ถ้าจะให้พูดจริงๆ เหมียวอี้ก็รู้ชัดอยู่แก่ใจ ว่าถ้าตัวเองไม่ได้แต่งงานกับอวิ๋นจือชิว ถ้าอาศัยแค่ตัวเขาเองในตอนนี้ ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะไปเป็นแขกของนภาจอมมารได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะได้พบหน้าปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน
แต่อวิ๋นจือชิวกลับยังคงพูดคุยกับฉินเวยเวยเรื่องแต่งงานเข้ามาเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ตลอดทาง ทั้งยังให้ฉินเวยเวยช่วยออกความคิดเห็นด้วย ว่าผู้หญิงแบบไหนเหมาะจะแต่งงานเข้ามาเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้
“พี่สาวอยากจะหาอนุภรรยาให้นายท่านจริงๆ เหรอคะ?” เมื่อฟังมาจนถึงตอนท้าย ฉินเวยเวยที่คอยฟังมาตลอดก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
ถ้ายืนอยู่ในมุมของผู้หญิง นางไม่กล้าเชื่อว่าอวิ๋นจือชิวจะใจกว้างขนาดนั้นจริงๆ
“คิดว่าข้าพูดเล่นเหรอ? ข้าคิดอย่างนี้จริงๆ ตั้งแต่ครั้งก่อนที่เขาแอบหนีไป หนีไปทีก็หลายร้อยปี ข้ากำลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่ ผู้ชายเจ้าชู้หลายใจมาก บางทีข้าคนเดียวอาจจะทำให้เขาพอใจไม่ได้ เลยตัดสินใจจะหาอนุภรรยาให้เขาสักคนหนึ่ง”
ช่างไม้กับช่างหินที่กำลังหามเกี้ยวพากันกลั้นขำ ส่วนเหมียวอี้ก็ส่ายหน้าอย่างจนใจ อุดปากผู้หญิงคนนี้ไม่อยู่อีกแล้ว เอาแต่คิดไปเองแทนเขาไม่หยุด ทำให้เขาพูดไม่ออกมาก จึงหันกลับมาเปลี่ยนประเด็นสนทนา “อวิ๋นจือชิว ข้าไปนภาจอมมารมือเปล่าแบบนี้จะเหมาะสมหรือเปล่า? จะให้ข้าเตรียมของขวัญอะไรสักหน่อยมั้ย?”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล อะไรที่ควรเตรียมข้าก็เตรียมไว้แล้ว เจ้าไปแต่ตัวก็พอ” อวิ๋นจือชิวตอบอย่างไม่ใส่ใจ แล้วจูงมือฉินเวยเวยมาคุยประเด็นก่อนหน้านี้ต่อ “น้องสาว! เจ้าช่วยข้าออกความเห็นหน่อยสิ ดูว่าผู้หญิงแบบไหนจะเหมาะสม”
“เรื่องแบบนี้ ถ้าพี่สาวใจร้อนก็เกรงว่าจะไม่มีประโยชน์ คงต้องดูว่านายท่านชอบแบบไหนค่ะ” ฉินเวยเวยฝืนยิ้ม
อวิ๋นจือชิวยื่นปลายเท้าไปจิ้มก้นเหมียวอี้ทันที “ถามเจ้าอยู่นะ ชอบแบบไหนล่ะ?”
เหมียวอี้เอามือคลำก้นพลางร้องอุทาน จากนั้นก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าว่าเจ้าอย่าทำตัวบ้าบอแบบนี้ได้มั้ย? เกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ! ข้าไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะรับอนุภรรยา!”
