ดาวเฟยหัว ตลาดสวรรค์ หนึ่งในตลาดสวรรค์ของอาณาเขตทัพใต้ ไม่มีจุดที่พิเศษอะไร
เพียงแต่สำหรับฉางหงเหมยและศิษย์พี่ศิษย์น้อง พอเดินมาถึงประตูเมืองตลาดสวรรค์ก็ยังต้องระวังตัว พวกทหารสวรรค์ตรงประตูที่เหลียวซ้ายแลขวาไปทั่วทุกที่ ในสายตาคนบางคนไม่นับว่าสำคัญอะไร แต่กลับไม่ใช่บุคคลที่ศิษย์จากสำนักทั่วไปอย่างพวกนางจะมีเรื่องด้วยไหว ถ้าไปยั่วโมโหเพียงเล็กน้อย ทหารสวรรค์พวกนี้ก็มีวิธีการกลั่นแกล้งอยู่แล้ว
เดินผ่านประตูเมืองมาได้อย่างราบรื่นตลอดทาง ข้างหน้าปรากฏความเจริญรุ่งเรืองของตลาดสวรรค์ทันที
หันกลับไปมองทหารยามตรงประตูเมืองแวบหนึ่ง ต้วนอ้ายเอ๋อร์ก็ถ่ายทอดเสียงบอกศิษย์พี่หญิงทั้งสองว่า “ศิษย์พี่หญิง ได้ยินว่ากำลังจะมีการทำศึกอีกแล้ว”
ฉางหงเหมยกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก มีแต่คนบอกว่าห้าอ๋องสวรรค์กำลังแอบระดมกำลังพล ต้องการจะปราบจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล สู้กันขึ้นมาจริงๆ คนตายก็มีเป็นร้อยล้านสิบล้าน คนจำนวนเล็กน้อยอย่างสำนักเทียนกู่ยังไม่พอยัดซอกฟันด้วยซ้ำ ถึงยังไงจะสู้หรือไม่สู้ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะตัดสินใจได้ เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับพวกเราด้วย”
จัวเซียงเหลียนถอนหายใจ “ไม่รู้เหมือนกันว่าคนใหญ่คนโตพวกนั้นคิดยังไง ความคิดชั่วขณะจิตของพวกเขาต้องทำให้คนบ้านแตกสาแหรกขาดขนาดไหน”
ต้วนอ้ายเอ๋อร์เลี้ยวซ้ายแลขวา “ได้ยินว่าผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลที่พวกอ๋องสวรรค์สู้ด้วยได้ควบคุมตลาดสวรรค์ไว้หมดทั้งใต้หล้าแล้ว ตอนนี้พวกเรากำลังเดินอยู่ในอาณาเขตของอีกฝ่าย หนิวโหย่วเต๋อท่านนั้นเทพมาก ร้ายกาจมาก ได้ยินว่าอายุต่างกับพวกเราไม่เท่าไหร่ คนเราเทียบกันไม่ติดจริงๆ ตอนนั้นที่พวกเราเดินเล่นที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน เขายังเป็นผู้บัญชาการอยู่เลย ผ่านไปชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นบุคคลระดับผู้ตรวจการใหญ่แล้ว ควบคุมตลาดสวรรค์ทั้งใต้หล้า สามารถเข้าพบพวกอ๋องสวรรค์ได้โดยตรงแล้ว แบบนี้ต้องมีอำนาจมากขนาดไหนกัน! แต่น่าเสียดายที่ปีนั้นตอนอยู่ดาวเทียนหยวนไม่มีโอกาสได้พบ บุคคลที่อาจหาญชาญชัยขนาดนี้ ถ้าไม่ได้พบหน้าสักครั้งก็น่าเสียดายจริงๆ!”
ฉางหงเหมยปรายตามองนาง “เจ้าเด็กแสบ ดูท่าทางเจ้าสิ หิวจนน้ำลายจะไหลอยู่แล้ว ได้เห็นแล้วยังไงล่ะ อีกฝ่ายจะชายตามองเจ้าเชียวหรือ?”
