คนรีบหยุดอยู่กลางอากาศ เอามือลูบหน้าอก แล้วถามอย่างตกใจเล็กน้อย “ผู้อาวุโส เกิดอะไรขึ้น?”
เขาย่อมสังเกตได้ว่าความผิดปกตินี้เกี่ยวข้องกับร่างกายตัวเอง กายเนื้อของตัวเองได้รับการเชื่อมโยงจากพระปีศาจหนานโป
เสียงของพระปีศาจหนานโปค่อนข้างเย็นครึ้ม “ผนึกควบคุมที่ข้าลงไปบนตัวปี้เยว่ถูกคนถอนออกแล้ว เป็นเจ้าคนที่ฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง”
ที่จริงนี่ก็คือสาเหตุที่ตอนแรกเขาไม่อยากปล่อยไปเหยียนซิว เขาอยากจะได้สมุนไพรจิตวิญญาณผ่านปี้เยว่ เขามองออกแล้วว่าเหยียนซิวสามารถถอนผนึกควบคุมของเขาได้ ย่อมต้องกำจัดเหยียนซิวทิ้ง ตอนนั้นถึงได้ชักช้าไม่ยอมหนี เพียงแต่คนคำนวนมิอาจสู้ลิขิตฟ้า
สงฉีเงียบไป ฟังจากที่เขาพูดเหมือนจะโดนทำลายผนึกควบคุมแล้ว คนที่ลงผนึกควบคุมโดนพลังย้อนทำร้าย แต่เขาไม่ได้พูดออกมา เพียงถอนหายใจ “ดูท่าคงมาเสียเที่ยว!” ในใจยังมีอีกประโยคที่ไม่ได้พูดออกมา ทั้งยังเสียคนไปตั้งมากมาย
พระปีศาจหนานโปแสยะยิ้ม “ก็ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรเลย!”
“ร่างกายผู้อาวุโสไม่เป็นอะไรร้ายแรงใช่ไหม?” สงฉีสนใจสิ่งนี้
“ไม่เป็นอะไร เจ้าเดินทางต่อได้”
ส่วนในโถงด้านข้าง หยางเจาชิงก็ถลันตัวเข้ามาประคองเหยียนซิวที่ร่างกายโอนเอน ถามว่า “เจ้าเป็นอะไรไปแล้ว?”
เหยียนซิวส่ายหน้า “พระปีศาจร้ายกาจจริงๆ ด้วย ข้าต้องพยายามใช้สมาธิถึงจะทำลายผนึกควบคุมของเขาได้”
เหมียวอี้นั่งยองๆ ข้างกายปี้เยว่ ตรวจสภาพร่างกายให้นางเล็กน้อยปี้เยว่ พอยืนยันได้ว่าแค่สลบไปเท่านั้น ร่างกายไม่เสียหายอะไร เขาถึงได้วางใจ เงยหน้าถามว่า “ทำไมอาเจียนเป็นเลือด เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
เหยียนซิวบอกว่า “ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพียงแต่สภาพจิตใจได้รับความเสียหาย ใช้เวลาสักหน่อยก็ฟื้นฟูได้แล้วขอรับ” สายตาไปหยุดอยู่บนตัวปี้เยว่ที่กำลังสลบ “โชคดีที่ไม่อันตรายถึงชีวิต ปกป้องไม่ให้สมองนางได้รับความเสียหายมาก นางน่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว”
เหมียวอี้ลุกขึ้นแล้วมองธงเรียกวิญญาณ “เส้นด้ายสีทองเปล่งแสงนั่นคืออะไร?”
