เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา เหมียวอี้ก็ย่อมพูดไม่ออก ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องของเยียนเป่ยหง เขาก็คงไม่โผล่มาในเวลานี้เหมือนกัน เพราะตอนแรกที่พาอวิ๋นจือชิวออกจากทะเลทรายม่านเมฆา ตาเฒ่าเฉียวก็ได้บอกเจตนาของอวิ๋นอ้าวเทียนให้เขารับรู้อย่างชัดเจนแล้ว และเขาก็ไม่อยากมาอาศัยบารมีด้วย
สถานการณ์แบบนี้ทำให้อวิ๋นจือชิวอึดอัดพอสมควร ตัวนางเองนั้นไม่เป็นอะไร แต่กลัวว่าสามีของตัวเองจะทนเสียศักดิ์ศรีไม่ไหว จึงบอกทันทีว่า “ตาเฒ่าเฉียว อนุญาตให้ข้าเข้าไปคุยกับท่านปู่ก่อนได้มั้ยคะ!”
ตาเฒ่าเฉียวยกมือห้าม แล้วส่ายหน้าบอกว่า “น้องชิว ครั้งก่อนที่เจ้ามาพูดขอร้อง นายท่านก็พูดไว้ชัดเจนแล้ว เห็นแก่ไมตรีที่เจ้าเป็นลูกหลานของตระกูลอวิ๋น ถึงได้ไว้หน้าเจ้า ครั้งแรกเจ้ามาเอ่ยปากขอร้องเพื่อหลานเขย นายท่านไม่อยากให้เจ้าลำบากใจเมื่ออยู่ต่อหน้าหลานเขย จึงรับปากเจ้าว่าจะไม่ฆ่าเยียนเป่ยหง น้องชิว ตอนนี้เจ้าต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ชัดเจนนะ เจ้าเป็นหลานสาวของตระกูลอวิ๋นนั้นไม่ผิด แต่เจ้าแต่งงานออกไปแล้ว ตอนนี้ฐานะที่แท้จริงของเจ้าก็คือเหมียวฮูหยิน เป็นคนขอตระกูลเหมียว เจ้ามาที่นี่ก็เพื่อผลประโยชน์ของตระกูลเหมียว ถ้าให้ผลประโยชน์กับตระกูลเหมียวจนเต็มที่ ตระกูลอวิ๋นก็อาจเสียผลประโยชน์ ถ้ายังไม่เข้าใจจุดยืนชัดเจน นายท่านก็ให้เจ้าเข้าพบไม่ได้ น้องชิว อย่าทำให้บ่าวชราผู้นี้ลำบากใจเลย!”
เมื่อได้ยินแบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็เงยหน้ามองตำหนักจอมมารที่สูงส่ง ใบหน้านางเต็มไปด้วยความผิดหวัง ถึงแม้ในใจนางจะเข้าใจมาตั้งแต่แรก แต่ครั้งนี้นางเพิ่งจะเข้าใจอย่างแท้จริงถึงคำว่า ‘ลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้วง’ เมื่อก่อนนางสามารถเข้าออกที่นี่ได้ตามใจชอบ ที่พิภพเล็กนี้ คนที่สามารถเข้าออกที่นี่ได้ตามใจชอบมีไม่เยอะ
ในขณะนี้เอง เงาคนคนหนึ่งก็เหาะจากฟ้าลงมายืนอยู่ข้างๆ ไม่ใช่ใครที่ไหน อวิ๋นรั่วซวงนั่นเอง
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ อวิ๋นรั่วซวงก็ถามอย่างแปลกใจ “ตาเฒ่าเฉียว พี่หญิงใหญ่กับพี่เขยมาเยี่ยมคารวะท่านปู่ ท่านมาขวางพวกเขาไว้ทำไมคะ?”
