แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นฉากอัศจรรย์อย่างนี้ แต่เมื่อตัวได้อยู่ในฉากที่ราวกับความฝัน ทุกคนของเผ่าปีศาจก็ยังแอบรู้สึกทึ่ง ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าที่นั่งอยู่เบื้องล่างมองศีลแปดด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเคารพ
ผู้อาวุโสมู่เซินหลับตาตั้งใจฟังด้วยหน้าดื่มด่ำ เดิมทีเขาก็เป็นปีศาจต้นไม้อยู่แล้ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินศีลแปดบรรยาธรรม เขาก็เริ่มรู้สึกได้แล้วว่าพุทธธรรมที่ศีลแปดบรรยายมีประโยชน์ต่อการฝึกตนของเขา ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้เขารู้สึกถึงความหมายลึกซึ้งบางอย่างที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
เขาสามารถเป็นผู้อาวุโสของเผ่าได้ ย่อมไม่ใช่คนที่ถูกหลอกง่ายอยู่แล้ว ตอนแรกยังนึกว่าศีลแปดอาศัยของประเภทผลึกยอดไม้มาเร่งการเจริญเติบโตของพืชพันธุ์ ตอนหลังถึงไม่พบว่าไม่มีเรื่องอย่างนั้นเลย เขาไม่ได้ใช้ผลึกยอดไม้ ถึงขนาดว่าไม่ใช้พลังอิทธิฤทธิ์สักนิดเลยด้วยซ้ำ
พอศีลแปดยิ้มแย้ม ก็ทำให้มวลหมู่ดอกไม้เปล่งประกายทันที จุดไหนที่ศีลแปดเดินผ่าน จุดนั้นก็จะเจริญรุ่งเรือง ต้นหญ้าสั่นไหว ดอกไม้เบ่งบาน ต้นไม้ที่แก่ตายไปแล้ว แม้กระทั่งใช้ผลึกยอดไม้ฟื้นชีวิตมาไม่ได้ แต่พอศีลแปดกล่าว ‘อามิตตาพุทธ’ ก็ทำให้มีใบไม้ผลิออกมาแล้ว คำว่า ‘อามิตตาพุทธ’ สามารถเปลี่ยนความดุร้ายให้เป็นความมงคลสงบสุขได้ สัตว์ป่าดุร้ายที่ได้รับการกล่อมเกลานี้ พอเข้ามาในเขตที่อยู่ของเผ่าปีศาจ พวกมันก็ไม่แยกเขี้ยวยิงฟันอีก ปรองดองกับธรรมชาติ
สัตว์เล็กก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนเช่นกัน เห็นได้ชัดวันนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผลึกยอดไม้สามารถช่วยได้
ที่อัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นก็คือ พอศีลแปดบรรยายธรรมหนึ่งครั้ง กิ่งหยกเหลืองในเขตที่เผ่าปีศาจปลูกให้ปราสาทแมกไม้ก็จะเติบโตอย่างบ้าคลั่ง บรรยายธรรมครั้งเดียวก็ทำให้เผ่าปีศาจทำภารกิจที่ปราสาทแมกไม้มอบหมายให้ได้อย่างผ่อนคลาย
กอปรกับการบรรยายธรรมจากศีลแปดทำให้มู่เซินสัมผัสถึงความหมายลึกซึ้งของพุทธธรรมแล้วจริงๆ แน่ใจนะว่าศีลแปดคือพระชั้นสูงที่มีศีลธรรม ทำให้ผู้อาวุโสมู่เซินเคารพนับถือเป็นอย่างมาก ตอนแรกเผ่าปีศาจก็ยังระวังตัวอยู่บ้าง กังวลว่าศีลแปดจะมีเจตนาแอบแฝงอย่างอื่น ผลก็คือพบว่าศีลแปดไม่เคยขอสิ่งใดจากเผ่าปีศาจเลย ถ้าจะบอกว่าเสแสร้งเล่นละครชั่วครั้งชั่วคราว แต่หลายหมื่นปีมานี้ก็เห็นถึงความบริสุทธิ์ของพระศักดิ์สิทธิ์แล้ว
