เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ เหมียวอี้คิดตามแล้วก็เห็นด้วย พยักหน้าบอกว่า “ในทางกลับกัน ถ้าไม่ได้รับช่วงต่อผู้เหลือรอดหกลัทธิเพื่อสู้กับพวกประมุขชิง ใต้หล้าในยุคนั้น ผู้ที่ทำให้เขาแอบดำเนินเรื่องอย่างลับๆ ได้ก็ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากตระกูลเซี่ยโห้ว ถ้ามองตามนี้ การเคลื่อนไหวของเขาก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง เซี่ยโห้วท่าเห็นเขาเป็นภัยคุกคาม ไม่ให้โอกาสเขาเตรียมตัวเต็มที่ วิธีการเด็ดขาดมาก ชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ!”
“สามารถพูดได้ว่า การที่พวกประมุขชิงกำจัดคนคนนั้นทิ้งถือเป็นการเดินมาที่แย่ ไม่อย่างนั้นถ้าพวกประมุขชิงร่วมมือกับเขาคนนั้นเพื่อต่อกรกับตระกูลเซี่ยโห้ว ตระกูลเซี่ยโห้วอยู่ในอันตรายแน่ แต่จะว่าไปแล้ว บางทีตระกูลเซี่ยโห้วคงยอมอยู่เบื้องหลังเพื่อทำให้พวกประมุขชิงรู้สึกว่าไม่ได้มีภัยคุกคามมากขนาดนั้น คิดว่าในภายหลังค่อยจัดการช้าๆ ก็ได้ ทว่าผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว สถานการณ์จริงได้พิสูจน์แล้วว่า อาศัยความสามารถของพวกประมุขชิงแล้วทำอะไรตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้เลย ข้าน้อยลองสืบเรื่องในปีนั้นดู พบว่าถ้าไม่ใช้เพราะพวกนั้นจับตัวผู้หญิงเป็นตัวประกัน บีบจุดอ่อนของคนคนนั้นไว้ เกรงว่าพวกนั้นอาจจะทำอะไรเขาคนนั้นไม่ได้ แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ยังปล่อยให้ร่างทิพย์ของคนคนนั้นหนีรอดไปได้ ทิ้งสถานการณ์ที่ยากแก้ไขไว้ในเจดีย์สยบปีศาจ ทำให้คนพวกนั้นไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ตอนนี้เขาหวนกลับมาอีกครั้ง ยึดถือนายท่านเป็นตัวหมาก ประลองฝีมือกับคนพวกนี้! ข้าน้อยแปลกใจว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นตัวละครแบบไหนกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้บุรุษที่ล้ำเลิศน่าทึ่งและสง่างามแห่งยุคยอมลำบากได้ขนาดนี้ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พบหรือเปล่า” หยางชิ่งกล่าว
เหมียวอี้ไม่สนใจผู้หญิงคนนั้น เพียงแค่ติดใจเรื่องที่ตัวเองเป็นตัวหมากของคนอื่น พึมพำว่า “ส่วนใหญ่ข้ารู้สึกว่าเขาไม่เข้ามาแทรกแซงข้า อย่าบอกนะว่าเขาวางใจให้ตัวหมากอย่างข้าตัดสินใจเองแบบนี้?”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ค่อยยอมรับความจริง ในเมื่อเรื่องราวเริ่มกระจ่างแล้ว หยางชิ่งก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่อยากยอมรับความจริงนี้ จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงลำบากใจว่า “นายท่าน ในเมื่อเขาสามารถควบคุมสถานการณ์ภาพรวมได้ ภายใต้แนวโน้มสถานการณ์นี้ นายท่านจะสามารถเบี่ยงเบนไปไหนได้เชียวหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น ทุกอย่างที่เขาทำก็ไม่อาจเปิดเผยได้ ไม่อย่างนั้นถ้าทำให้พวกนั้นตื่นตัว ตัวหมากอย่างนายท่านก็กลายเป็นหมากที่ต้องใช้ทิ้งแล้ว ในเมื่อเขาเลือกนายท่านแล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่มีสาเหตุ นายท่านลองมองย้อนกลับไปที่พิภพเล็ก พิภพเล็กมีสถานการณ์เป็นยังไงล่ะ? พอมาคิดดูตอนนี้ จะพบว่านั่นก็คือสนามทดสอบที่เขาวางไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ มีเพียงคนที่ผ่านการทดสอบของเขาเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์มาพิภพใหญ่ได้ จนกระทั่งหลังจากนายท่านมาที่พิภพใหญ่ ก็มีเหตุผลให้สงสัยว่าตอนมาใหม่ๆ ก็เป็นการทดสอบเหมือนกัน ต้องปรับตัวให้ใช้งานได้ ถ้าปรับตัวไม่ได้ก็โดนทิ้ง เขาพิจารณาถึงตัวเลือกอื่นได้ทุกเมื่อ ลองดูตอนนี้สิ หลังจากนายท่านเข้ามาประจำที่ตลาดผี นี่ต่างหากที่นับว่าผ่านการทดสอบของเขาแล้วจริงๆ ได้เข้ามาอยู่ในสถานการณ์ภาพรวมที่เขาผลักดันอย่างแท้จริง กลายเป็นตัวหมากที่แท้จริงในมือเขา หรือพูดได้อีกอย่างว่า เขาไม่จำเป็นต้องให้นายท่านเก่งเรื่องวางแผนสถานการณ์ภาพรวมในใต้หล้าเลย เพราะเขาสามารถผลักดันภาพรวมได้เอง เขาต้องการแค่ใครสักคนที่เอาชีวิตรอดอยู่ในสถานการณ์ภาพรวมที่เขาคอยผลักดันได้!”
