ถ้าหยางชิ่งคาดการณ์แม่นยำ ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องกับผังอวี้เหนียงเมื่อไร บางทีอาจจะเกิดเรื่องได้ตลอดเวลา ไม่รู้เหมือนกันว่าผังก้วนจะเคลื่อนไหวรุนแรงขนาดไหน ตอนนี้เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของหวงฝู่จวินโหรวกับผังเสี้ยวเสี้ยวมาก
เขาให้ผังเสี้ยวเสี้ยวเตรียมตัวล่วงหน้าแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าผังเสี้ยวเสี้ยวจะไม่เชื่อฟังเขา แล้วเขาก็ไม่ได้เตรียมคนไว้ด้วย
แล้วหวงฝู่จวินโหรวก็ดันไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึก ถามหน่อยว่าคนทั่วไปจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวละครใหญ่ๆ อย่างพวกเขาจะกำลังทำให้การแย่งชิงใต้หล้าเกิดสถานการณ์เปลี่ยนแปลงยากคาดเดา
หวงฝู่จวินโหรวไม่รู้จักแยกแยะความสำคัญ ยังคงกลั้นขำอยู่อย่างนั้น นางบอกว่า : ผังอวี้เหนียงบอกแล้ว ว่าขอเพียงเจ้ายินดีแต่งงานกับนาง นางก็ยินดีจะแต่งกับเจ้า เจ้ามีความเห็นอะไรหรือเปล่า?
แต่งกับผีเจ้าน่ะสิ! เหมียวอี้แอบด่าในใจ เขาไม่มีทางอธิบายเรื่องนี้กับนางได้ พอได้ยินว่านางค่อนข้างมีความสัมพันธ์อันดีกับผังอวี้เหนียง เขาก็ยิ่งพูดไม่ได้แล้ว ถ้าผู้หญิงคนนี้หวังดีกับผังอวี้เหนียงขึ้นมา จะไม่ทำงานเขาพังหรอกหรือ? จึงบอกทันทีว่า : เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว หาข้ออ้างออกไปจากที่นั่นเดี๋ยวนี้ ช่วงนี้อย่าไปคลุกคลีกับผังอวี้เหนียง!
หวงฝู่จวินโหรวฟังออกว่าคำพูดเขามีความหมายแฝง จึงถามว่า : เจ้ากับผังอวี้เหนียงสนิทกันมากเหรอ?
เหมียวอี้ : อย่าเข้าใจผิด ข้ากับนางไม่เคยคุยกับด้วยซ้ำ นางไม่ตรงรสนิยมข้า!
หวงฝู่จวินโหรว : แล้วทำไมเจ้าไม่ให้ข้าคลุกคลีกับนาง ตระกูลของนางมีเรื่องกับเจ้าเหรอ?
เหมียวอี้ : จวินโหรว เชื่อฟังข้านะ หาข้ออ้างออกไปจากตรงนั้นเดี๋ยวนี้ ทำตามที่ข้าบอก อย่าถามว่าเพราะอะไร
หวงฝู่จวินโหรวไม่ถามเขาว่าเพราะอะไร เปลี่ยนเป็นถามว่า : มีสิทธิ์อะไรมาบอกให้ข้าเชื่อฟังเจ้าแต่โดยดี เจ้าเป็นอะไรกับข้า?
เหมียวอี้ : เด็กดี เชื่อฟังข้า เดี๋ยวข้าจะเจียดเวลาไปอยู่กับเจ้าสักเดือน!
หวงฝู่จวินโหรวแอบดีใจ นึกไม่ถึงว่าจะได้ผลลัพธ์แบบนี้ ขอให้เขารับประกันทันที : พูดคำไหนคำนั้น ห้ามหลอกข้า!
เหมียวอี้ : ขอเพียงเจ้าเชื่อฟัง ข้าพูดแล้วทำได้
หลังจากทั้งสองตกลงกันได้แล้ว หวงฝู่จวินโหรวก็เก็บระฆังดารา ทำหน้าตาจริงจังจ้องผังอวี้เหนียงที่กำลังวิตกกังวล แล้วจู่ๆ ก็หลุดขำ “ดูท่าทางกังวลของเจ้าสิ ข้าล้อเล่นน่ะ ไม่ได้ติดต่อกับเขาหรอก ข้าติดต่อกับคนที่บ้าน ท่านปู่ข้ามีธุระเรียกข้าไปหา พวกเจ้าค่อยๆ ดื่มไปนะ ข้าขอตัวก่อน!”