ศีลแปดบอกว่ามีบุญสัมพันธ์กับธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่า ยินดีที่จะบรรยายธรรมให้มู่น่าฟังเป็นการส่วนตัว เผ่าปีศาจดีใจมาก การยอมรับมู่น่าทำให้พวกเขาคิดว่ายอมรับเผ่าปีศาจด้วย ผู้อาวุโสมู่เซินถึงขนาดแสดงความเคารพต่อศีลแปดแทนมู่น่าด้วย โอกาสแบบนี้ทั้งเผ่าปีศาจได้มาเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นฉากที่ทุกคนของเผ่าปีศาจฟังธรรมจนเคลิบเคลิ้มในตอนนี้ ดังนั้นจึงมักจะเห็นมู่น่าออกไปทัศนาจรข้างกายศีลแปดอย่างสง่าผ่าเผย เผ่าปีศาจไม่เพียงแค่ไม่มีใครคัดค้าน กลับยินดีที่จะเห็นด้วยซ้ำ…
แสงแดดสดใส ริมมหาสมุทรที่คลื่นซัดเป็นระลอก ปี้เยว่อุ้มโถใส่เถ้าประดูกใบหนึ่ง นางเปิดฝาเทลง ฝุ่นผงปลิวหายไปตามสายลม
ตรงจุดที่ไม่ไกล เหมียวอี้กับเฟยหงยืนเคียงข้างกันบนโขดหิน บางทีอาจะเป็นเพราะผู้หญิงรู้สึกเศร้าได้ง่าย เฟยหงรู้สึกหดหู่กับฉากนี้ ในดวงตาเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ
เหมียวอี้สีหน้าเรียบเฉย แม้การที่ปี้เยว่กลายเป็นแบบนี้จะเกี่ยวข้องกับเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ปี้เยว่ก็คงไม่ได้อยู่กับไห่ยวนเค่อที่แดนอเวจี แล้วเขาก็เป็นคนสั่งฆ่าเทียนหยวนด้วย แต่ในใจเขายังคงไม่สะทกสะท้าน
เขาไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด เมื่อไม่มีเทียนหยวนแล้ว ปี้เยว่ก็อาจเป็นทุกข์แค่ชั่วคราว แต่ถ้ายืนมองในมุมที่ใหญ่กว่านั้น การทำแบบนี้มีแต่ผลดีกับปี้เยว่ในตอนนี้ เทียนหยวนในตอนนี้กลายเป็นคนบ้านแตกสาแหรกขาดแล้ว ไม่มีความสามารถที่จะดูแลปี้เยว่ ไม่อย่างนั้นคงมีหนทางพาปี้เยว่ไปดูแลด้วยตั้งแต่แรก ในเมื่อเป็นแบบนี้ ไม่สู้ส่งไปให้ไห่ยวนเค่อดูแลดีกว่า
เขาให้ปี้เยว่เลือกฮวงซุ้ยฝังแกนกระดูกเทียนหยวน แต่ปี้เยว่ก็ยังตัดสินใจเผาเทียนหยวน ปี้เยว่บอกว่าที่นี่ไม่มีใครชอบเทียนหยวน ไม่จำเป็นต้องฝังเทียนหยวนไว้ที่นี่ สำหรับนักพรตที่มีอายุขัยยาวนาน สุสานไม่อาจทนการโจมตีจากลมฝนได้
ปี้เยว่บอกว่าชาตินี้ของนางกับเทียนหยวนจบสิ้นแล้ว หากมีวาสนาชาติหน้าค่อยเจอกันใหม่ ถ้าจะเก็บไว้ในหลุมศพก็ไม่สู้เก็บไว้ในความทรงจำดีกว่า ไม่สู้เก็บเรื่องบางเรื่องเอาไว้ในใจดีกว่า
เพลิ้ง! สุดท้ายโถใส่เถ้ากระดูกก็แตกละเอียดเป็นผุยผงอยู่ในมือปี้เยว่ ลอยหายไปกับสายลมแล้ว
ปี้เยว่ที่สวมชุดสีขาวทั้งตัวกระโปรงปลิวสะบัด หลังจากยืนอยู่ริมทะเลเป็นเวลานาน นางก็หันตัวเดินกลับมาหาทั้งสองอย่างเงียบๆ บนใบหน้ายังมีคราบน้ำตา กล่าวเสียงเบาว่า “ทุกอย่างผ่านไปแล้ว กลับกันเถอะ”
นางเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ เหมียวอี้ก็ตะโกนเรียก “ปี้เยว่!”
