแดง ได้สติตื่นขึ้นจากความฝันอันงดงามในหัว เขาลืมตามองนาง ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงปรี๊ดแตกอีกแล้ว ส่วนร่างเปลือยที่อยู่ตรงหน้าเขาน่ะเหรอ? ก็เป็นแค่ร่างกาย เขาเห็นจนชินเหมือนเป็นเรื่องปกติแล้ว ต่อให้เย้ายวนกว่านี้ก็สู้ภาพโครงกระดูกดูดเลือดที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำไม่ได้
ในสายตาของเขา ปีศาจโลหิตคือโครงกระดูกที่งดงามอย่างแท้จริงๆ
ขระที่นางบีบคอเขา เขาก็มองหน้านาง ทั้งสองนิ่งเงียบ เงาสองเงาสะท้อนกลับหัวอยู่ในสระมรกต น้ำตกที่อยู่ด้านบนยังคงส่งเสียงดัง
มือนางค่อยๆ ออกแรงเพิ่ม บีบคอจนกระทั่งศีลแปดทำสีหน้าขื่นขม สุดท้ายนางก็ตัดใจลงมืออีกไม่ไหว ปล่อยมือออกแล้ว แต่กลับชักดาบนกเป็ดน้ำสีเลือดออกมาแทน จ่อดาบไว้บนคอศีลแปด “ทำไมไม่ชอบจ้า? หรือว่าข้าไม่สวย?”
ศีลแปดกวักมือเบาๆ ดอกกล้วยไม้ดอกหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากสระน้ำลอยเข้ามา เด็ดบุปผาประดับรอยยิ้ม ถามกลับว่า “ดอกไม้ดอกนี้สวยหรือไม่?”
เมื่อเห็นเขาทำท่าเหมือนจะแสดงธรรมเทศนาอีก ปีศาจโลหิตรู้สึกขนลุกนิดหน่อย กัดฟันตอบว่า “สวย!”
“เจ้าชอบรึเปล่า?” ศีลแปดถาม
“ชอบ!” ปีศาจโลหิตตอบ
ศีลแปดจึงยื่นมือเข้าไป นำดอกกล้วยไม้ทัดไว้บนหูนาง แล้วพยักหน้าถามว่า “เจ้าสวยมาก ข้าเองก็ชอบ ก็เหมือนที่เจ้าชอบดอกกล้วยไม้ดอกนี้ แต่พอเด็ดมาแล้ว ผลสุดท้ายก็จะเหี่ยวเฉา ความรักระหว่างชายหญิง ความชอบก็ดี ความสวยก็ดี หากทำเลยเถิดไปคงไม่ดี เมื่อมีระยะห่าง ถึงจะมีการชื่นชม การเด็ดลงมาไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ดี เจ้าเข้าใจมั้ย?”
ปีศาจโลหิตรู้สึกเหมือนจะสติแตก ดอกไม้ดอกหนึ่งทัดบนหูนาง เอียงหน้ามองเงากลับหัวที่อยู่ในน้ำ ช่างงดงามจริงๆ แล้จะให้นางตัดใจทำลายทิ้งได้อย่างไร?
“อ๊า…” ดาบถูกเก็บไปแล้ว มือสองข้างกุมศีรษะ ปีศาจโลหิตครวญครางอย่างเจ็บปวด ทิ้งร่างให้ไหลจมลงในน้ำ ดอกกล้วยไม้ดอกนั้นลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ แล้วลอยไปตามกระแสน้ำ บุปผาร่วงหล่นที่มีใจ แต่สายธารหลั่งไหลกลับไร้รัก[1]
นางกำลังทรมาน ศีลแปดที่อยู่ตรงนี้กลับกำลังดื่มด่ำกับความสุข เขาหลับตาลงอีกครั้ง เสียงน้ำไหล เสียงน้ำตก สภาพแวดล้อมของสระน้ำนี้ ยังขาดเพียงแสงจันทร์ แค่หลับตาก็มองเห็นแล้ว นึกย้อนกลับไปถึงภาพงดงามใต้แสงจันทร์ของคืนนั้น
ปีศาจโลหิตที่ระบายความโกรธในน้ำเสร็จแล้วลอยขึ้นมา ร่างกายท่อนบนหมอบอยู่บนขาของศีลแปด ร่างกายท่อนล่างแช่อยู่ในน้ำ นางสงบลงแล้วเช่นกัน ถามอย่างนิ่งสงบว่า “ศีลแปด เจ้าตัดความรู้สึกระหว่างชายหญิงได้แล้วจริงๆ เหรอ? มารปีศาจยังมีความรู้สึก แต่พระกลับหัวใจไร้ความรู้สึกอย่างนั้นเหรอ?”