ผู้หญิงอีกสามคนแทบจะโล่งใจพร้อมกัน ผังอวี้เหนียงดันกาสุรามาตรงหน้านางอย่างหงุดหงิด “จะไปก็ได้ แต่โดนลงโทษสามจอกก่อน!”
“รับทราบ!” หวงฝู่จวินโหรวตอบอย่างสบายใจ ดื่มรวดเดียวสามจอก เสร็วแล้วถึงได้ขอตัวลุกขึ้นเดินออกไป
ส่วนในจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เหมียวอี้ที่กำลังเดินไปเดินมาลังเลอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อผังก้วน
หลังจากทักทายตามมารยาทแล้ว ก็ถามว่า : ไม่ทราบว่าเสี้ยวเสี้ยวจะกลับจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลเมื่อไร?
ผังก้วน : เจ้าเองก็รู้สถานการณ์ ตอนนี้นางไม่สะดวกจะโผล่หน้าไปอยู่ข้างกายเจ้าบ่อยๆ ตอนนี้อยู่ที่บ้านสักระยะจะดีกว่า วันเวลาของพวกเจ้ายังอีกยาวไกล อย่าสนใจแค่ตอนนี้
หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จ เหมียวอี้ก็เอามือไขว้หลัง สีหน้าค่อนข้างเคร่งขรึม เขาไม่ได้เตรียมตัวอะไรกับงานชุมนุมตระการตา หวังเพียงว่าการแสดงออกว่าตัวเองใส่ใจผังเสี้ยวเสี้ยวจะทำให้ผังก้วนเล็งเห็นความสำคัญ สร้างแรงกดดันให้ผังก้วนสักหน่อย อย่าดึงผังเสี้ยวเสี้ยวเข้าไปเกี่ยวด้วย
ที่จริงแล้วทำแบบนี้ได้ผลมาก เพราะเขารู้ความเคลื่อนไหวของหวังลั่วตลาด เป็นไปไม่ได้ที่ข้างกายหวังลั่วจะไม่มีคนของเขาเลย
หลังจากนั่งเงียบๆ ในห้องหนังสือครู่หนึ่ง ผังก้วนก็บอกว่า “เมื่อครู่นี้หนิวโหย่วเต๋อเพิ่งถามว่าเสี้ยวเสี้ยวจะกลับไปเมื่อไร เจ้าว่าเขารู้สึกอะไรกับเสี้ยวเสี้ยวแล้วจริงๆ หรือว่าเสแสร้งทำให้ข้าเห็น?”
เฉินหวยจิ่วตอบว่า “นายท่าน ไม่ว่าเขาจะจริงใจหรือเสแสร้ง เขาก็ล้วนกำลังแสดงออกให้นายท่านเห็นว่าเขาโปรดปราณคุณหนู ถ้ามองจากอีกมุม เขาเฝ้าคอยที่จะร่วมงานกับนายท่านมาก ถึงยังไงเขาก็ยังสนใจอาณาเขตของสายเถาะ”
ผังก้วนพยักหน้า “เตรียมการทางนั้นเรียบร้อยหรือยัง? อย่าให้เกิดเรื่องกับเสี้ยวเสี้ยว” เขาไม่ได้คิดจะให้เกิดเรื่องกับผังเสี้ยวเสี้ยวตั้งแต่แรก ในภายหลังยังต้องอาศัยลูกสาวคนนี้มาสานสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหนิวโหย่วเต๋อ กลับเป็นหยางชิ่งที่คิดมากไป เพียงแค่แต่ไหนแต่ไรมา หยางชิ่งก็เป็นคนประเภทความคิดล้ำลึก วางแผนเผื่อกรณีล้มเหลวอยู่แล้ว
“นายท่านวางใจได้ เตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่เกิดอะไรกับคุณหนูรองแน่ขอรับ” เฉินหวยจิ่วกล่าว
ผู้หญิงสามคนในศาลายังคงกินดื่มพูดคุยกัน ผังเสี้ยวเสี้ยวที่อยู่ข้างๆ ไม่ค่อยพูดมาก ใช้เวลาส่วนใหญ่คอยฟัง บางครั้งถึงขั้นใจลอยด้วยซ้ำ เพราะเมื่อครู่นี้พี่สาวเพิ่งอาศัยฤทธิ์สุราระบายความในใจออกมา
ในขณะนี้เอง ด้านนอกก็มีสตรีวัยกลางคนที่งามหยดย้อยคนหนึ่งเหาะเข้ามา กล่าวด้วยรอยยิ้มสนิทสนิมว่า “คุณหนูทั้งหลายช่างมีอารมณ์สุนทรี!”