ตาเฒ่าเฉียวพูดกลั้วหัวเราะว่า “ซวงเอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าข้าอยากขวางพี่หญิงใหญ่กับพี่เขยของเจ้าหรอกนะ แต่นี่เป็นความประสงค์ของนายท่าน นายท่านกำลังสอนหลักการวางตัวเป็นภรรยาให้พี่หญิงใหญ่ของเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย การแต่งงานออกไปคือสิ่งที่พี่หญิงใหญ่ของเจ้าเลือกเอง ไม่มีใครบังคับนาง และเมื่อออกจากบ้านไปแล้วก็ต้องพึ่งพาตนเอง เป็นรากฐานสำหรับการลงหลักปักฐานของพี่หญิงใหญ่ในอนาคต นายท่านเองก็หวังดีกับนาง บางทีสักวันหนึ่งเจ้าก็อาจจะเข้าใจเหมือนกัน”
อวิ๋นรั่วซวงไม่เข้าใจสิ่งนี้ นางบุ้ยปากแล้วบอกว่า “พี่หญิงใหญ่ พี่เขย พวกท่านรอก่อนนะ ข้าจะเข้าไปหาท่านปู่!” พูดจบก็วิ่งขึ้นบันได พอวิ่งไปถึงประตูตำหนักใหญ่ นางก็ผลักประตูแล้วแทรกเข้าไปในซอกประตูที่เปิดแง้ม ตาเฒ่าเฉียวเองก็ไม่ได้ขวางนาง
เมื่อเห็นเห็นเงาหลังของอวิ๋นรั่วซวงหายไป อวิ๋นจือชิวก็เผยรอยยิ้มขื่นขม เมื่อก่อนนางก็เหมือนกับอวิ๋นรั่วซวง สามารถเข้าออกตำหนักจอมมารได้ตามใจชอบ แต่วันนี้กลับมีเส้นแบ่งชัดเจน…ตาเฒ่าเฉียวพูดไว้ไม่ผิด คงจะมีสักวันที่ซวงเอ๋อร์จะเข้าใจสิ่งนี้
อวิ๋นจือชิวเอียงหน้ามองเหมียวอี้ที่กำลังขมวดคิ้ว แล้วหันกลับมาถามอีกว่า “ตาเฒ่าเฉียว ขอคุยกับท่านปู่สักหน่อยก็ไม่ได้เชียวหรือคะ?”
“ย่อมได้อยู่แล้ว!” ตาเฒ่าเฉียวยังคงใบหน้ายิ้มลึกลับเอาไว้ แต่สายตาไปหยุดอยู่บนหน้าเหมียวอี้ “เมื่อครู่นี้ก็บอกไปแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าใช้ฐานะอะไร ถ้ามาเยี่ยมญาติพี่น้องเพื่อคุยเรื่องครอบครัว ก็ย่อมต้องได้พบอยู่แล้ว แต่ถ้าคุยเรื่องอื่น นายท่านก็อาจจะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง แต่ขอพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้เสียก่อน ถ้าต้องการจะให้ตระกูลอวิ๋นละทิ้งผลประโยชน์ของตระกูลตัวเอง เช่นนั้นก็ต้องถามแม่หม้ายกับเด็กกำพร้าพวกนั้นว่าจะตอบตกลงหรือไม่ ถามคนที่เสียสละเลือดเนื้อเพื่อผลประโยชน์ของตระกูลอวิ๋น ว่าพวกเขาจะตอบตกลงหรือไม่ เจ้าสามารถไปประลองกับลูกหลานตระกูลอวิ๋น ถ้าสู้ชนะพวกเขาได้ นายท่านย่อมพบเจ้า ไม่อย่างนั้นนายท่านก็จะย้อนถามเจ้าว่า ทำไมต้องมาพบเจ้า เจ้ามีคุณสมบัติอะไรไปพบเขา? แล้วเจ้ามีคุณสมบัติอะไรไปต่อรองเงื่อนไขกับเขา?”