ปี้เยว่หยุดเดินแล้วหันมามอง เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ขอโทษนะ”
“ตัวเองเลือกเส้นทางนี้เอง มีเรื่องมากมายที่เกิดขึ้นเพราะตัวเอง ไม่มีอะไรน่าขอโทษ” ปี้เยว่ตอบเสียงเบา
เหมียวอี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “เรื่องพระปีศาจหนานโปทำให้ข้านึกกลัวอยู่เลย ข้าคิดว่า…ข้าส่งเจ้าไปอยู่ข้างกายไห่ผิงซินดีกว่า ที่นั่นปลอดภัย”
ปี้เยว่ไม่ได้ปฏิเสธ ไม่ได้ตื่นเต้นดีใจ เพียงพยักหน้าเบาๆ “รบกวนแล้ว”
เหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้เฟยหงให้ไปส่งปี้เยว่ ส่วนตัวเองก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อไห่ยวนเค่อ บอกว่า : เรื่องเทียนหยวนข้าจัดการให้แล้ว เดี๋ยวทางนี้จะหาโอกาสส่งปี้เยว่ไปที่นั่น นางอาจจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ให้ไห่ผิงซินอยู่เป็นเพื่อนางมากๆ หน่อย
ไห่ยวนเค่อเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า : เรื่องบางเรื่องสุดท้ายก็ต้องจบลง ขอบคุณ!
หลังจากนั้นไม่กี่วัน เหมียวอี้ก็ให้เหยียนซิวส่งปี้เยว่ไปที่แดนอเวจีอย่างเป็นความลับ การไปของปี้เยว่ครั้งนี้นับว่ายุติเรื่องระหว่างเขากับปี้เยว่แล้ว ไม่ว่าเรื่องนี้จะดีจะร้าย ก็นับว่าเขาได้ให้คำชี้แจงกับปี้เยว่แล้ว
ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งปี แต่การเฝ้าระวังที่ใต้กล้ามีต่อพระปีศาจหนานโปยังไม่หย่อนหยานลงเลยสักนิด แต่พระปีศาจหนานโปกลับเหมือนหายเข้ากลีบเมฆ สิ่งนี้ยิ่งทำให้พวกพี่ใหญ่ของตำหนักสวรรค์เป็นกังวล ขนาดสภาพพระปีศาจหนานโปในปัจจุบันยังต้องคอยรับมือ ถ้าปล่อยให้พระปีศาจหนานโปฟื้นพลังกลับมาจริงๆ แบบนั้นก็จะยุ่งยากแล้ว
เมื่อเทียบกันแล้ว ฝั่งเหมียวอี้กลับผ่อนคลายด้วยซ้ำ อาณาเขตไม่ใหญ่ กำลังพลไม่เยอะ ไม่ค่อยมีที่เหลือให้พระปีศาจหนานโปพลิกสถานการณ์ ถ้ามีความผิดปกติอะไรก็พบได้ง่าย แต่พวกพี่ใหญ่ของตำหนักสวรรค์กลัวรู้สึกว่าทุกที่ล้วนมีช่องโหว่ให้พระปีศาจฉวยโอกาส
ไม่มีความเคลื่อนไหวครึ่งปี แม้แต่เหมียวอี้เองก็รู้สึกแปลกใจ อดไม่ได้ที่จะสงสัย อย่าบอกนะว่าตัวเองคิดมากไป พระปีศาจหนานโปไม่ได้รู้ความลับเรื่องเขากับแดนอเวจีเหรอ?
ในขณะนี้เอง จู่ๆ ก็มีแขกที่ไม่ได้รับเขิญมาเยือน
“จางผิง?” เหมียวอี้ที่เดินไปเดินมาอยู่ในลานบ้านครุ่นคิด นึกไม่ออกว่าคนคนนี้คือใคร “วรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง บอกว่าเป็นสหายเก่าของข้า?”
หยางเจาชิงที่เป็นคนรายงานยื่นแผ่นหยกให้ กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เขาบอกว่าถ้านายท่านเห็นแล้วก็จะนึกออกเองว่าเป็นใคร”
เมื่อเห็นสีหน้าเขาแปลกไป เหมียวอี้ก็รับแผ่นหยกมาตรวจอ่าน เห็นเพียงในแผ่นหยกมีเพียงสองคำ ‘ปี้’ กับ ‘ไห่’
ถ้าคนทั่วไปเห็นคำนี้ก็คงไม่พ้นต้องนึกเชื่อมโยงว่าคือปี้ไห่ที่หมายถึงทะเลมรกต หรือไม่ก็มหาสมุทร แต่เหมียวอี้กลับเบิกตากว้าง เพราะนึกเชื่อมโยงไปถึงสองชื่อนี้ ปี้เยว่กับไห่ยวนเค่อ!