ในใจเขาเตรียมพร้อมป้องกัน สงสัยว่าผู้หญิงคนนี้คงกำลังทดสอบเขาแน่ๆ ถ้าเขาเอ่ยปากยอมรับจริงๆ เดี๋ยวกลับไปคงลำบาก
“ไม่ต้องแสร้งทำตัวเรียบร้อยอะไรหรอก!” อวิ๋นจือชิวเท้าสะกิดก้นเขาอีกที แล้วหันกลับมาพูดกับฉินเวยเวยอีก “น้องสาว ใต้บังคับบัญชาเจ้าก็มีกำลังคนไม่น้อย เดี๋ยวกลับไปช่วยข้าดูให้ดีๆ หน่อยนะ ถ้าเจอคนที่เหมาะสมก็พามาให้ข้าดูหน่อย”
ฉินเวยเวยพยายามเจียดรอยยิ้มพลางพยักหน้า นับว่าตอบตกลงแล้ว เพียงแต่หลายครั้งที่เห็นเถ้าแก่เนี้ยใช้เท้าจิ้มก้นเหมียวอี้ เห็นเหมียวอี้ทำสีหน้าจนใจ นางก็ค่อนข้างเห็นใจเขา นึกไม่ถึงว่าประมุขปราสาทผู้สง่าผ่าเผยจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าฮูหยิน
ในหัวนางมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา นั่นก็คือ อวิ๋นจือชิวได้แต่งงานกับเหมียวอี้ แต่ไม่ได้ทำหน้าที่ฮูหยินอย่างดีที่สุด และไม่ได้ดูแลผู้ชายคนนี้ให้ดี ผู้หญิงคนหนึ่งปฏิบัติต่อสามีตัวเองเช่นนี้ได้อย่างไร? นางพอจะเข้าใจบ้างแล้วว่าทำไมเหมียวอี้ถึงแอบหนีไป เป็นไปได้สูงว่ารับไม่ได้กับการโดนทารุณ ขนาดอยู่ต่อหน้าคนนอกอวิ๋นจือชิวยังทำแบบนี้ได้ เมื่ออยู่ในบ้านก็คงไม่ได้ดีสักเท่าไร
หลังจากฉินเวยเวยคิดได้แบบนี้ ก็รู้สึกปวดใจแทนเหมียวอี้อย่างบอกไม่ถูก ในปีนั้น ผู้ชายที่ขี่อาชามังกรบุกเดี่ยวท่ามกลางกำลังพลนับพันและโบกทวนตะโกนอย่างดุดันเกรี้ยวกราดว่า ‘เหมียวอี้อยู่นี่แล้ว ใครกล้าสู้กับข้า’ ไม่น่าเชื่อว่าจะตกต่ำถึงขนาดนี้ ถ้าในปีนั้นทั้งสองได้อยู่ด้วยกันจริงๆ ตัวเองจะไม่ปฏิบัติต่อเขาอย่างขาดความยุติธรรมเด็ดขาด…
ยอดเขาสูงเสียดฟ้า ยิ่งใหญ่สยบใต้หล้า!
เกี้ยวเหาะมาเหยียบลงนอกประตูใหญ่ของนภาจอมมารโดยตรง ไม่ต้องไปรายงานก่อน ด้วยยี่ห้ออย่างอวิ๋นจือชิว สามารถเดินเคียงคู่กับเหมียวอี้เข้าประตูใหญ่ไปได้เลย ปกติอวิ๋นจือชิวจะเหาะขึ้นไปบนภูเขาโดยตรง แต่ตอนนี้เหมียวอี้เยี่ยมคารวะเป็นครั้งแรก คงไม่ดีถ้าจะทำตัวเสียมารยาท จะต้องทำตามระเบียบ
ฉินเวยเวยเดินตามหลังทั้งสองอย่างค่อนข้างตื่นเต้นกังวล ไม่เคยนึกมาก่อนว่าวันหนึ่งจะได้มาเหยียบในสถานที่ชั้นสูงแบบนี้ โดยเฉพาะตัวอักษรขนาดใหญ่ที่ติดอยู่บนป้ายประตูข้างหน้า ยิ่งใหญ่สยบใต้หล้า!