เหมียวอี้นิ่งเงียบ สายตาเซื่องซึม
หยางชิ่งพูดต่อว่า “มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้ สายลับที่อยู่ตำหนักสวรรค์คนนั้นช่วยนายท่านขนาดนี้ แต่กลับไม่ยอมแสดงตัวต่อนายท่านเลย แปลว่าสายลับคนนั้นสำคัญต่อเขามาก ต่อให้ทิ้งนายท่านแล้ว สายลับคนนั้นก็จะยังไม่ถูกเปิดโปง เพื่ออะไรน่ะเหรอ? ก็เพื่อเวลาเปลี่ยนหมากตัวใหม่ สายลับคนนั้นจะได้ผลักดันสถานการณ์ภาพรวมได้เหมือนเดิมไงละ!”
เหมียวอี้หลับตาลงช้าๆ นึกขึ้นได้ถึงภาพที่คนคนนั้นยืนบนแพไม้ไผ่ลอยไปตามแม่น้ำ คนคนนั้นบอกเขาว่า เมื่อก้าวเข้ามาเส้นทางนี้แล้วจะไม่มีทางให้ถอยกลับ ให้เขาไตร่ตรองให้ดี แต่เขาก็ยังตัดสินใจอย่างไม่ลังเล
“เจ้าคงจะเก็บกดมานานแล้วสินะ? ตอนนี้พูดออกมามีเจตนาอะไร?” เหมียวอี้ไม่ลืมตา เอ่ยถามเนิบๆ
หยางชิ่งกุมหมัดคารวะ “นายท่าน ข้าน้อยหวังเพียงให้นายท่านมีแผนลอยู่ในใจ คนผู้นั้นล้ำลึกยากคาดเดาจริงๆ มิอาจไม่ป้องกัน! เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนนี้แล้ว ทัพใหญ่หลายสิบล้านของแดนรัตติกาลมีเจตจำนงร่วมร่วมกัน ขอเพียงนายท่านสั่งคำเดียว ก็สามารถบัญชาการได้ตามใจประสงค์ นายท่านมีข้อได้เปรียบที่คนอื่นไม่มี เป็นโอกาสดีที่จะวางแผนการใหญ่ อย่าเหนื่อยเปล่าเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นสุดท้ายจะกลายเป็นตัวหมากที่ถูกทิ้ง กลายเป็นคนที่ลำบากทำชุดแต่งงานให้คนอื่น[1]!”