ต้วนอ้ายเอ๋อร์หน้าชื่นตาบานทันที “พรหมลิขิตเป็นสิ่งที่ใครก็อธิบายได้ไม่ชัดเจน ถ้าได้พบกันจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจเป็นรักแรกพบ เขาอาจมาคุกเข่าเหมือนขอทานตรงหน้าข้า ขอร้องให้ข้าแต่งงานด้วยก็ได้? ถึงตอนนั้นข้าก็จะทำหน้าตาเชิดใส่ ตะคอกบอกเขาว่า ผู้ชายที่อยากแต่งงานกับข้าต่อแถวจนมองไม่เห็นปลายแถวแล้ว ถ้าอยากแต่งงานกับข้าก็ต้องแสดงความจริงใจออกมา”
“อุบ!” ฉางหงเหมยกับจัวเซียงเหลียนหลุดขำ แม้แต่จัวเซียงเหลียนก็อดไม่ได้ที่จะหยิกแขนนาง พบว่าผู้หญิงคนนี้ฝันเฟื่องเกินไปแล้ว
ฉางหงเหมยทั้งโมโหทั้งอยากขำ “นางหนูเอ๊ย จะเพ้อรักจนเป็นบ้าไปแล้วสินะ อีกฝ่ายเป็นตัวละครประเภทไหน มีสาวงามแบบไหนบ้างที่ไม่เคยเจอ? มีผู้หญิงแบบไหนบ้างที่ไม่เคยมี? ผู้หญิงที่อยากแต่งงานกับเขาต่างหากที่ต่อแถวยาวจนมองไม่เห็นปลายแถว ยังจะมาร้องไห้วิงวอนขอแต่งงานกับเจ้าอีกเหรอ? เจ้าจะเพ้อรักก็คิดให้มันใกล้เคียงความจริงหน่อยได้มั้ย? เจ้าไม่เคยได้ยินเชียวเหรอ อีกฝ่ายมีฮูหยินแล้ว ยังไม่รีบตื่นอีก”
“แต่งงานไม่ได้ก็ขอคิดถึงเฉยๆ ไม่ได้เหรอ? มีฮูหยินแล้วยังไงล่ะ? นั่นเป็นเพราะตอนแรกไม่เคยเจอข้าต่างหาก ถ้าเห็นข้าตั้งแต่ทีแรก ฮูหยินของเขาก็มไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว” ต้วนอ้ายเอ๋อร์ทำเสียงฮึดฮัดเหมือนไม่ยอม จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าใฝ่ฝันอีกว่า “แต่ก็ไม่ต้องพูดถึงเลยจริงๆ ผู้หญิงที่ชื่ออวิ๋นจือชิวนั่นทำไมดวงดีแบบนั้นนะ หนิวโหย่วเต๋อเอากำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ไปสู้กับทัพใหญ่หนึ่งล้านเพื่อนางเชียวนะ! ทำให้กระดูกขาวกองเป็นภูเขา เลือดนองเป็นแม่น้ำก็เพื่อยิ้มเดียวของสาวงาม ถ้ามีผู้ชายทำกับข้าอย่างนี้นะ ข้าคงมีความสุขตายเลย จะให้ข้าตายข้าก็ยอม! อยากจะเห็นจริงๆ ว่าอวิ๋นจือชิวนั่นจะหน้าตาสวยขนาดไหนกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้ผู้ชายเป็นบ้าได้ขนาดนี้ น่าเสียดายจัง! ในปีนั้นพวกเราได้ยินว่าในร้านค้ามีเครื่องประดับสวยมาก เคยไปดูสินค้าด้วย ของก็ซื้อมาแพง น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าสุดท้ายเถ้าแก่เนี้ยคนนั้นจะกลายเป็นฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อ ถ้ารู้แต่แรก พวกเราคงไม่รีบกลับ รอให้นางโผล่หน้ามาสักครั้ง จะดูว่าเป็นผู้หญิงแบบไหนกันแน่ จะดูสักหน่อยว่าสวยเหมือนข้าหรือเปล่า มีสิทธิ์อะไรมาแย่งผู้ชายของข้า”
ศิษย์พี่หญิงทั้งสองหลุดขำอีกครั้ง ฉางหงเหมยพูดหยอกว่า “เจ้าคงไม่ได้อยากจะแต่งงานกับเขาจริงๆ หรอกใช่ไหม?”