มีพลังอำนาจไม่ธรรมดา แค่มองปราดเดียวก็ทำให้หวาดกลัว เผยให้เห็นความเผด็จการ มีพลังสยบใต้หล้าจริงๆ ด้วย นี่คือสถานที่เก็บตัวฝึกตนของปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน ผู้ซึ่งเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในใต้หล้า เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่สูงสุดในใต้หล้า จะไม่ให้ฉินเวยเวยตื่นเต้นกังวลได้อย่างไร
ช่างไม้กับช่างหินที่อยู่ข้างหลังเก็บเกี้ยวแล้ว ก่อนหน้านี้ช่างไม้ไม่กล้าเหยียบเข้ามาในนภาจอมมาร แต่ตอนนี้ถือว่าตัดขาดความสัมพันธ์กับนภาอู๋เลี่ยงแล้ว กลายเป็นลูกน้องคนสนิทของอวิ๋นจือชิวแล้ว มีสิทธิ์เข้ามาที่นี่ได้
ภูเขายิ่งใหญ่เกรียงไกรตั้งสูงชันอยู่สองข้างทาง เต็มไปด้วยต้นสนขนาดใหญ่และหินประหลาด ตรงแนวเทือกเขาที่อยู่ไกลโพ้นมีเสียงสัตว์ป่าร้องไม่หยุด พวกเขาเดินขึ้นบันไดตามทางหินที่ตัดผ่านภูเขา เหมียวอี้และอวิ๋นจือชิวเดินเคียงกันอยู่หน้าสุด อวิ๋นจือชิวสวมมงกุฎหงส์ ดูสูงส่งภูมิฐาน กระโปรงยาวข้างหลังลากพื้น
พวกเขายังไม่ทันเดินขึ้นเขา ก็ได้ยินเสียงทักทายโหวกเหวกโวยวายดังมาไม่หยุด “พี่หญิงใหญ่ พี่เขยมาแล้ว…”
เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวสบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็ฟังออกถึงเสียงคุ้นเคยที่ปะปนอยู่ในนั้น
ซวบๆ! เงาคนหลายคนเหาะมาเหยียบลงบนไหล่เขา ใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็มีคนโผล่มาเป็นร้อยแล้ว กำลังยืนมองลงมาข้างล่าง เหมือนทุกคนมาดูเอาสนุก อวิ๋นจือชิวจึงหันกลับมาพูดกับเหมียวอี้ด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าช่างหน้าใหญ่จริงๆ นะ พวกเขามาต้อนรับเจ้าทั้งนั้น ข้าไม่เคยได้รับการปฏิบัติแบบนี้เลย”
เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ รู้สึกหนาวชาหนังศีรษะนิดหน่อย ญาติพี่น้องพวกนี้ประหลาดพิลึกจริงๆ ข้าจำได้ไม่หมดหรอก!
มีบางคนที่ตะโกนโวยวายอยู่ข้างบนแล้ว อย่างเช่นอวิ๋นเฟยหยาง แหกปากตะโกนทักทายว่า “พี่เขย ทำไมแค่เดินยังเดินช้าขนาดนั้นล่ะ? ตอนที่ขึ้นเตียง พี่หญิงใหญ่โหดเกินใช่มั้ย ทำเอาท่านตัวอ่อนเป็นกุ้งแล้ว แรงแค่นี้ยังกล้ามาที่นภาจอมมารอีกนะ!”