เหยียนซิวตอบว่า “เป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักของสิ่งนี้ ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่น่าจะเป็นของประเภทจิตวิญญาณที่กลายเป็นวัตถุจริง ถ้าแนบติดอยู่ในสมองคนก็จะมีพลังควบคุมสูงมาก ของสิ่งนี้ใช่ว่าอาศัยวรยุทธ์กับพลังอิทธิฤทธิ์แล้วจะถอนออกได้ แต่พอเข้ามาในธงเรียกวิญญาณก็ไม่เป็นภัยแล้ว ธงเรียกวิญญาณจะหลอมละลายมันเอง” พูดจบก็เก็บธงเรียกวิญญาณ
“งั้นก็ดี” เหมียวอี้พยักหน้า “เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ! เดี๋ยวต่อไปค่อยดูว่าสามารถถามอะไรจากปากคนที่จับมาได้หรือเปล่า ถ้าจะให้ดีที่สุดก็ต้องทำลายรังของพระปีศาจทิ้ง!” ตอนที่พูดประโยคนี้ ในแววตาฉายแววกระหายการฆ่า
เหยียนซิวเองก็ไม่อิดออด เข้าไปในห้องด้านข้างแล้ว กินสมุนไพรเซียนซิงหัวแล้วนั่งสมาธิ
หยางชิ่งออกไปเรียกสาวใช้ที่ปกติปรนนิบัติปี้เยว่มาที่นี่ ให้พาปี้เยว่ที่กำลังสลบกลับไปที่บ้านตัวเอง
พอออกจากโถงด้านข้าง เหมียวอี้ก็ขมวดคิ้วโดยไม่พูดอะไร
หยางเจาชิงที่ติดตามอยู่ข้างกายปลอบใจว่า “นายท่านวางใจ ในเมื่อเหยียนซิวบอกว่าถอนออกแล้ว ก็น่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว”
เหมียวอี้หยุดเดิน แล้วกล่าวยังไม่แน่ใจ “เจาชิง มีบางเรื่องที่เจ้าไม่รู้ ปี้เยว่ไม่ได้เป็นแค่ฮูหยินของเทียนหยวนเท่านั้น สาเหตุที่นางปกป้องข้าตอนอยู่ตลาดสวรรค์ ก็เพราะนางมีอีกฐานะหนึ่ง นางยังมีสามีอีกคนหนึ่ง ชื่อไห่ยวนเค่อ…” ในปีนั้นเขาไม่สะดวกจะบอกเรื่องบางอย่างกับหยางเจาชิง จนป่านนี้แล้ว เขาไม่คิดจะปิดบังเรื่องแดนอเวจีกับหยางเจาชิงอีก อย่างไรเสีย ด้วยฐานะของหยางเจาชิงตอนนี้ก็ต้องรู้เรื่องบางอย่างเอาไว้ จึงจะสามารถทำงานให้เขาได้อย่างครอบคลุมทั่วทุกด้าน จึงเล่าให้ฟังคร่าวๆ
หยางเจาชิงตกใจจนอ้าปากค้าง ขุนพลใหญ่ไห่ยวนเค่อของลัทธิอู๋เลี่ยงเป็นสามีของปี้เยว่เหมือนกัน?ไม่น่าเชื่อว่าไห่ผิงซินจะเป็นลูกสาวของปี้เยว่กับไห่ยวนเค่อ? นึกไม่ถึงว่านายท่านจะเป็นราชาปราชญ์ของหกลัทธิด้วย? ข้อมูลลับที่ต่อเนื่องนี้ทำให้เขาย่อยไม่ทัน นึกไม่ถึงว่านายท่านจะสยบหกลัทธิได้แล้ว แอบคิดในใจว่าฝ่ายเรายังมีทัพเกรียงไกรอีกกลุ่มอยู่ในมือ
เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะกังวลหรือดีใจแทนเหมียวอี้ ดีใจเพราะเหมียวอี้มีอำนาจมากกว่าที่เห็น ในฐานะที่เขาเป็นพ่อบ้านคนสนิทของเหมียวอี้ เขาย่อมเหมือนเรือที่ขึ้นสูงตามน้ำ
เขาตระหนักได้รางๆ ว่าเหยียนซิวคงจะรู้ความลับนี้ ดังนั้นเหยียนซิวจึงยอมสละทุกอย่างเพื่อไล่สังหารพระปีศาจหนานโป
หลังจากดึงสติกลับมาแล้ว หยางเจาชิงก็กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นายท่านกำลังกังวลว่าพระปีศาจหนานโปจะล่วงความลับบางอย่างจากปี้เยว่ได้แล้วหรือขอรับ?”
เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำว่า “ที่จริงสิ่งที่ปี้เยว่รู้มีจำกัด รู้แค่ว่าข้าคือคนของหกลัทธิ ไม่รู้ว่าข้าเป็นราชาปราชญ์หกลัทธิ”
“ต่อให้เป็นแบบนี้ ลำพังแค่สิ่งที่ปี้เยว่รู้ ถ้าความลับตกอยู่ในมือพระปีศาจหนานโปจริงๆ ก็เพียงพอให้สร้างภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อนายท่านได้เหมือนขอรับ” หยางเจาชิงกล่าว
เหมียวอี้พยักหน้า “นี่ก็คือสิ่งที่ข้ากังวล ให้คนดูปี้เยว่เอาไว้ ถ้าปี้เยว่ฟื้นแล้วแจ้งข้าทันที”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงพยักหน้าตอบ รู้ว่าเขาต้องยืนยันทันทีว่าปี้เยว่ได้ทำให้ความลับรั่วไหลหรือไม่
หลังจากหยางเจาชิงออกไปแล้ว เฟยหงก็เดินเข้ามาถามอย่างสงสัยอีก “นายท่าน ทำไมพี่ปี้เยว่ถึงโดนหามไปคะ?” นางเพิ่งเห็นเองกับตา
เหมียวอี้คว้ามือเรียวสวยของนางมาตบเบาๆ เขาไม่ได้หลอกนาง ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “เฟยหง มีเรื่องมากมายที่เจ้าไม่เข้าใจ บางเรื่องข้าก็ไม่สะดวกจะบอกเจ้าตอนนี้ ในภายหลังเจ้าจะค่อยๆ เข้าใจเอง”
คำพูดนี้ไม่ได้ทำให้เฟยหงเป็นทุกข์ อย่างน้อยก็ไม่ได้หลอกนาง นางพยักหน้าตอบว่า “ข้าเข้าใจ”
ในตอนนี้นางเริ่มรับผิดชอบเรื่องบางอย่างในบ้านบ้างแล้ว อย่าว่าแต่พวกอ๋องสวรรค์จะไม่เข้าประชุมราชสำนักแล้ว หลายปีมานี้วังสวรรค์ตั้งใจเว้นตำแหน่งบนราชสำนักให้เหมียวอี้ด้วย เหมียวอี้เองก็ปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาไม่ได้ไปทางวังสวรรค์ เพราะรู้ว่าไปแล้วอาจจะถูกกักตัว ขนาดเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เรียกเขาไป เขายังหาข้ออ้างปฏิเสธเลย ถึงขั้นไม่ให้อวิ๋นจือชิวไปมาหาสู่กับที่นั่นแล้วด้วย ภารกิจนี้ถูกส่งต่อให้เฟยหง โดยที่อวิ๋นจือชิวให้พวกช่างไม้ไปค่อยชี้แนะ
ให้เฟยหงออกหน้าไม่ใช่แค่สามารถทำให้เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวหลบเลี่ยงอันตรายบางอย่างได้ ทั้งยังปลอบฝั่งตำหนักสวรรค์ให้สงบได้ด้วย อย่างน้อยทางตำหนักสวรรค์ก็จะคิดว่าเฟยหงได้รับความเชื่อใจจากเหมียวอี้เต็มที่แล้ว ในช่วงเวลาสำคัญยังสามารถแสดงบทบาทได้มาก ดังนั้นทางฝั่งตำหนักสวรรค์จึงไม่แสดงปฏิกิริยารุนแรง สรุปก็คือทั้งสองฝั่งล้วนแฝงเจตนาไม่ดีทั้งในที่ลับและที่แจ้ง กำลังวางอุบายใส่กัน