ต้วนอ้ายเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก “อยากสิ! แต่ข้าไม่รู้จักเขา แม้แต่หน้าข้าก็ไม่มีสิทธิ์พบ เกรงว่ายังไม่ทันเข้าใกล้หนึ่งหมื่นแปดพันลี้ก็คงโดนจับไปตัดหัวก่อนแล้ว ถ้าใครมีช่องทางแนะนำให้ข้ารู้จักเขาได้ ข้าก็จะแต่งงานกับเขา มีฮูหยินแล้วยังไงล่ะ ข้าจะเป็นอนุภรรยาไม่ได้เชียวหรือ ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น เขาเป็นมหาเศรษฐี เศษเงินที่เล็ดรอดจากซอกนิ้วก็พอให้ข้าเสพสุขอย่างดีแล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องทรัพยากรฝึกตนอีก”
จัวเซียงเหลียนอดไม่ได้ที่จะใส่หน้า “นางเด็กนี่บ้าไปแล้วจริงๆ อย่าคิดเหลวไหลเลย คนประเภทนั้นอยู่คนละระดับกับพวกเรา ไม่มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตพวกเรา ต่อให้เจ้าอยากจะเป็นอนุภรรยาของเขา ก็ต้องต่อแถวยาวออกไปหนึ่งหมื่นแปดพันลี้”
ต้วนอ้ายเอ๋อร์กอดแขนนางแล้วหัวเราะคิกคักทันที “ศิษย์พี่หญิง ถ้าหนิวโหย่วเต๋อยินดีแต่งงานกับท่าน ถ้าวางเขากับศิษย์พี่ซ่งให้ท่านเลือก ท่านจะอยากแต่งงานกับคนไหน?”
“นางเด็กแสบ!” จัวเซียงเหลียนทั้งอายทั้งโมโห หยิกนางแรงๆ หนึ่งที
ฉางหงเหมยก็บิดหูต้วนอ้ายเอ๋อร์เช่นกัน รู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้ล้อเล่นแรงเกินไปแล้ว
ต้วนอ้ายเอ๋อร์ที่ถูกศิษย์พี่หญิงทั้งสองร่วมมือกันลงโทษ สุดท้ายก็ทำตัวซื่อสัตย์แล้ว ในที่สุดทั้งสามก็เอาความคิดไปสนใจความเจริญของตลาดสวรรค์
ทว่าจัวเซียงเหลียนภายนอกทำสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจเรากับทะเลสาบที่ถูกหินโยนใส่ มีคลื่นกระเพื่อมหนึ่งชั้น อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดถึงคำถามของต้วนอ้ายเอ๋อร์ ถ้าเป็นอย่างที่ศิษย์น้องหญิงบอกจริงๆ ตัวเองจะเลือกแต่งงานกับใครล่ะ?
นางเติบโตอยู่ในสำนักมาตั้งแต่เด็ก ใช้ชีวิตราบเรียบ ไม่มีอะไรโลดโผนสักเท่าไหร่ เคลื่อนไปตามลมตามน้ำ ราบเรียบไร้คลื่น นางปล่อยเรื่องความรักไปตามธรรมชาติเช่นกัน ท่านอาจารย์ช่วยจัดการเรื่องแต่งงานให้นางก็รับไว้ ไมตรีจากศิษย์พี่นางก็ไม่รังเกียจ ทุกอย่างปล่อยไปตามธรรมชาติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่ใฝ่ฝันหรือเพ้อฝัน