พี่น้องรุ่นราวคราวเดียวกันหัวเราะลั่น จากนั้นก็ตามด้วยเสียงร้อง “อ๊า” อวิ๋นเฟยหยางโดนถีบกลิ้งลงบันไดมาหลายตลบ พอลุกขึ้นได้ก็ตะโกนอย่างโมโห “แม่งเอ๊ย ใครมัน…”
เสียงตะโกนพลันเงียบลง คนที่ถีบคืออวิ๋นก่วง บิดาของเขานั่นเอง ตอนนี้กำลังจ้องเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
อวิ๋นเฟยหยางเหมือนโดนตะคริวกินใบหน้า รีบหุบปากแล้วก้มหน้าเดินอ้อมไปด้านข้างอย่างซึมๆ
เหมียวอี้เหงื่อแตกพลั่ก พบว่าเจ้าพวกนี้กล้าพูดทุกอย่างออกมาจริงๆ แม้แต่คำพูดไร้ยางอายก็สามารถตะโกนออกมาต่อหน้าต่อหน้าสาธารณะชนได้
อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว ดวงตางามฉายแววดุดัน จ้องตามหลังอวิ๋นเฟยหยางที่เดินหดหัวไป แล้วหันมายิ้มให้ฉินเวยเวยที่กำลังทำสีหน้าอึดอัด “น้องสาว เป็นแค่คนส่วนน้อยที่ปากไม่มีหูรูดน่ะ อย่าเก็บคำพูดพวกนั้นมาใส่ใจเลยนะ”
ฉินเวยเวยฝืนยิ้มอย่างเก้อเขิน นางไม่เคยผ่านเรื่องอย่างว่าของชายหญิงมาก่อน จะไปชินกับคำพูดลามกได้อย่างไร
เหมียวอี้กลับพึมพำในใจว่า นี่เป็นคนส่วนน้อยเหรอ? เหมือนทุกคนในตระกูลอวิ๋นที่ข้ารู้จักจะปากไม่มีหูรูดกันหมดเลยนะ ฮูหยินเองก็ไม่ได้ดีกว่าพวกเขาสักเท่าไรหรอกมั้ง? เป็นอีกาฝูงเดียวกันแท้ๆ จำเป็นต้องไปว่าคนอื่นมั้ย!
พอพวกเขาเดินขึ้นมาบนเนินเขาที่ใช้ต้อนรับแขก สองสามีภรรยาไล่เรียงคำนับผู้ใหญ่ด้วยกันทันที “อาหญิงสาม อาหก อาแปด…”
ส่วนอาเขยกับอาสะใภ้ที่อยู่ข้างหลังก็มีจำนวนเยอะเกินไป โดยเฉพาะบรรดาอาสะใภ้ พวกอาเขยยังดีหน่อย เพราะมีคุณธรรมความเชื่อคอยควบคุม ที่นภาจอมมารจึงยังไม่มีปรากฏการณ์หนึ่งหญิงหลายสามี แต่พวกอาสะใภ้นั้นต่างออกไป บางคนที่มีเมียเยอะหน่อยก็ปาเข้าไปสิบยี่สิบคน
สรุปก็คือเหมียวอี้โค้งกายคำนับจนแทบจะมึนศีรษะ เขาจะไปจำคนมากมายขนาดนี้ในรวดเดียวได้อย่างไร แต่มาครั้งแรกจะเสียมารยาทไม่ได้ ให้ความสำคัญกับทุกคนโดยไม่ขาดตกบกพร่อง โชคดีที่ข้างกายมีอวิ๋นจือชิว แค่เรียกชื่อตามนางก็พอแล้ว
ฉินเวยเวยที่ยืนอยู่กับช่างไม้และช่างหินเห็นแล้วตาลาย คำว่าเจ็ดอาแปดน้า[1] เมื่อเทียบกับญาติพี่น้องพวกนี้แล้วยังนับว่าห่างชั้น คึกคักวุ่นวายมาก
หลังจากคำนับเสร็จ ในฐานะที่เป็นผู้จัดการชั้นหนึ่งของบรรดาพี่น้องเหล่านี้ อาหกอวิ๋นเซี่ยวออกคำสั่งว่า “ประกาศลงไป ลูกเขยใหม่มาเยือนบ้านแล้ว จัดงานเลี้ยงใหญ่ต้อนรับแขก ห้ามขาดไปแม้แต่คนเดียว จะดีใจหรือไม่ดีใจก็ต้องมาร่วมงานกันให้ครบ!”