“อี๋เหนียงสาม!” ผังอวี้เหนียงกับผังเสี้ยวเสี้ยวลุกขึ้นพร้อมกัน ผู้ที่มาคืออนุภรรยาคนที่สามของผังก้วน
ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็ยืนขึ้นอย่างเกรงใจเช่นกัน
อี๋เหนียงสามยื่นมือบอกใบ้ว่าไม่ต้องเกรงใจ แล้วบอกกับผังเสี้ยวเสี้ยวว่า “เสี้ยวเสี้ยว ข้ามีธุระคุยกับเจ้านิดหน่อย ไปคุยกันส่วนตัวได้มั้ย?”
ผังเสี้ยวเสี้ยวไม่รู้ว่านางต้องการจะคุยอะไร แต่ถึงอย่างไรก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านตน ทำได้เพียงขออภัยอีกสองคน แล้วตามอี๋เหนียงสามออกไป
ในเรือนพักเดี่ยวที่ห่างจากตรงนี้ไม่กี่สิบลี้ หวังลั่วกำลังดื่มสุราพูดคุยกับกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ดื่มอย่างสุขสันต์หรรษามาก
ลูกน้องคนหนึ่งยกอาหารเข้ามา ขณะที่วางอาหาร ก็แอบส่งสายตาให้แม่ทัพคนหนึ่งที่นั่งข้างหวังลั่ว
แม่ทัพคนนั้นเข้าใจแล้ว แต่กลับตีเนียน เพียงแต่ตอนที่รินสุราให้หวังลั่ว ก็ฉวยโอกาสตอนที่คนอื่นไม่ได้สังเกตใช้นิ้วหัวแม่มือวาดบนปากกาสุราเล็กน้อย จากนั้นถึงได้รินน้ำสุราใสใส่จอกสุราของหวังลั่ว แล้วยกจอกสุราบอกว่า “นายท่าน ข้าดื่มให้ท่านหนึ่งจอก!”
หวังลั่วยกจอกสุราขึ้นอย่างสบายๆ “ทุกคนดื่มหมดจอกพร้อมกัน!”
ตอนที่แม่ทัพคนนั้นเงยหน้ากรอกสุราเข้าปาก ก็ส่งสายตาให้ลูกน้องตรงประตูอีก
หวังลั่วที่กำลังพูดคุยปนเสียงหัวเราะ จู่ๆ ก็เงียบไป หลังจากหยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมาติดต่อ ก็ตบโต๊ะแล้วบอกกับบรรดาแม่ทัพอย่างฮึกเหิมว่า “คุณหนูใหญ่กำลังนั่งดื่มสุราอยู่กับก่วงเม่ยเอ๋อร์ ลูกสาวของอ๋องสวรรค์ก่วงในศาลา ใครๆ ก็รู้ถึงความปรารถนาของข้าทั้งนั้น ข้าอยากจะถือโอกาสนี้พูดคุยกับคุณหนูใหญ่ มีใครคิดหาทางล่อก่วงเม่ยเอ๋อร์ออกไปให้ข้าได้บ้าง?”
แม่ทัพที่อยู่ตรงบอกว่า “จะยากอะไรขอรับ ข้าน้อยรู้ว่าตระกูลก่วงพักอยู่ตรงไหน เดี๋ยวจะไปที่นั่นสักเที่ยว!”
“นายท่าน อย่าทำซี้ซั้วเด็ดขาด!” แม่ทัพที่รินสุราโน้มน้าว
“ไม่ต้องคิดมาก ข้าแค่คุยกับคุณหนูใหญ่เฉยๆ” หวังลั่วโบกมือ
ในศาลาบนยอดเขา ก่วงเม่ยเอ๋อร์กับผังอวี้เหนียงเริ่มหมดอารมณ์สนุก แม้จะนั่งชมทิวทัศน์อันงดงามบนยอดเขา แต่กลับเหงาทั้งคู่
จู่ๆ ก็มีเงาคนหลายคนเหาะเข้ามา เป็นคนของตระกูลก่วง พอพวกเขามาถึงก็มองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง
ก่วงเม่ยเอ๋อร์ลุกขึ้นยืน แล้วขมวดคิ้วถามว่า “พวกเจ้าทำอะไร?”
ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าตอบว่า “คุณหนู ดึกมากแล้ว เชิญกลับเถอะขอรับ”
“ข้าจะนั่งตรงนี้อีกประเดีษยว ถ้าหมดสนุกลัวจะกลับไปเอง” ก่วงเม่ยเอ๋อร์บอกพวกเขา
“คุณหนู มีบ้านมีธุระต้องการพบท่าน!” ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้ากลับไม่ยอม
เขาจะต้องพาก่วงเม่ยเอ๋อร์กลับไปให้ได้ เมื่อครู่นี้จู่ๆ ตรงที่พักของตระกูลก่วงก็มีคนโยนหินก้อนใหญ่ใส่หลังคา ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนกล้าทำซี้ซั้วที่นี่ แบบนี้ไม่ปกติมาก เรื่องนี้แปลกประหลาด ถามหน่อยว่ายังจะกล้าปล่อยให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์อยู่ข้างนอกคนเดียวได้อย่างไร พวกเขาไม่วางใจการรักษาความปลอดภัยของที่นี่
เมื่ออ้างครอบครัวมากดดัน ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงกล่าวขออภัยผังอวี้เหนียง แล้วก็ถูกพาตัวไปอย่างนี้แล้ว
ใครจะคิดว่าตอนที่คนกลุ่มนี้เพิ่งจะไป ผังอวี้เหนียงเพิ่งถอนหายใจ จู่ๆ ก็มีเงาคนคนหนึ่งเหาะเข้ามา เข้ามาเหยียบในศาลา ไม่ใช่หวังลั่วแล้วจะเป็นใครไปได้อีก
“คำนับคุณหนูใหญ่!” หวังลั่วเจอหน้าแล้วทำความเคารพ มองผังอวี้เหนียงตาเป็นมัน
ผังอวี้เหนียงตกใจ ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า พบว่าวันนี้หวังลั่วมองตนด้วยสายตาไม่ชอบมาพากล ในใจรู้สึกกังวล ไม่อยากสนใจ ลุกขึ้นเตรียมจะเดินไป
ใครจะคิดว่าหวังลั่วจะถลันตัวเข้ามาขวางตรงหน้านาง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มแห้งๆ ว่า “คุณหนูใหญ่ ให้โอกาสสักหน่อยได้มั้ย เรานั่งลงคุยกันดีๆ สักหน่อยได้มั้ย?”
พอผังอวี้เหนียงเห็นว่าเขาบังอาจมาขวางตน ก็เลิกคิ้วตวาดทันที “หลีกไป!”
หวังลั่วถอนหายใจ “คุณหนูใหญ่ หวังผู้นี้ไม่ใช่เสือไม่ใช่หมาป่า ท่านไม่ต้องกลัวข้าขนาดนี้ก็ได้ ข้าแค่อยากคุยกับท่านดีๆ ไม่ได้มีเจตนาอื่น”
ผังอวี้เหนียงจะไปคุยกับผู้ชายสองต่อสองกลางดึกแบบนี้ได้อย่างไร จึงเดินอ้อมออกไป
ทว่าวันนี้หวังลั่วเหมือนตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จู่ๆ ก็ยื่นมือมาคว้าข้อมือนาง ความรู้ยามได้สัมผัสผิวกายทำให้หวังลั่วรู้สึกร้อนผ่าวในใจ
“บังอาจ!” ผังอวี้เหนียงทั้งตกใจทั้งโมโห ใช้มืออีกข้างตบหน้าเขาหนึ่งฉาด
แต่นางใช่คู่ต่อสู้ของแม่ทัพใหญ่อย่างหวังลั่วเสียที่ไหนกัน มิหนำซ้ำแขนอีกข้างยังถูกอีกฝ่ายควบคุมไว้แล้ว หวังลั่วยื่นมือมาคว้าข้อมือนางที่ตบเข้ามา ทั้งสองอยู่ใกล้กันจนแทบจะตัวติดกัน หวังลั่วมองนางในระยะใกล้ สูดดมกลิ่นกายหอมของนาง อีกทั้งมือก็ก็กุมมือนางไว้ หวังลั่วหัวร้อนทันที เริ่มหายใจถี่กระชั้น ในหัวมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา ไม่สู้ต้มข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุกเสียเลย ต่อให้ผังก้วนไม่ยอมรับก็ต้องยอมรับ!