นางเองก็เป็นผู้หญิง นางเคยแอบอิจฉาอวิ๋นจือชิว และเคยหวังว่าจะมีความรักที่ยิ่งใหญ่อลังการอย่างอวิ๋นจือชิว และเฝ้าหวังว่าจะได้พบกับผู้ชายที่สามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่อลังการเพื่อนางได้ นางสงสัยว่าหนิวโหย่วเต๋อหน้าตาเป็นอย่างไร แต่นางก็รู้เช่นกัน ว่าตัวละครเล็กๆ อย่างนางยากที่จะรับความยิ่งใหญ่อลังการขนาดนั้นไหว เพียงลมพัดมาเล็กน้อยก็สามารถพัดให้นางลุกขึ้นมาไม่ได้อีกตลอดไปแล้ว ถึงขั้นทำให้สำนักของนางถูกกวาดล้างได้เลย ทำได้เพียงเพ้อฝัน นางถึงขั้นคิดว่า อวิ๋นจือชิวนั่นน่าจะมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นจะทนรับความยิ่งใหญ่อลังการแบบนี้ได้อย่างไร จะต้องไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาแน่นอน ถึงคู่ควรกับผู้ชายอย่างหนิวโหย่วเต๋อได้ ถ้าอยากสวมมงกุฎราชาก็ต้องรับน้ำหนักไม่ไหวด้วย
แต่ถ้าให้เลือกระหว่างศิษย์พี่กับหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ ศิษย์พี่ก็เหมือนจะเรียบง่ายธรรมดาเหมือนนาง แม้ตัวเองจะไม่เคยเจอหนิวโหย่วเต๋อ แต่ก็ใฝ่ฝันถึงหนิวโหย่วเต๋อมากกว่า…พอนึกถึงตรงนี้ นางต้องหูแดงด้วยความเขินอายทันที แอบด่าตัวเองในใจ รีบเรียกสติตัวเองกลับมาจากความคิดเพ้อฝัน
ศิษย์พี่ศิษย์น้องเดินเล่นในตลาดสวรรค์รอบหนึ่ง ซื้อของที่สำนักสั่งมาแล้ว แล้วก็เดินเล่นอย่างสนุกสนานมาก ผู้หญิงมักชอบเดินซื้อของในตลาด
ถึงแม้จะยังเดินได้ไม่ถึงอกถึงใจ แต่สำนักก็ให้เวลาจำกัด ไม่อาจอยู่นานโดยไม่กลับไปได้ ถ้าอยู่เกินเวลาจะต้องถูกลงโทษ ทำได้เพียงตัดอกตัดใจ
เดินเล่นไปได้สักพักเขาย่อมต้องหาอะไรกิน ไม่อย่างนั้นการเดินตลาดครั้งนี้จะไม่สมบูรณ์
ทั้งสามเข้าไปนั่งในภัตตาคารแห่งหนึ่ง อาหารขึ้นชื่อของที่นี่ก็คืออาหารป่าที่หากินได้ยาก ภายใต้สถานการณ์ปกติจะหากินไม่ได้ ราคาค่อนข้างสูง ก่อนหน้านี้ต้วนอ้ายเอ๋อร์อยากลิ้มลองมาตลอด แต่เป็นเพราะลำบากใจเรื่องเงินจึงอดทนไว้ ครั้งนี้ตัดสินใจจะฟุ่มเฟือยสักครั้ง เป็นคนเลี้ยงเอง!
ครั้งนี้ศิษย์พี่ให้เงินมาไม่น้อย คาดว่าออกไปฝึกข้างนอกครั้งนี้คงจะได้อะไรกลับมา ต้วนอ้ายเอ๋อร์แอบยิ้ม ได้อาศัยบารมีศิษย์พี่หญิงแล้ว ถ้าไม่กินจะเสียของ
สามสาวเลือกที่นั่งติดมุมหน้าต่าง สั่งอาหารขึ้นชื่อของร้าน สั่งสุราเล็กน้อย แล้วถ่ายทอดเสียงคุยกัน
ชมทิวทัศน์ตลาด ดื่มด่ำกับอาหารเลิศรส สามสาวอารมณ์ดีมาก
หลังจากมีลูกค้าเข้ามาในร้านเยอะ โต๊ะข้างๆ ก็มีสตรีวัยกลางคนคนหนึ่งมานั่ง หลังจากสั่งสุราอาหารแล้ว ปีกจมูกก็ขยับเล็กน้อย ดมค้นหาไปทั่ว แล้วตะโกนบอกว่า “บริกร สุราของร้านเจ้าเติมเครื่องหอมอะไรลงไป กลิ่นหอมมาก แนะนำหน่อยสิ เดี๋ยวข้าจะซื้อเก็บไว้สักหน่อย”
บริกรที่ถูกตะโกนเรียกเกาหัว “พี่สาว ไม่ได้เติมเครื่องหอมอะไรเลยนะ ล้วนเป็นกลิ่นหอมของสุรา”