เมื่อพูดจบก็ย่อมมีคนไปเตรียมการ อวิ๋นจือชิวโดนบรรดาน้องสาวเสียงเจื้อยแจ้วดึงตัวไปทันที ส่วนเหมียวอี้ก็โดนพวกผู้ชายดึงตัวไปพร้อมกับเสียงหัวเราะดังลั่น ทำเหมือนจะพวกมารุมทำร้าย
อวิ๋นจือชิวที่สวมมงกุฎหงส์และแต่งตัวเหมือนมารดาแห่งใต้หล้า เมื่ออยู่ท่ามกลางสาวๆ กลุ่มนี้ ก็เรียกได้ว่าเด่นสง่ามีราศีราวกับนกกระเรียนในฝูงไก่ พวกน้องๆ ชมนางไม่หยุดว่าเครื่องแต่งกายงดงาม แต่ละคนทำสายตาอิจฉาชื่นชม ไม่ใช่ว่าพวกนางไม่มีปัญญาหามาใส่ แต่เครื่องแต่งกายที่ดูโดดเด่นเหนือคนอื่นขนาดนี้ พวกนางไม่กล้านำมาใส่ที่นี่ส่งเดช ทำได้เพียงอิจฉาเท่านั้น
ส่วนอวิ๋นจือชิวก็โดนพวกน้องๆ ชมจนหน้าชื่นตาบาน ยิ้มแย้มอย่างสดใส เพราะได้สวมเครื่องแบบเต็มยศกลับบ้านไงล่ะ นี่คือหนึ่งในส่วนที่สำคัญที่สุดยามผู้หญิงได้โอ้อวดความมีหน้ามีตา เป็นการพิสูจน์ว่าตัวเองมีชีวิตที่ดีมากหลังจากแต่งงานออกไป
เหมียวอี้ยิ้มจนหน้าแทบชา ผ่านไปไม่นานพวกน้องชายก็เริ่มชวนเขาคุยเรื่องผู้หญิงแล้ว นับว่าทำให้เขาได้เข้าใจอย่างแท้จริงถึงสิ่งที่เรียกว่าปากไม่มีหูรูด
มีบางคนบอกเขาว่า เบื้องล่างส่งหญิงงามมาให้สองคน พี่เขยเพิ่งมาเป็นครั้งแรก จึงตัดสินใจจะเสียสละมอบให้พี่เขยได้เสพสุขก่อน ทั้งยังบอกเขาว่าไม่ต้องเกรงใจ สถานที่เตรียมไว้พร้อมแล้ว ไม่ให้พี่หญิงใหญ่จับได้แน่นอน มีบางคนกลัวน้อยหน้า บอกว่าเดี๋ยวคราวหลังจะหาหญิงงามมามอบเป็นของขวัญให้เช่นกัน บางคนก็บอกว่าเมื่อก่อนตอนที่อยู่นภาจอมมาร พี่หญิงใหญ่เป็นคนเผด็จการวางอำนาจบาตรใหญ่มาก ถามเหมียวอี้ว่านางเผด็จการเรื่องบนเตียงด้วยหรือเปล่า บางคนถึงขั้นถามว่า เวลาเหมียวอี้กับพี่หญิงใหญ่อยู่ด้วยกันยัง…
เหมียวอี้อยากจะพ่นน้ำลายใส่หน้าเจ้าพวกนี้จริงๆ เป็นบ้าอะไรกันไปหมด ตอนนี้นับว่าเข้าใจแล้ว เมื่อเทียบอวิ๋นจือชิวกับเจ้าเดรัจฉานพวกนี้ ก็นับว่านางสุภาพเรียบร้อยมากแล้ว เขารู้สึกเหมือนเข้ามาอยู่ในรังหมาป่า แต่ก็ยังต้องเจียดร้อยยิ้มออกมา
โชคดีที่ไม่ได้ทรมานนานเกินไป เขาปลีกตัวออกมาได้แล้ว เมื่อสองสามีภรรยามาที่นี่ คนแรกที่ต้องเข้าพบก็ย่อมเป็นนายท่านของที่นี่ ปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน!