เหมียวอี้กับหยางเจาชิงสบตากันอย่างเข้าใจ เหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้ หยางเจาชิงรีบออกไปแล้ว
รอได้สักพัก จางผิงที่ผ่านการตรวจสอบมาหลายด่านก็ถูกพามาถึงจวนผู้สำเร็จราชการ มาพบเหมียวอี้ในสวนดอกไม้ ตอนนี้เหยียนซิวมาคอยยืนระวังหลังให้เหมียวอี้แล้ว
“คารวะผู้ตรวจการใหญ่” ผู้ที่มาทำความเคารพ
เหมียวอี้ใช้นิ้วเคาะแผ่นหยกบนโต๊ะเบาๆ มองสอบสวนอีกฝ่าย พร้อมถามเสียงเรียบ “ทำไมข้านึกไม่ถึงว่ามีเจ้าเป็นสหายเก่า?”
“จะเป็นสายเก่าหรือไม่ก็ไม่เป็นไรหรอก คนที่ฝากฝังให้ข้ามาพบผู้ตรวจการใหญ่บอกไว้แล้ว ว่าขอเพียงผู้ตรวจการใหญ่ยอมพบข้า ก็ย่อมรู้เองว่าข้ามาทำไม” จางผิงตอบอย่างไม่ลนลานหวาดกลัว
“กล้ามากระบิดกระบวนต่อหน้าข้า เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วสินะ” เหมียวอี้กล่าว
จางผิงตอบว่า “ผู้สูงศักดิ์ที่ฝากฝังข้ามาบอกไว้ว่า ถ้าอยากจะพบผู้ตรวจการใหญ่สักครั้งก็ยากมาก ทำได้เพียงให้ข้ามาเป็นตัวกลางติดต่อกับผู้ตรวจการใหญ่ ผู้สูงศักดิ์บอกไว้ว่า ขอเพียงผู้ตรวจการใหญ่ส่งสมุนไพรจิตวิญญาณมาให้ เขาก็รับรองได้ว่าความลับในแผ่นหยกจะไม่รั่วไหล”
เหมียวอี้เลิกคิ้ว เหล่ตามองหยางเจาชิง ส่งสายตาให้กัน พบว่าพระปีศาจหนานโปรู้ความลับนี้จริงๆ ด้วย นำเรื่องนี้มาขู่จริงๆ ด้วย
เพียงแต่ทั้งสองไม่ค่อยเข้าใจ ว่าทำไมพระปีศาจหนานโปถึงรอนานขนาดนี้กว่าจะลงมือ
หารู้ไม่ ว่าตอนที่เหยียนซิวถอนผนึกควบคุมให้ปี้เยว่ ทำให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปถูกพลังย้อนทำร้าย ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะฟื้นฟูกลับมาได้
เหมียวอี้วางมือบนโต๊ะแล้วกระดกนิ้ว เหยียนซิวถลันตัวออกมา บีบคอจางผิงจนสลบ แล้วหันตัวหิ้วออกไป
ตอนที่หิ้วจางผิงกลับมาอีกครั้ง เหยียนซิวก็รายงานว่า “นายท่าน จางผิงคนนี้เป็นเพียงนักพรตอิสระ เขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าคนที่ฝากฝังให้เขามาคือใคร เขาถูกควบคุมแล้ว แต่ในหัวมีเส้นด้ายสีทองควบคุมแค่เส้นเดียวเท่านั้น จะให้นำออกมาหรือเปล่าขอรับ”
พอนึกถึงภาพที่เหยียนซิวกระอักเลือดตอนช่วยปี้เยว่ เหมียวอี้ก็บอกว่า “ไม่ต้องแล้ว เป็นแค่ตัวละครเล็กๆ ที่คอยวิ่งเต็น ไม่มีค่าพอให้เปลืองกำลัง ปลุกเขาให้ตื่น คลายพลังอิทธิฤทธิ์ ให้เขาติดต่อกับพระปีศาจ”
เหยียนซิวจัดการทันที ปลุกจางผิงให้ตื่น คลายพลังอิทธิฤทธิ์ให้แล้วด้วย
จางผิงที่ตื่นและได้พลังอิทธิฤทธิ์กลับมาขยับแขนขาเล็กน้อย แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะ “สงสัยผู้ตรวจการใหญ่จะคิดได้แล้ว”