ศีลแปดกำลังตกอยู่ในภวังค์ใต้แสงจันทร์ นึกภาพตอนเดินไปริมสระน้ำ แล้วเอ่ยถามใต้แสงจันทร์ “โยมสีการู้หรือเปล่า ว่าสิ่งที่เรียกว่าชะตาดอกท้อเป็นภัยคืออะไร?” เขามองลืมตาก้มมองนาง ถามคำถามเดี๋ยวกันกับปีศาจโลหิต
ปีศาจโลหิตที่หมอบอยู่บนขาเงยหน้า แล้มถามว่า “ข้าคือดอกท้อนำภัยของเจ้าเหรอ?”
“อาจารย์ของข้าบอกไว้ว่า เพราะว่ามี ถึงได้อยู่” ศีลแปดกล่าว
ปีศาจโลหิตรออยู่ครู่หนึ่ง พอไม่ได้ยินประโยคถัดไป นางก็ฟังไม่เข้าใจความหมาย จึงถามว่า “มีแค่นี้เหรอ?”
“นี่ก็คือภัย” ศีลแปดพยักหน้า
ปีศาจโลหิตรำคาญที่เขาใช้วิธีการพูดที่สื่อความหมายไม่ชัดเจนแบบนี้ “ที่เจ้าพูดหาปีศาจพวกนั้นทุกวัน ไม่ยอมจากไป สิ่งนั้นมาจากไหนกัน?”
“ในใจมีความคิดยึดติด เหมือนที่เจ้ามีต่อข้า ถ้ายังไม่ได้ แล้วจะจากไปได้อย่างไร ถ้าปล่อยวางได้ก็ย่อมจากไปได้” ศีลแปดตอบ
ปีศาจโลหิต:”อยู่ที่นี่ข้าไม่สะดวกจะฝึกตน ไปกันเถอะ! ไม่อย่างนั้นอย่าโทษว่าข้าเอาชีวิตของปีศาจพวกนั้นมาฝึกตนนะ”
“นี่คือสถานที่ที่สะอาดบริสุทธิ์ อย่าดูหมิ่นที่นี่ให้บาปตัวเองเพิ่มเลย ผู้อาวุโสของที่นี่ไม่ใช่คนที่เจ้าจะมีเรื่องด้วยไหว” ศีลแปดกล่าว
ปีศาจโลหิตคว้าเสื้อผ้าของเขาแล้วดึง “เจ้าไปกับข้าสิ”
“ข้าจะอยู่ที่นี่ ไม่ไปไหนแล้ว ถ้าเจ้าอยากจะมาหาข้าก็กลับมาที่นี่ เจ้าจะยังเห็นข้าเสมอ” ศีลแปดตอบ
ปีศาจโลหิตลังเลครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “จริงเหรอ?”
ศีลแปดประนมมือตอบ “อาตมาไม่โกหก”
ปีศาจโลหิตเชื่อคำพูดนี้ ในสายตานาง ศีลแปดไม่หลอกลวงใคร เขาเป็นคนที่มีธรรมะในใจอย่างงแท้จริง ไม่เหมือนพระรูปอื่นที่แสร้งวางมาดสง่าภูมิฐาน
แต่ช่วงนี้นางรับความทรมานมาเต็มที่แล้ว อยากจะออกห่างจากเขาไปคิดทบทวนดูเหมือนกัน ดูว่าตัวเองจะแยกจากเขาได้ไหม ถ้าแยกจากเขาได้ ทั้งชีวิตนี้นางก็ไม่อยากมาพบเขาอีก นางจึงผลึกแขนให้ทั้งร่างตกลงในน้ำ แล้วหมุนวนอยู่ในสระมรกต หมุนผ้ามุ้งสีแดงออกมาหลายเส้น และไม่นานก็สวมใส่เสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย
ศีลแปดมองนางพร้อมถามว่า “ยังอยากจะไปคิดบัญชีกับหนิวโหย่วเต๋ออีกเหรอ?”
ปีศาจโลหิตตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่มีโอกาส เขาได้เป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกของตลาดสวรรค์ที่ดาวเทียนหยวนแล้ว ข้าไม่สะดวกจะแตะต้องเขาอย่างโจ่งแจ้ง ไม่อย่างนั้นจะเท่ากับเป็นศัตรูกับตำหนักสวรรค์อย่างเปิดเผย ข้ารับผลที่ตามมาไม่ไหว ทำได้เพียงรอเวลา รอให้โอกาสดีๆ มาถึง”
“ทำไมไม่ปล่อยวาง? ทะเลทุกข์ไร้ที่สิ้นสุด หันกลับมาก็คือฝั่ง ถอยหนึ่งก้าว พบท้องทะเลกว้างและท้องนภาอันไพศาล!”
ปีศาจโลหิตดึงผ้ามุ้งสีแดงลอยกระเพื่อมในน้ำ หมอบอยู่บนขาของเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็พุ่งขึ้นฟ้าทันที ร่างที่ลอยอยู่บนฟ้าระเบิดเป็นหมอกเลือดกลุ่มหนึ่ง ร่างกายแห้งแล้ว หลุดออกจากละอองน้ำ พุ่งสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ด้วยความเร็วสูง ไปแล้ว!
ศีลแปดเงยหน้ามอง หลังจากผ่านไปนานมากถึงได้ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เพราะเขาสู้ไม่ชนะปีศาจโลหิต ถ้าสู้ชนะนางได้ เขาคงไม่ต้องขยับปากตลบตะแลง คงจะลงมือจัดการนางไปแล้ว
เขารู้สึกซวยมากที่ได้พบปีศาจโลหิต ตอนอยู่พิภพเล็กเสแสร้งเป็นพระที่สูงส่ง อยู่ที่พิภพใหญ่ก็ยังต้องเล่นละครอีก แต่พอปีศาจโลหิตไปแล้วก็ยังต้องเล่นละครต่อไป ก็ช่วยไม่ได้ เส้นทางนี้ต้องขายหน้าตา
เขาลอยขึ้นไปเหยียบลงริมสระ ร่ายอิทธิฤทธิ์ตากเสื้อผ้าให้แห้ง แล้วลอยเข้าไปในจุดลึกของป่าไม้โบราณ
ผ่านไปไม่นาน เขาก็มาที่เผ่าปีศาจอีกแล้ว ตอนนี้เขาได้เป็นแขกของที่นี่ คนที่นี่ไม่ชอบใช้กำลัง ขอเพียงพิสูจน์ได้ว่าเจ้าไร้พิษภัย ก็จะไม่มีใครเห็นเจ้าเป็นแขก
พอมาถึงใต้ต้นไม้ที่เคยนั่งบ่อยๆ เขาก็นั่งขัดสมาธิ ประนมมือสองข้าง ปากก็สวดมนต์อย่างไม่รีบร้อน คนที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วยากที่จะทำความเข้าใจ
แต่ภาพลักษณ์ของศีลแปดเป็นมิตรน่าเข้าใกล้ ประกอบกับจังหวะและท่วงทำนองที่ไพเราะเหมือนบทกวี จึงฟังดูไพเราะมาก เข้ากับบรรยากาศในป่า ราวกับว่าเมื่อได้ยินเสียงนี้แล้ว แม้แต่ต้นไม้ก็จะเติบโตแข็งแรง ดังนั้นจึงเป็นเหมือนที่ผ่านมา เริ่มมีคนเข้ามานั่งฟังเขาสวดมนต์อยู่ข้างๆ แล้ว
มู่หลินหลางเดินมาเตือนข้างๆ “ไต้ซือ เผ่าของพวกเราไม่ได้นับถือพุทธ” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ ไม่ต้องทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์แล้ว แต่เมื่อเห็นศีลแปดไม่ได้รับผลกระทบอะไร นางจึงนั่งฟังเขา ‘ร้องเพลง’ อยู่ข้างๆ เช่นกัน ถึงอย่างไรทุกคนก็ชอบเรื่องที่ดีงามอยู่แล้ว