วันจัดงานแต่งงานก็คือวันถัดมา
ผังอวี้เหนียงที่อยู่ในห้องนอนราวกับเป็นหุ่นไม้ ปล่อยให้บรรดาบ่าวไพร่จัดท่าแต่งตัวได้ตามใจ เปลี่ยนชุดเจ้าสาวใหม่เรื่อยๆ เปลี่ยนผ้าคลุมศีรษะเจ้าสาวไม่หยุด กลัวว่าจะผิดพลาด ทดลองใส่ชุดพิธีตอนท้ายสุด จะได้แน่ใจว่ามีจุดไหนที่ไม่เหมาะสม
จาหรูเยี่ยนกับผังเสี้ยวเสี้ยวดูอยู่ข้างๆ มองจากสีหน้าไม่ออกว่าดีใจหรือทุกข์ใจ
ในอาคารบ้านเรือนด้านนอกที่ยาวติดกันเป็นพืด เฉินหวยจิ่วนำกลุ่มพ่อบ้านเดินตรวจสอบด้วยกัน ดำเนินการตรวจสอบครั้งสุดท้าย ตรวจสอบทั่วทุกที่ว่าเตรียมการไว้เหมาะสมหรือเปล่า
ขณะที่เดินผ่านบนทางเดิน จู่ๆ กลุ่มคนก็หลีกทางซ้ายขวาและยืนอย่างเคร่งขรึม หลีกทางให้ผังก้วน
ผังก้วนเดินผ่านคนกลุ่มนี้ไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ท่ามกลางคนที่อยู่ตรงนี้ มีเพียงเฉินหวยจิ่วที่เข้าใจความรู้สึกของนายทท่านในเวลานี้ที่สุด ถ้าไม่ใช่เพราะไม่สะดวกจะอาละวาด คาดว่านายท่านคงต้องหยุดพิธีแต่งงานี้แน่นอน ทว่าไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงแข็งใจดำเนินพิธีนี้ต่อไป
ผังก้วนที่เดินขึ้นมาบนทางเดินหยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมา ไม่รู้ว่าติดต่อไปที่ไหน กำระฆังดาราในมือไว้แน่น หันกลับมามองเฉินหวยจิ่วแวบหนึ่ง ดวงตาฉายแววคมกริบ จากนั้นก็เดินก้าวยาวออกไป
เฉินหวยจิ่วเข้าใจ กำชับให้คนอื่นๆ ตรวจสอบให้เข้มงวด แล้วก็ปลีกตัวเดินออกไปจากคนกลุ่มนี้
เขาตามผังก้วนไป แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “นายท่านมีอะไรจะกำชับขอรับ?”
ผังก้วนไม่ตอบอะไรสักคำ จนกระทั่งเข้ามาในห้องหนังสือซึ่งคนนอกเข้าใกล้ไม่ได้ง่ายๆ ถึงได้หันตัวมากัดฟันบอกว่า “พวกเราตกหลุมพรางโจรเฒ่าฮ่าวเต๋อฟางแล้ว!”
“เหตุใดนายท่านถึงกล่าวเช่นนี้?” เฉินหวยจิ่วแปลกใจ
ผังก้วนบอกว่า “เฉาหม่านเพิ่งได้ข่าวมา ว่าฉากหน้าฮ่าวเต๋อฟางยกเลิกการเดินทาง แต่ที่จริงแล้วทัพของเขายังคงเตรียมตัวอย่างลับๆ”
“เฉาหม่านรู้ทิศทางการเคลื่อนไหวกองทัพของฮ่าวเต๋อฟางได้ยังไง…ไอ๊หยา!” เฉินหวยจิ่วเอามือตบศีรษะทีหนึ่ง ยังต้องพูดอีกเหรอ ต้องเป็นสายลับตระกูลเซี่ยโห้วที่อยู่ในทัพของฮ่าวเต๋อฟางแน่นอน เขามีสีหน้าหงุดหงิดทันที “โจรเฒ่าเจ้าเล่ห์จริงๆ ด้วย ไม่ผิดแน่ ที่โจรเฒ่าบอกว่ายกเลิกการเดินทาง ก็เพื่อป้องกันภัยล่วงหน้า บีบเค้นอันตรายที่อาจเกิดขึ้น!”