อวิ๋นจือชิวก้มหน้าประสานนิ้วมือ พ่อแม่ของนางก็สละชีวิตเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตระกูลอวิ๋นเช่นกัน ในเมื่อท่านปู่พูดจาถึงขั้นนี้แล้ว นางเองก็ไม่มีอะไรจะพูดเหมือนกัน
เหมียวอี้นิ่งเงียบ ถึงแม้จะอยากช่วยเยียนเป่ยหง แต่เขาก็ไม่อาจท้าสู้คนในตระกูลเมียเพื่อช่วยเยียนเป่ยหงได้หรอก แบบนี้ฟังดูไม่เข้าท่าเลย จะให้เมียตัวเองทนความรู้สึกได้อย่างไร มิหนำซ้ำตระกูลอวิ๋นยังมียอดฝีมือมากมาย ด้วยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ไม่อาจจะไปท้าสู้ได้ เขายังไม่มีคุณสมบัติที่จะขึ้นสังเวียนที่นภาจอมมาร ถ้าขึ้นสังเวียนประลองกับนภาจอมมาร ก็เท่ากับเป็นการตบหน้าตระกูลอวิ๋น ตระกูลอวิ๋นมีแต่ต้องชนะเขาเท่านั้น ไม่อ่อนข้อให้แน่
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็กุมหมัดถามว่า “ผู้น้อยมาเยี่ยมคารวะท่านปู่ด้วยฐานะของหลานเขยขอรับ! แต่ตาเฒ่าเฉียวได้โปรดช่วยถามให้สักหน่อย เยียนเป่ยหงเป็นสหายของผู้น้อย เดี๋ยวให้เหมียวอี้คนนี้พบหน้าเขาสักครั้งได้หรือไม่?”
ตาเฒ่าเฉียวได้ยินแล้วพยักหน้ายิ้ม ทำท่าทางปลื้มอกปลื้มใจ “หลานเขยรอสักครู่ บ่าวชราจะไปรายงานให้เดี๋ยวนี้!” พูดจบก็หันตัวเดินขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว เข้าไปในตำหนักจอมมาร
“ขอโทษนะ!” อวิ๋นจือชิวกุมมือเหมียวอี้ พลางยิ้มเจื่อนอย่างกลัดกลุ้มใจ ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ ขอโทษที่ข้าช่วยอะไรเจ้าไม่ได้
“ไม่เป็นไรหรอก!” เหมียวอี้ตบหลังมือนางเบาๆ
ผ่านไปครู่เดียว เมฆมารที่ลอยวนอยู่บนฟ้าเหนือตำหนักจอมมารก็ถูกเก็บลงไป ไหลมุดเข้าไปในตำหนักจอมมารทั้งหมด ฟ้ากลับมาสดใสราวกับโดนชะล้าง ประตูใหญ่บานนั้นส่งเสียงดังทึบ เปิดออกอย่างช้าๆ จนสุดบาน ตาเฒ่าเฉียวที่สวมชุดคลุมสีขาวเดินออกมายืนบนบันไดสูง เขามองลงมาด้านล่างพลางยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเบี่ยงตัวยื่นมือเชิญ “หลานเขย นายท่านเชิญข้างใน!”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้าให้เหมียวอี้ แล้วทั้งสองก็เดินขึ้นบันไดไปด้วยกัน
เมื่อขึ้นมาถึงใต้ชายคาโค้ง เหมียวอี้ก็เห็นชายรูปร่างกำยำสูงใหญ่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนบัลลังก์ในตำหนัก ผมดำขลับดุจน้ำหมึกของเขาปกคลุมสยายไปด้านหลัง ยาวลงไปถึงเอว คิ้วกระบี่ดกดำชี้เข้าหาจอนยาวสองข้าง แววตาเป็นประกายดุร้ายน่าหวั่นเกรง จมูกเหมือนถุงน้ำดี ริมฝีปากหนาไร้หนวดเครา หน้าตาดูทรงพลัง
ชายคนนี้สวมเสื้อเกราะแขนกุดสีดำ เผยให้เห็นกล้ามเนื้อของแขนสองข้างที่บึกบึนแข็งแรงราวกับหลอมขึ้นมาจากเหล็ก ขากางเกงยาวแค่เข่า เปลือยเท้านั่งขัดสมาธิ แววตาอันล้ำลึกกำลังจ้องสองคนที่เดินเข้ามาจากด้านนอก
เหมียวอี้รู้สึกตึงเครียดในใจพอสมควร ไม่ต้องบอกเลย ท่านนี้คงจะเป็นปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของพิภพเล็ก!