จนกระทั่งคนมาค่อนข้างเยอะ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ หลังจากรอให้ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าปรากฏตัวและนั่งลงฟังกับคนอื่นๆ เสียงสวดมนต์ของศีลแปดถึงได้หยุดลง แล้วเริ่มแสดงธรรมเทศนากับกลุ่มปีศาจ นำสิ่งที่ไต้ซือศีลเจ็ดบอกมาพูดซ้ำที่นี่รอบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามอยู่เป็นระยะ ทุกครั้งเขาจะถามธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่า พยายามใช้ความคิดเพื่อลดระยะห่างระหว่างตัวเองกับธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่า
เขารู้ว่าเรื่องแบบนี้รีบร้อนไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงมีความอดทนมาก ถึงแม้ทุกครั้งมู่หลินหลางจะโผล่มาบอกว่าไม่มีประโยชน์ แต่ศีลแปดก็เข้าใจจุดประสงค์ของตัวเองดี และมองเห็นผลลัพธ์แล้วเช่นกัน ตอนแรกธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าเพียงยืนมองพระที่เคยดูนางอาบน้ำอยู่ไกลๆ จากนั้นก็เดินเข้ามาในกลุ่มคน แล้วก็เข้ามานั่ง จนทุกวันนี้นางคุยกับเขาแล้ว เขารู้สึกว่านี่คือความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่มาก อนาคตงดงามแน่นอน…
หลังจากส่งส่วยประจำปีกลับมาจากแดนโพ้นสวรรค์ ช่างไม้กับช่างหินวางเกี้ยวลง อวิ๋นจือชิวมุดออกมาจากเกี้ยว ยังคงเป็นมารดาแห่งใต้หล้าที่สวมเครื่องแต่งกายสุดหรูหรา ดวงตางามฉายแววเปล่งประกาย มีบารมีน่าเกรงขาม เหยียนซิวกับหยางเจาชิงเข้ามาต้อนรับและทำความเคารพ
อวิ๋นจือชิวที่เดินอย่างไม่ช้าไม่เร็วหันกลับมาสั่งว่า “เรียกฮูหยินตำหนักอินทนิลกับผู้การหยางมาพบข้า!”
ฮูหยินตำหนักอินทนิลก็คือฉินเวยเวยที่อยู่ตำหนักอินทนิล ถึงแม้จะเป็นอนุภรรยา แต่กลับรับหน้าที่แทนท่านทูตอยู่เสมอ เพื่อเป็นการให้เกียรติ ทุกคนต่างเรียกขานอย่างเคารพว่าฮูหยินตำหนักอินทนิล
“ขอรับ!” เหยียนซิวกับหยางเจาชิงเอ่ยรับและไปปฏิบัติตาม ทั้งสองแยกกันไปรายงาน
ผ่านไปไม่นาน ฉินเวยเวยกับหยางชิ่งก็มาเข้าพบที่ปราสาททอง
บนตึกปราสาททอง หลังจากอวิ๋นจือชิวบอกให้คนอื่นๆ ออกไปแล้ว นางก็เลิกวางมาดน่าเกรงขาม บนใบหน้าเผยรอยยิ้ม เข้ามาคล้องแขนฉินเวยเวยพร้อมบอกว่า “น้องสาว มานั่งด้วยกันสิ!”