หยางเจาชิงแอบส่ายหน้า คนไม่รู้ย่อมไม่กลัวจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะถูกควบคุมอยู่ นักพรตอิสระต่ำต้อยคนหนึ่งจะกล้าพูดจาอย่างนี้ต่อหน้านายท่านได้อย่างไร ตัวละครเล็กๆ อย่างนี้ถูกกำหนดมาให้ตาย ที่นี่ยอมปล่อยไป แต่เกรงว่าพระปีศาจคงไม่ปล่อยให้เขารอดชีวิต
เหมียวอี้กล่าวอย่างใจเย็นว่า “ติดต่อผู้สูงศักดิ์เบื้องหลังเจ้า บอกเขาว่า ถ้าอยากได้สมุนไพรจิตวิญญาณก็ได้ แต่ช่วยเขาทำเรื่องสองเรื่องก่อน”
“ไม่ทราบว่าสองเรื่องนั้นคืออะไร” จางผิงถาม
เหมียวอี้จ้องเขาอย่างเย็นเยียบ “เจ้าช่วยตัดสินใจแทนผู้สูงศักดิ์คนนั้นได้เหรอ?”
จางผิงเงียบไปครู่เดียว ก่อนจะหยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน หลังจากติดต่อแล้วก็บอกว่า “ผู้สูงศักดิ์บอกว่า เจ้าไม่มีสิทธิ์มาต่อรอง”
เหมียวอี้จึงบอกว่า “ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ต่อรอง แบบนี้จะไม่เอาเรื่องนี้มาบีบข้าตลอดไปเหรอ บอกเขาไป ข้าก็แค่ทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนกับเขา ไม่ยอมให้เขาบีบหรอก ถ้าเขาไม่ตอบตกลงก็เชิญตามสบาย ในมือพ่อคนนี้มีทัพเกรียงไกรหลายสิบล้าน ไม่ใช่ว่าใครอยากจะแตะต้องก็ได้!”
จางผิงเขย่าระฆังดาราบอกต่อ แล้วตอบกลับมาว่า “ผู้สูงศักดิ์ถามว่าเรื่องอะไร ให้ผู้ตรวจการใหญ่ลองพูดมาก่อน”
เหมียวอี้ตอบว่า “หนึ่ง ตำหนักสวรรค์มีสถานที่ลับสำหรับหลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ข้าอยากรู้ว่าอยู่ที่ไหน สอง สมาคมวีรชนควบคุมคนไว้จำนวนหนึ่ง ใช้วิธีการน่าละอายบีบบังคับให้คนทำงานรับใช้สมาคมวีรชน ในนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อเจียงอวิ๋น ตอนนี้ชื่ออะไรก็ไม่รู้ ช่วยข้าตามหานางให้เจอ! เรื่องนี้อาจจะยากสำหรับคนอื่น แต่สำหรับผู้สูงศักดิ์อาจจะมีหนทาง”
จางผิงจำและถ่ายทอดต่อ เมือ่ได้รับคำตอบกลับมาก็ตอบว่า “ผู้สูงศักดิ์บอกว่า จะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าจะไม่กลับคำ?”
“เรื่องที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างสงบ ข้าเองก็ไม่อยากสร้างความยุ่งยาก ข้าเองก็หวังว่าเขาจะรักษาความลับ” เหมียวอี้ตอบ
จางผิงบอกต่อให้ตอบว่า “ผู้สูงศักดิ์บอกว่าตกลง หวังว่าเจ้าจะรักษาคำพูด ไม่อย่างนั้นก็ต้องรับผลที่ตามมาเอง”
เหมียวอี้พยักหน้า จางผิงถ่ายทอดข้อความแล้วก็ถูกควบคุมไว้อีก โดยมีเหยียนซิวเก็บไว้ควบคุมดูแลโดยเฉพาะ
“จัดการตามแผนรับมือที่เตรียมไว้เถอะ” เหมียวอี้เอียงหน้าบอกหยางเจาชิง
หยางเจาชิงกุมหมัดคารวะ “ขอรับ!”
เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน “ติดต่อเฉาหม่าน เชิญเขามาที่นี่สักเที่ยว บอกว่าข้าจะเลี้ยงสุราเขา”
…………