พอลองคิดอีกมุมหนึ่ง เหมียวอี้รู้สึกขำตัวเองนิดหน่อย ตอนแรกที่ตัวเองก้าวเข้าสู่แดนฝึกตน ก็ไม่นึกไม่ฝันว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้กลายเป็นหลานเขยของปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน ในตอนนั้นอวิ๋นอ้าวเทียนเป็นเพียงตำนานสำหรับตน ตอนนี้อดไม่ได้ที่จะมองพินิจให้ละเอียดสักหน่อย
อวิ๋นอ้าวเทียนไหนเลยจะไม่มองสำรวจอีกฝ่าย เจ้าเด็กนี่เห็นตนแล้วไม่ตื่นเต้นกังวลเลยสักนิด ไม่ค่อยเห็นใครสุขุมใจเย็นขนาดนี้ กลับทำให้เขามองด้วยสายตาที่สูงขึ้นอีกระดับ
หารู้ไม่ว่าถ้าเป็นเมื่อก่อน เหมียวอี้จะต้องตื่นเต้นกังวลแน่นอน เพียงแต่หลังจากไปพิภพใหญ่มา เขาได้คบค้ากับนักพรตบงกชทองกลุ่มใหญ่ เป็นคนที่วรยุทธ์สูสีกับอวิ๋นอ้าวเทียนทั้งนั้น ขนาดนักพรตบงกชรุ้งก็เคยนั่งคุยและดื่มสุราด้วยกันมาแล้ว ถ้าจะบอกว่าเขาตื่นเต้นกังวล ก็คงเป็นความกังวลเพราะได้พบผู้หลักผู้ใหญ่ในตระกูลของภรรยาเป็นครั้งแรก
บนบันไดด้านล่างบัลลังก์ อวิ๋นรั่วซวงนั่งทำสีหน้าไม่สบอารมณ์อยู่ตรงนั้น ท้องแขนสองข้างเกยบนหัวเข่า ใช้สองมือเท้าคาง เชิดปากขึ้นสูงมาก เหมือนสิ่งที่เข้ามาขอร้องก่อนหน้านี้ไม่ได้ดั่งใจ จึงไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
อวิ๋นจือชิวมองชำเลืองมองอวิ๋นรั่วซวงอย่างอิจฉานิดหน่อย คนที่สามารถนั่งออดอ้อนอยู่บนบันไดใต้บัลลังก์ของนภาจอมมารได้ ในตอนนี้คงจะมีแค่อวิ๋นรั่วซวงคนเดียวแล้ว ขนาดหลานๆ จะเข้าพบปู่สักครั้งยังเป็นเรื่องยากเลย สิ่งนี้อธิบายได้ว่าท่านปู่รักและเอ็นดูอวิ๋นรั่วซวงเป็นพิเศษ เพียงแต่ในปีนั้นนางก็ได้รับการปฏิบัติที่พิเศษแบบนี้เช่นกัน แต่จะทำอย่างไรได้ เรื่องราวผ่านไปแล้วไม่อาจย้อนคืน นางไม่มีทางย้อนกลับไปมีความคิดจิตใจเป็นสาวน้อยเหมือนอวิ๋นรั่วซวงได้อีก นางผ่านความลำบากมาอย่างโชกโชน แต่งงานกลายเป็นภรรยาคนอื่นแล้ว ไม่อาจย้อนคืนความคิดจิตใจแบบนั้นกลับมาได้อีก
เมื่อเดินเข้ามาในตำหนัก อวิ๋นจือชิวก็ดึงแขนเสื้อเหมียวอี้เบาๆ จากนั้นทั้งสองก็ยืนนิ่ง อวิ๋นจือชิวยกกระโปรงยาวลากพื้นข้างหลัง นั่งคุกเข่าลงพร้อมกับเหมียวอี้ เผชิญหน้ากับอวิ๋นอ้าวเทียนที่นั่งอยู่เบื้องสูง พลางกล่าวคำนับว่า “เหมียวอี้ เสี่ยวชิว คำนับท่านปู่!” ทั้งสองโขกศีรษะกับพื้นพร้อมกัน