ผังก้วนคว้าแขนเขา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน “โชคดีที่ได้ข่าวจากเฉาหม่านล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นคงลนลานรับมือไม่ทัน! สวรรค์ไม่รังแกข้าจริงๆ ด้วย พรุ่งนี้เป็นวันตายของโจรเฒ่าแน่นอน! ตอนนี้เจ้ารีบบอกพี่น้องเบื้องล่าง ให้ทำตามแผนการปกติ เริ่มใหม่อีกครั้ง เตรียมตัวให้พร้อมก่อนโจรเฒ่าจะมาถึง จำไว้นะ ให้พวกเขาระมัดระวังให้ดี อย่าให้ข่าวหลุดเด็ดขาด!” ขณะที่พูดก็ตาลุกลาวด้วยความฮึกเหิม เรียกได้ว่าเปลี่ยนจากสะเทือนใจเป็นกลับมามีชีวิตชีวาแล้ว
“รับทราบ!” ตอนที่เฉินหวยจิ่วเอ่ยรับ ก็เตือนอีกว่า “นายท่าน ถ้าเร่งทำเวลาตอนนี้ คนทางฝั่งหนิวโหย่วเต๋อก็ยังมาทัน”
“ถูกต้อง!” ผังก้วนพยักหน้า
นายบ่าวต่างคนต่างหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเป้าหมายทันที
จนกระทั่งเฉินหวยจิ่วแจ้งข่าวสองคนเสร็จแล้ว ถึงได้พบว่าผังก้วนมีสีหน้าเย็นเยียบลง ทั้งยังขมวดคิ้วเล็กน้อย จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “นายท่าน หรือว่าหนิวโหย่วเต๋อกลับคำแล้ว?”
ผังก้วนตอบอย่างไม่แน่ใจ “ก็ไม่เชิงว่ากลับคำ แต่เขาคิดว่าฮ่าวเต๋อฟางคงไม่มาร่วมงานเลี้ยง กำลังพลที่ถอนกลับไปก็แยกย้ายกันแล้ว พวกเราแจ้งเขากะทันหัน ถ้าต้องระดมทัพใหญ่ภายในเวลาสั้นๆ นี้ ก็เป็นการเคลื่อรไหวที่ผิดปกติเกินไป เขากลัวว่าจะทำให้โจรเฒ่าตื่นตัว…ที่เขากังวลก็ไม่ใช่เพราะคิดมากเกินไปหรอก ในเวลาแบบนี้จะให้โจรเฒ่าสงสัยไม่ได้เด็ดขาด ทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่สะดวกจะมาอีกแล้ว แต่ฝั่งเขาเตรียมตัวให้ความร่วมมือกับการก่อกบฎของพวกเราแล้ว พอฝั่งเราลงมือเมื่อไร ทัพใหญ่ของเขาก็จะออกมาร่วมแรงทำงานใหญ่กับเราแน่นอน!”
“คำพูดไพเราะใครก็พูดได้ทั้งนั้น ระวังไว้จะดีกว่า ให้ต้วนชุนเอ๋อร์รีบไปสังเกตการณ์กองทัพตอนนี้เลยก็ได้ขอรับ” เฉินหวยจิ่วกล่าว
“อืม!” ผังก้วนพยักหน้า แล้วใช้ระฆังดาราในมือติดต่อเหมียวอี้อีกครั้ง
ในจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เหมียวอี้ที่นั่งสง่าอยู่ในโถ่งหลักเก็บระฆังดารา แล้วกัดฟันบอกว่า “ตาแก่สมควรตาย ระวังตัวจริงๆ กลัวว่าข้าจะเป็นอิสระเกินไป ไม่สร้างปัญหายุ่งยากให้ข้าแล้วจะตายรึไง!”
หยางเจาชิงกับหยางชิ่งมองมาพร้อมกัน หยางเจาชิงถามว่า “นายท่าน เป็นอะไรไปขอรับ?”
เหมียวอี้ทำเสียงฮึดฮัด “ตาแก่ผังก้วนยังไม่ล้มเลิกความคิดชั่วร้าย เวลานี้ยังจะส่งต้วนชุนเอ๋อร์มาจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเราอีก ถึงตอนนั้นถ้ากำลังพลของพวกเราไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร เกรงว่าผังก้วนคงสงสัยว่าพวกเรามีอุบาย! สงสัยจะบอกให้รู้เร็วเกินไปหน่อย ถ้าไม่ใช่เพราะกังวลว่าเขาจะเตรียมตัวไม่พร้อม ข้าคงบอกเขาช้ากว่านี้!”
หยางชิ่งยิ้มเรียบๆ แล้วยกฝ่ามือบอกว่า “ไม่น่ากังวลหรอก คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเขาต้องมาไม้นี้ เกรงว่าต้องรบกวนพี่เหยียนออกแรงสักหน่อยแล้ว!”
หยางเจาชิงมองเหยียนซิวที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้ เหมียวอี้ก็หันกลับไปมองแวบหนึ่งเหมือนกัน มุมปากเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ พอจะเดาออกแล้วว่าหยางชิ่งหมายความว่าอะไร
หยางชิ่งบอกอีกว่า “ต้วนชุนเอ๋อร์ไม่มาก็แล้วไป แต่ถ้ามา ข้าก็มีแผนการใช้กับนางอยู่แล้ว ทำให้นางรับประกันได้ว่าแผนของนายท่านจะมีโอกาสชนะเพิ่มอีกสามส่วน!”