ผังอวี้เหนียงตกใจจนหน้าถอดสี ดิ้นรนพลางตกคอกว่า “ปล่อยข้า!” นางยกเท้าเตะด้วย
“คุณหนูใหญ่ นี่ท่านบีบข้าเองนะ!” หวังลั่วลงมือระงับพลังอิทธิฤทธิ์ของนางเร็วมาก ดึงนางมาไว้ในอ้อมกอด กอดจูบอย่างดุดันอยู่พักหนึ่ง รีบร้อนมาก!
ผังอวี้เหนียงจะดิ้นรนหลุดได้อย่างไร ไม่สามารถใช้พลังอิทธิฤทธิ์ดิ้นรนได้ น้ำตาไหลพรากแล้ว
“โจรราคะ!” บนฟ้ามีเสียงตวาด หวงฝู่จวินโหรวชักกระบี่ออกมา โผล่ออกมาจากม่านราตรี แทงกระบี่ออกมา
หวังลั่วอุ้มผังอวี้เหนียงหลบ ถล่มหลังคาพังทั้งหลัง
ในที่ลับย่อมมีคนของตระกูลผังเตรียมตัวไว้แล้ว แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ หวงฝู่จวินโหรวจะโจมตีเข้ามา ผิดแผนที่พวกเขาวางไว้ แต่ละคนพากันงงเป็นไก่ตาแตก
ที่จริงหวงฝู่จวินโหรวกลับไปพักผ่อนแล้ว ทว่ารู้สึกว่าคำพูดคลุมเครือของเหมียวอี้มีปัญหา รู้สึกว่าต้องมีเรื่องบางอย่าง สุดท้ายก็ไม่วางใจจริงๆ ยังตัดสินใจกลับมาดูผังอวี้เหนียง ใครจะคิดว่าความกังวลในใจได้เกิดขึ้นแล้ว ตัวยังไม่ทันมาถึงก็พบว่ามีชายหนุ่มตัวใหญ่กำลังกอดรัดล่วงเกินผังอวี้เหนียง แบบบนี้ก็แย่น่ะสิ นางย่อมต้องลงมืออยู่แล้ว!
หวังลั่วที่ถลันตัวออกจากศาลาถูกเสียงดังนี้เรียกสติ หายเมาไปแล้วเกินครึ่ง ผังอวี้เหนียงยังดิ้นรนอยู่ในอ้อมกอดเขาอยู่เลย แม้แต่ไหล่หอมก็เผยออกมาแล้ว ชั่วพริบตานี้หวังลั่วตกใจจนเหงื่อแตก แอบด่าว่าตัวเองเลอะเลือน!
เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้คนไม่น้อยที่อยู่บริเวณนั้นรีบเหาะขึ้นฟ้ามองมา
“พี่สาว!”
เมื่อเห็นผังอวี้เหนียงถูกล่วงเกิน แม้แต่ไหล่งามก็เผยออกมาแล้ว ยังต้องพูดอีกเหรอว่าประสบอะไรมา? ผังเสี้ยวเสี้ยวที่เดิมทีพูดคุยอยู่ในสวนป่าแทบจะตาถลนน ส่งเสียงตะโกนคอแทบแตก ไม่สนแล้วว่าตัวเองวรยุทธ์อ่อนด้อย ชักกระบี่พุ่งเข้ามาแล้ว
อี๋เหนียงสามที่เหาะตามขึ้นมาบนฟ้าทำสายตาล่อกแล่ก รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อจาหรูเยี่ยน
หวังลั่วที่อุ้มผังอวี้เหนียงหลบกระบี่แทบจะร้องไห้แล้ว เลอะเลือนก็ส่วนเลอะเลือน ถ้าจะเปลี่ยนข้าวสารให้เป็นข้าวสุกก็คงสำเร็จไปแล้ว ทำไมจู่ๆ มีผู้หญิงโผล่มาสร้างความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ ตอนนี้จบเห่แล้ว
เขาได้ยินเสียงกองทัพองครักษ์ส่งสัญญาณเรียกรวมแล้ว รู้ว่าถ้าทำผิดในสถานที่แบบนี้จะต้องตกอยู่ในมือกองทัพองครักษ์ แม้แต่ฮ่าวเต๋อฟางก็ช่วยชีวิตเขาไม่ได้ จึงหาโอกาสโยนผังอวี้เหนียงให้หวงฝู่จวินโหรว ส่วนตัวเองก็พุ่งขึ้นฟ้าหนีไป ต้องหนีออกจากที่นี่ให้ได้
ลำแสงนับไม่ถ้วนยิงตามเขามาแล้ว กองทัพองครักษ์ที่อยู่แถวนี้ลงมือแล้ว
……………