ขณะมองดูทั้งสองหมอบคำนับ รอยยิ้มของตาเฒ่าเฉียวที่ยืนอยู่บนบันไดก็ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่อวิ๋นรั่วซวงที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดกลับเชิดปากอย่างน่ารักเย้าย้วนใจ
อวิ๋นอ้าวเทียนที่กำลังนั่งขัดสมาธิจ้องเบื้องล่างพลางพยักหน้าเบาๆ “ลุกขึ้นเถอะ!” พูดจบก็หย่อนเท้าเปลือยสองข้างลงบนพื้น แล้วเดินลงมาอย่างช้าๆ
ในตอนนี้สองสามีภรรยาถึงได้ยืนขึ้นอย่างเคารพนบนอบ อวิ๋นอ้าวเทียนมายืนอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้แล้ว กำลังมองสำรวจเหมียวอี้ด้วยแววตาดุร้าย ถึงขั้นร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจบนตัวเหมียวอี้ด้วย พบว่าเจ้าบ้านี่ไม่ได้แกล้งทำใจเย็น แต่เขาไม่ได้ตื่นเต้นกังวลเลยจริงๆ การไหลเวียนโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจไม่มีอะไรผิดปกติเลย
เหมียวอี้ก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ
“น้องชิว ปกติตอนอยู่บ้าน เขาไม่ได้รังแกเจ้าใช่มั้ย?” อวิ๋นอ้าวเทียนพลันเอ่ยถามขึ้นมา
เหมียวอี้เหงื่อแตกนิดหน่อย นี่ช่างเป็นการคุยเรื่องในครอบครัวจริงๆ เขารีบตอบว่า “มิบังอาจขอรับ!”
“ท่านปู่คะ!” อวิ๋นจือชิวไม่ตอบคำถาม แต่ก้าวขึ้นมากอดแขนอวิ๋นอ้าวเทียน แล้วพูดออดอ้อนว่า “มีแต่ข้าที่เป็นฝ่ายรังแกเขา!”
อวิ๋นอ้าวเทียนพยักหน้า “ถ้าเขารังแกเจ้าเมื่อไร กลับมาบอกปู่ เดี๋ยวปู่จะจัดการเขาเอง”
อวิ๋นรั่วซวงก็เข้ามากอดแขนเช่นกัน มากอดแขนอีกข้างของอวิ๋นจือชิว พลางถามอย่างแปลกใจว่า “พี่หญิงใหญ่ ปกติท่านรังแกพี่เขยยังไงเหรอ?”
“เจ้าจะเข้าใจอะไรล่ะ ไปตรงโน้นเลย!” อวิ๋นจือชิวเอานิ้วจิ้มหน้าผากนางหนึ่งที ทำให้นางเชิดปากและกลอกตาใส่
อวิ๋นอ้าวเทียนมองไปที่เหมียวอี้ พร้อมถามว่า “ได้ยินว่าเจ้าทิ้งน้องชิวแล้วหายตัวไปสามร้อยกว่าปี เพิ่งจะแต่งงานใหม่ ทำไมทิ้งคู่ชีวิตไปล่ะ? หรือว่านางปรนนิบัติดูแลเจ้าไม่ดีพอ ไม่ได้ทำหน้าที่ภรรยาอย่างสุดความสามารถ?”