สตรีคนนั้นขยับปีกจมูกอีกครั้ง แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ไม่ใช่ ไม่ใช่กลิ่นสุรา กลิ่นนี้เดี๋ยวจางเดี๋ยวหอม กลิ่นหอมของสุราก็กลบไม่มิด เป็นกลิ่นที่ข้าไม่เคยสัมผัสมาก่อน”
บริกรก็ดมหาเช่นกัน แล้วจู่ๆ ก็ตบหน้าผากตัวเอง ชี้ไปที่โต๊ะของฉางหงเหมย “พี่สาวว่ากลิ่นหอมอาจจะมาจากตัวลูกค้าโต๊ะนั้นหรือเปล่า ตอนที่ข้าเพิ่งนำอาหารไปวางก็ได้กลิ่นเหมือนกัน”
“อ้อ?” ผู้หญิงคนนั้นลุกขึ้นยืน ขยับปีกจมูกเดินดมไปตลอดทาง ดมไปจนถึงตัวจัวเซียงเหลียน
จัวเซียงเหลียนมองนางอย่างระแวดระวัง
สตรีวัยกลางคนกลับช่องปิ่นบนศีรษะของจัวเซียงเหลียน แล้วถามด้วยแววตาเป็นประกาย “น้องสาว กลิ่นหอมมาจากปิ่นปักผมของเจ้าหรือ?”
จัวเซียงเหลียนเจียดรอยยิ้ม “คงจะใช่ค่ะ”
สตรีวัยกลางคนถามอีก “ข้าชอบกลิ่นนี้มาก ดมแล้วสดชื่นตื่นตัว รู้สึกสบายทั้งกายทั้งใจ ส่วนประกอบที่ใช้ซื้อมาจากไหน เดี๋ยวข้าจะซื้อไว้สักอันหนึ่ง”
คนแปลกหน้าไม่รู้ว่ามาดีหรือมาร้าย จัวเซียงเหลียนไม่อยากสนใจ และไม่อยากมีเรื่องด้วย ตอบกลับอย่างสุภาพว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน คนอื่นให้ข้ามา”
“ช่างเป็นปิ่นปักผมที่พิเศษ ไม่ทราบว่าขอข้าดูหน่อยได้มั้ย?” สตรีวัยกลางคนถาม
ต้วนอ้ายเอ๋อร์ชักสีหน้าทันที “พี่สาวท่านนี้ พวกเราไม่สนิทกันนะ” นับว่าขอให้อีกฝ่ายควบคุมตัวเอง นี่คือของขวัญแทนใจที่ศิษย์พี่ส่งให้ศิษย์พี่หญิง จะให้คนแปลกหน้าดูสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร
“เหอะๆ! ข้าเสียมารยาทเอง” สตรีวัยกลางคนกล่าวกลั้วหัวเราะ ตอนที่เดินกลับไปโต๊ะตัวเอง ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองเป็นระยะ “ทำไมปิ่นปักผมอันนี้ถึงเหมือนไม้ไม่ผุในตำนานเลยล่ะ” นางก็แค่พูดเล่นเท่านั้น
ทว่าพอคำว่า ‘ไม้ไม่ผุ’ ออกจากปาก แขกบนภัตตาคารก็แทบจะเงยหน้ากันหมด ทยอยกันมองมาทางนี้ สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดอยู่บนปิ่นปักผมที่ศีรษะของจัวเซียงเหลียน มีคนไม่น้อยขยับปีกจมูก แยกแยะกลิ่นหอมที่สตรีวัยกลางคนบอก ตอนแรกทุกคนยังไม่สังเกต
มีบางคนนำงูน้อยสีเทาตัวหนึ่งออกมาอย่างแนบเนียน เห็นเพียงงูน้อยแลบลิ้นเงยหน้า แล้วจู่ๆ ก็หนีเข้าไปใต้โต๊ะ เลื้อยขึ้นไปบนโต๊ะของจัวเซียงเหลียน
มีคนพลิกฝ่ามือเผยนกน้อยสีเขียวมรกต ผลปรากฏว่านกน้อยกระพือปีกบินไปวนเวียนอยู่เหนือโต๊ะของจัวเซียงเหลียน แล้วส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว ท่าทางเหมือนมีความสุขมาก
……………………
Related