เพียงแต่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เหมือนจะไม่ค่อยชอบเฟยหง ปฏิบัติด้วยอย่างค่อนข้างเย็นชา ท่าที่แตกต่างกับที่ปฏิบัติกับอวิ๋นจือชิวโดยสิ้นเชิง ประการแรกเป็นเพราะแนวโน้มการใช้กำลังทหารสร้างอำนาจให้ตัวเองของเหมียวอี้ทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่ค่อยพอใจ ประการรองก็เพราะนางล้วนไม่ชอบผู้หญิงทุกคนที่ทำตัวเหมือนเป็นภรรยาเอก
เฟยหงได้รับความอยุติธรรมจากฝั่งราชินีสวรรค์นิดหน่อย แต่กับอำนาจฝ่ายอื่นล้วนได้รับการปฏิบัติอย่างมีมารยาท ถึงอย่างไรตอนนี้เหมียวอี้ก็มีอำนาจ ทำให้ประสบการณ์และโลกทัศน์ของเฟยหงเพิ่มขึ้นมาก ชีวิตและสภาพจิตใจเปลี่ยนไปอย่างพลิกฟ้าคว่ำดิน มีความมั่นใจในการการปฏิบัติตัวมากขึ้น มองเห็นที่นี่เป็นครอบครัวของตัวเองอย่างแท้จริงแล้ว
เมื่อก่อนตอนถูกหน่วยตรวจการซ้ายควบคุม นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าในอนาคตตัวเองจะได้ใช้ชีวิตอย่างนี้ ทำให้นางใฝ่ฝันถึงอนาคตยิ่งกว่าเดิม
นางเองก็รู้เช่นกันว่าหลังจากตัวเองได้ทำงานสำคัญข้างกายเหมียวอี้แล้ว มารดาของตัวเองที่อยู่หน่วยตรวจการซ้ายก็จะมีชีวิตที่ดีมากขึ้น หน่วยตรวจการซ้ายแสดงความปรารถนาดีกับนางบ่อยๆ ทุกครั้งที่นางไปวังสวรรค์ หน่วยตรวจการซ้ายก็จะให้นางกับมารดาเจอกันที่อุทยานหลวง มองออกเลยว่ามารดาเริ่มมีสีหน้าดีขึ้น นางได้ยินมารดาบอกว่าไม่ต้องทำงานใช้แรงงานพวกนั้นแล้ว ทั้งยังมีคนมาคอยปรนนิบัติรับใช้ด้วย
เหมียวอี้ใช้แขนข้างเดียวโอบเอวบางของนางเอาไว้ แล้วทั้งสองก็พูดคุยเดินเล่นด้วยกัน…
วันต่อมาเหยียนซิวก็ปฏิบัติงานตามที่เหมียวอี้แจกจ่ายให้ ตรวจสอบสี่คนที่ส่งไปคุ้มกันปี้เยว่ก่อน หลังจากแน่ใจแล้วว่าสี่คนนี้ไม่มีปัญหา เหมียวอี้ก็สั่งให้ปล่อยทันที พร้อมทั้งให้รางวัลปลอบใจสี่คนนี้ด้วย ตกใจนิดหน่อย ปิดงานได้อย่างปลอดภัย ทั้งยังได้รับรางวัล สี่คนนี้ย่อมดีใจอยู่แล้ว
ส่วนสองพันคนที่ถูกควบคุม เมื่อเทียบกับปี้เยว่แล้ว เหยียนซิวแก้ไขปัญหาได้สะดวกมาก คลายผนึกควบคุมบนตัวพวกเขาได้อย่างสบายๆ จากนั้นก็ปล่อยคนของตัวเอง ส่วนคนที่รบตาย หยางเจาชิงก็จัดการมอบบำรุงขวัญแก่ครอบครัว ส่วนพวกลูกน้องของสงฉีที่ถูกจับมา มีเหยียนซิวอยู่ด้วยก็ง้างปากได้ง่ายมาก
เมื่อออกจากคุกใต้ดินมาแล้ว เหมียวอี้ก็กำชับว่า “แจ้งให้โค่วหลิงซวีส่งกำลังพลไปล้อมปราบเดี๋ยวนี้!”