สำหรับเรื่องนี้ ไม่มีใครกล้าถ่วงให้ทั้งสองเสียเวลา พวกเขาแยกย้ายกันอย่างรวดเร็ว
ฉินเวยเวย ช่างไม้และช่างหินไม่สะดวกจะเข้าไปด้วย ย่อมมีคนพาพวกเขาไปพักผ่อน
อวิ๋นจือชิวคุ้นเคยกับทางไปตำหนักจอมมาร ไม่ต้องให้ใครนำทางเลย นางกับเหมียวอี้เดินขึ้นไปบนยอดเขาที่สูงที่สุด เหมียวอี้ที่เพิ่งได้รับความสงบปาดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วถามว่า “น้องชายพวกนั้นจ้องแต่จะส่งผู้หญิงมาให้ข้า เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว แล้วแสยะยิ้มพลางบอกว่า “ใครพูดบ้าง บอกชื่อมาซิ เดี๋ยวข้าจะไปคิดบัญชีทีละคน!”
แบบนี้พี่เขยอย่างข้าจะไม่ทำให้คนกลุ่มใหญ่ขุ่นคืองใจหรอกเหรอ? เหมียวอี้กลอกตามองบน “ข้าลืมชื่อแล้ว!”
เมื่อมาถึงลานกว้างบนยอดเขา ตำหนักจอมมารก็ปรากฏสู่สายตา มีเมฆมารผืนหนึ่งลอยวนเวียนอยู่บนฟ้าเหนือตำหนักจอมมาร ตอนแรกเหมียวอี้นึกว่าเป็นเมฆครึ้มที่อยู่บนฟ้าอยู่แล้ว ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าเป็นกลุ่มปราณมารที่ลอยขึ้นมาจากตำหนักจอมมาร
ตาเฒ่าเฉียวที่สวมชุดคลุมสีขาวทั้งตัวยืนเงียบๆ อยู่บนบันไดนอกตำหนัก ประตูตำหนักที่อยู่ข้างหลังปิดสนิท เขายิ้มตาหยีให้ทั้งสองมาแต่ไกลๆ เมื่อเห็นทั้งสองใกล้เข้ามาแล้ว เขาก็เดินลงมาช้าๆ หลังจากพบหน้ากัน ก็กุมหมัดทักทายว่า “น้องชิวพาหลานเขยมาเข้าพบนายท่านด้วยตัวเองเลย”
“ตาเฒ่าเฉียว!” สองสามีภรรยาไม่กล้าเสียมารยาทกับคนตรงหน้า จึงคำนับพร้อมกัน จากนั้นอวิ๋นจือชิวก็บอกว่า “รบกวนตาเฒ่าเฉียวไปแจ้งท่านปู่ให้หน่อยค่ะ น้องชิวพาสามีมาเข้าเยี่ยมคารวะท่านปู่!”
“ไม่ต้องแจ้งหรอก! นายท่านทราบแล้วว่าหลานเขยมาหา แต่ก่อนจะพบกัน นายท่านมีคำถามฝากข้ามาถามหลานเขยก่อน” บนใบหน้าตาเฒ่าเฉียวยังคงรอยยิ้มเอาไว้ตามปกติ แล้วจ้องเหมียวอี้พร้อมกล่าวว่า “นายท่านบอกไว้ว่า ถ้าจะมาเยี่ยมคารวะในฐานะหลานเขย ก็เข้าไปพบได้ แต่ถ้ามาเพื่อจุดประสงค์อื่น อย่างเช่นมาเพื่อเยียนเป่ยหงคนนั้น ก็ไม่ต้องเข้าพบ!”