เหมียวอี้ยังไม่ทันอ้าปากพูด อวิ๋นจือชิวก็ชิงพูดต่อแล้วว่า “ท่านปู่! ข้าให้เขาไปเก็บตัวฝึกฝนเอง งานแต่งตอนนั้นเป็นข่าวใหญ่โตเกินไป ข้าเลยให้เขาไปหลบที่ทะเลดาวนักษัตร!”
อวิ๋นอ้าวเทียนเหล่ตามองนางแวบหนึ่ง ไม่ว่าจะจริงหรือโกหก ไม่ว่าจะจงใจปิดบังอะไรอยู่ แต่ในเมื่อนางพูดแบบนี้แล้ว อวิ๋นอ้าวเทียนก็ไม่ได้ถามอะไรมากอีก เขามองการแต่งตัวของนางตั้งแต่ศีรษะจดเท้า แล้วถามว่า “ได้ยินว่าเครื่องแต่งกายพวกนี้ของเจ้า มู่ฝานจวินเป็นคนมอบให้หมดเลยเหรอ?”
“ใช่ค่ะ!” พอพูดถึงเรื่องนี้ อวิ๋นจือชิวก็อดไม่ได้ที่จะขอคำแนะนำ “ท่านปู่! มีอะไรไม่เหมาะสมรึเปล่าคะ?”
“จะมีอะไรไม่เหมาะสมได้ล่ะ? ใส่เสื้อผ้าสองชุดจะมีอะไรไม่เหมาะสม? เจ้าคงไม่ถึงขั้นขี้ขลาดกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้หรอกใช่มั้ย? นางเต็มใจให้ เจ้าแค่ใส่ไปก็พอ จะได้ประหยัดเงินตัวเอง เป็นเรื่องที่ดี ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ฉวยผลประโยชน์นี้ ใช่มั้ยล่ะ?” อวิ๋นอ้าวเทียนพูดหยอกล้อ
เป็นการพูดคุยเรื่องในครอบครัวจริงๆ อวิ๋นอ้าวเทียนไม่ได้วางอำนาจบาตรใหญ่ใส่เหมียวอี้ พูดคุยด้วยน้ำเสียงปกติ คุยประมาณว่าต่อไปนี้ให้เหมียวอี้ทำตัวดีๆ กับอวิ๋นจือชิว ไม่อย่างนั้นตนจะไม่ปล่อยเขาไปแน่ เป็นคำพูดที่ผู้หลักผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวควรจะพูด
สำหรับหลานเขยคนนี้ เขาไม่ได้มีอะไรพอใจหรือไม่พอใจ อย่างน้อยเหมียวอี้ก็เสี่ยงชีวิตสู้ตายเพื่อหลานสาวตัวเอง มีความรับผิดชอบเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอก ต่อให้อวิ๋นอ้าวเทียนจะเก่งกาจแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจจะเรียกร้องให้นางแต่งงานกับคนที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติเพียงเพราะนางเป็นหลานสาวตน แบบนั้นไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง แค่ไม่ได้มีข้อเสียร้ายแรงก็พอแล้ว ถึงอย่างไรหลานสาวตัวเองก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ และแน่นอน ถ้าเป็นคนที่มีความแค้นกับตระกูลตัวเองอย่างเฟิงเสวียน เขาก็ไม่ยอมรับแน่นอน
ส่วนชีวิตคู่ของสามีภรรยาจะรักใคร่กลมเกลียวกันหรือไม่ นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะต้องไปกังวล ผลจากการเลือกครั้งนี้ ไม่ว่าจะมีรสชาติเป็นอย่างไร อวิ๋นจือชิวก็ต้องเป็นคนรับไว้เอง อย่างมากเขาก็แค่อยู่ในจุดยืนของปู่ หรือไม่ก็อยู่ในจุดยืนของครอบครัวฝ่ายหญิง ถ้าถึงเวลาจำเป็นก็ช่วยสนับสนุนได้นิดหน่อย แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ทำลายผลประโยชน์ของตระกูลอวิ๋น