“นายท่าน มีคนถูกจับเยอะขนาดนั้น คงยากที่สงฉีจะไม่ป้องกัน เกรงว่าคงย้ายที่ไปแล้ว แจ้งให้โค่วหลิงซวีล้อมปราบคงไม่มีความหมาย ข้าน้อยแนะนำว่าแอบให้คนรายงานขึ้นไป ถึงตอนนั้นต่อให้ไม่ได้อะไรเลย แต่โค่วหลิงซวีก็มาโทษฝั่งนี้ไม่ได้” หยางเจาชิงสงสัย
เหมียวอี้พยักหน้า “ไปจัดการตามที่เจ้าคิดก็แล้วกัน”
“แล้วจะทำยังไงกับคนพวกนี้?” หยางเจาชิงหันกลับมามองในคุก
“ให้เหยียนซิวลองขุดดูก่อน ดูว่าจะขุดได้มากเท่าไหร่”
“เกือบพันคน เกรงว่าถ้าจะขุดก็คงใช้เวลาไม่น้อย”
“ค่อยๆ ขุด พอขุดได้แล้วก็แอบทยอยส่งไปที่ดาวสยบใต้ ส่งให้เยี่ยนเป่ยหง เขาจะจัดการอย่างเหมาะสมเอง” เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน
หยางเจาชิงยังไม่รู้ความลับของเยี่ยนเป่ยหง ไม่รู้ว่าทำไมต้องส่งให้เยี่ยนเป่ยหงจัดการ ไม่รู้ด้วยว่าทำไมเหมียวอี้ต้องยิ้มเจื่อน
ความจริงก็คือ วรยุทธ์ของเยี่ยนเป่ยหงมาถึงขั้นนี้แล้ว ความต้องการสำหรับใช้ฝึกวิชามารก็เยอะมาก ไปลงมือกับนักพรตเล็กๆ พวกนั้นไม่มีความหมายแล้ว แต่ก็รู้ถึงที่มาที่ไปของวิชามาร ไม่กล้าเปิดโปงง่ายๆ และหมายความว่าไม่กล้าลงมือกับคนง่ายๆ ด้วย การส่งคนเกือบพันคนให้เยี่ยนเป่ยหงนี้ จะช่วยลดความยุ่งยากให้เยี่ยนเป่ยหงได้บ้าง ทั้งยังทำให้เยี่ยนเป่ยหงที่ใจมากด้วย
ครั้งนี้ปี้เยว่หลับลึกค่อนข้างนาน ใช้ยาวิเศษก็ไม่มีประโยชน์ หลับลึกไปหลายวันกว่าจะฟื้นขึ้นมา
เมื่อเหมียวอี้ได้ยินข่าวก็ไปที่เรือนพักของปี้เยว่ทันที
หยางเจาชิงกันลูกน้องให้ถอยไป แล้วเดินเข้าไปในห้องนอนของปี้เยว่โดยตรง
ปี้เยว่สีหน้าดีขึ้นมายบ้างแล้ว ปล่อยผมยาวสยายนอนอยู่บนเตียง พอเห็นเหมียวอี้เข้ามานางก็กลอกตามองบน แล้วกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “ผู้ชายวิ่งมาเข้าห้องผู้หญิง เจ้าไม่กลัวคนอื่นเข้าใจผิด แต่ข้ายังกลัวครอบครัวเจ้าหึงหวง” นางจำเรื่องที่เหมียวอี้จับตัวนางและทรมานนางได้
เหมียวอี้ดึงเก้าอี้มานั่งข้างเตียง แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “แค้นเหรอ? สงสัยจะจำเรื่องบางอย่างได้ เจ้ากับเทียนหยวนพบกัน จำได้หรือเปล่า?”
พอพูดถึงเรื่องนี้ ปี้เยว่ก็ตกอยู่ในความเงียบ กล่าวช้าๆ ว่า “เหมือนข้าจะถูกคนควบคุม”
“ไม่ผิดหรอก เจ้าถูกพระปีศาจหนานโปควบคุม” เหมียวอี้บอกนาง
“พระปีศาจหนานโป?” ปี้เยว่ขนลุก ลุกนั่งบนเตียงทันที
เหมียวอี้พยักหน้า “ไม่ต้องกลัว ข้าช่วยคลายผนึกให้เจ้าแล้ว ประเด็นสำคัญตอนนี้ก็คือ พระปีศาจหนานโปรู้ความลับจากเจ้าไปแล้วเท่าไร โดยเฉพาะเรื่องแดนอเวจี”
ปี้เยว่มีสีหน้าจริงจังแล้ว เห็นได้ชัดว่าเข้าใจถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ นางขมวดคิ้วครุ่นคิดนานมาก ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ “พอมาคิดดูตอนนี้ ข้ารู้แค่ว่าหลังจากเจอคนคนหนึ่งแล้วก็ถูกควบคุมเลย แต่ระหว่างที่คนนั้นควบคุมข้า ข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่าข้าได้พูดอะไรไปบ้าง…” นางเล่าแค่รายละเอียดตอนที่ตัวเองพบกับเทียนหยวน
…………………