ฉินเวยเวยไม่กล้านั่งเทียบเสมอกับนาง จึงรีบปฏิเสธแล้ว
อวิ๋นจือชิวเองก็ไม่บังคับ นำแหวนเก็บสมบัติออกมาสองวง แบ่งให้ทั้งสองคน “น้องสาว นี่คือของขวัญที่ท่านสามีของเราสั่งให้ข้านำมามอบให้พวกเจ้า กำชับว่าต้องมอบให้พวกเจ้าให้ได้ บอกว่าถ้าขาดไปแม้แต่เม็ดเดียว เขาจะมาขอคำอธิบายจากข้า พวกเจ้าต้องนับต่อหน้าให้ชัดเจนนะ ไม่อย่างนั้นถ้าข้ากลับไปแล้วเขาถาม ข้าก็จะไม่มีทางอธิบายได้”
ที่จริงเหมียวอี้ไม่คเยพูดอะไรแบบนี้เลย เรื่องในบ้านทางนี้ส่งให้นางจัดการทั้งหมด
หลังจากหยางชิ่งกับฉินเวยเวยเห็นของที่อยู่ข้างใน ทั้งสองก็ตกตะลึงมาก ต่อให้ไม่เคยกินเนื้อหมูแต่ก็รู้ว่าหมูหน้าตาเป็นอย่างไร หยางชิ่งพลันเงยหน้า “ท่านทูต นี่…หรือว่านี่จะเป็น…” เขารู้สึกเหลือเชื่อนิดหน่อย
อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเบาๆ “เป้นสิ่งนั้นแหละ คนละสิบล้านเม็ด เพียงพอให้พวกเจ้าสองคนเพิ่มวรยุทธ์ให้ถึงระดับบงกชทองไวๆ พวกเจ้านับดูสิ ดูว่ามีเท่าไร”
ไม่ต้องนับเลย ดูจากจำนวนแล้ว ต่อให้ขาดไปบ้างก็ไม่ต่างกันเท่าไร หยางชิ่งยังคงตกตะลึงมาก กุมหมัดถามว่า “ท่านทูต ข้าน้อยจำเป็นต้องถาม นายท่านเหมียวนำของสิ่งนี้มาจากไหนมากมายขนาดนี้?”
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยรวม พูดมากไปจะไม่เป็นผลดี เมื่อเห็นของสิ่งนี้แล้ว พวกเจ้าก็คงเข้าใจว่านายท่านจะไม่ออกมาพบใครไปอีกนาน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เขากำลังหายเข้ากลีบเมฆเพื่ออนาคตของครอบครัวเรา แม้แต่หลางหลางกับหวนหวนก็ไม่เคยได้ของสิ่งนี้เลยสักเม็ด เป็นเพราะภูมิหลังของพวกนาง ถ้ามีข่าวหลุดว่าพวกเราหาของพวกนี้มาได้ ผู้การหยางก็คงจะรู้ว่าผลที่ตามมาคืออะไร แบบนั้นครอบครัวเราก็จะจบเห่แล้วเหมือนกัน”
ขณะที่พูดก็จับมือฉินเวยเวย “น้องสาว ที่นายท่านไม่ได้มาเจอเจ้านาน ไม่ใช่ว่านายท่านจงใจเย็นชากับเจ้านะ แต่เรื่องนี้สำคัญมาก ไม่สามารถแบ่งสมาธิได้ ข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นชมดอกไม้ชมพระจันทร์กับนายท่านเหมือนกัน แต่กำลังช่วยนายท่านจัดการธุระ ที่ให้เจ้าคุมยอดเขาหยกนครหลวง ก็เพราะว่าเชื่อใจเจ้ามากจริงๆ เจ้าต้องช่วยนายท่านคุมสนามนี้ให้ได้ ไม่จำเป็นต้องแสดงฝีมือมากเกินไป ขอเพียงคุมได้ก็พอ ขอแค่คุมได้หลายร้อยปี รอให้ความสามารถของนายท่านสูงขึ้นก่อน แล้วครอบครัวเราก็จะมีอำนาจทั้งพิภพเล็ก แม้แต่หกปราชญ์ก็ยังต้องยืนชิดซ้าย”
…………………………
[1] บุปผาร่วงหล่นที่มีใจ แต่สายธารหลั่งไหลกลับไร้รัก 落花有意 流水无情 หมายถึง รักข้างเดียว