“อ้อ!” เหมียวอี้ตาเป็นประกาย “ยินดีฟังรายละเอียด!”
หยางชิ่งก้าวขึ้นมา แล้วกระซิบเบาๆ ไม่กี่ประโยค “การศึกมิหน่ายเล่ห์…”
หยางเจาชิงฟังแล้วพยักหน้ายิ้มเบาๆ เหยียนซิวมองหยางชิ่งด้วยแววตาสับสน เหมือนไม่รู้ว่าควรดีใจหรือกังวล
“ท่านบุรุษมีแผนเด็ดขนาดนี้ใยต้องต้องซ่อนไว้ ไม่นำออกมาใช้ตั้งแต่แรก?” เหมียวอี้อุทานด้วยคำพูดแปลกๆ ตบโต๊ะยืนขึ้น แล้วกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ดี! เป็นอุบายที่ดี! การศึกมิหน่ายเล่ห์จริงๆ มีอุบายแยบยลขนาดนี้ ยังจะกลัวไม่ได้อาณาเขตทัพใต้อีกเหรอ? ต่อให้ต้วนชุนเอ๋อร์ไม่มา ครั้งนี้ข้าก็ต้องคิดหาทางเชิญนางมาให้ได้!”
เช้าตรู่วันต่อมา ต้วนชุนเอ๋อร์มาแล้วจริงๆ สำหรับเหมียวอี้ที่กำลังตื่นเต้นฮึกเหิม เขาให้เกียรติรอมานานแล้ว กลัวก็แต่นางจะไม่มา!
เคยพบกันแล้วครั้งหนึ่ง เหมียวอี้ย่อมสร้างสถานการณ์ส่งต้วนชุนเอ๋อร์ไปให้เหยียนซิวจัดการ
ในจวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว พวกฮ่าวเต๋อฟางที่ปลอมตัวแล้วออกมาทางประตูด้านข้าง พุ่งขึ้นฟ้าออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่เหาะผ่านเมฆ ผู้คุ้มกันหลายร้อยที่ซ่อนตัวอยู่ในเมฆก็ติดตามเขา ก่อนจะพุ่งขึ้นไปในดาราจักรด้วยกัน
นอกดาวอ๋องสวรรค์ฮ่าวที่มีกำลังทหารป้องกันจำนวนมาก คนขบวนนี้เดินทางอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค
อย่าไปมองว่าสมาชิกผู้คุ้มกันมีไม่เยอะ เพราะความจริงซ่อนทัพใหญ่เอาไว้ บนเส้นทางนี้อาจปรากฏสถานที่อันตรายขึ้นมา มีกำลังพลไปเก็บกวาดอุปสรรคบนเส้นทางล่วงหน้าแล้ว
ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ ตอนฮ่าวเต๋อฟางจะออกเดินทาง ทั้งในและนอกประตูดวงดาวที่จะต้องผ่านมักมีคนดักซุ่มอยู่ พอฮ่าวเต๋อฟางกำลังจะไปถึง ก็จะมีกำลังพลรีบพุ่งออกไปกวาดล้างทั้งในและนอกประตูดวงดาวให้ก่อน รอจนฮ่าวเต๋อฟางผ่านไปได้อย่างราบรื่นแล้ว กำลังพลที่ปรากฏตัวขึ้นก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอยเร็วมาก
ตอนนี้แม้สถานการณ์จะไม่ปกติเพราะเรื่องของพระปีศาจหนานโป แต่ทหารยามที่เฝ้าประตูดวงดาวบนเส้นทางนี้ก็พบว่ามีกำลังพลไม่น้อยโผล่มา พวกเขาถือคำสั่งมารับช่วงต่อคุมระตูดวงดาวชั่วคราว แล้วปล่อยให้คนขบวนนี้ผ่านไปโดยไม่แม้แต่จะตรวจสอบ จากนั้นก็รีบคืนอำนาจคุมประตูดวงดาวให้อีกครั้ง
แม้คนที่เฝ้าประตูดวงดาวจะไม่รู้ว่าคนที่เพิ่งผ่านไปคือใคร แต่ก็เดาออกเช่นกันว่าต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่นอน
…………………